แม่เจ้าบัวไหล แม่เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของน่านกับตำนานผ้าทอไม่เสร็จในละคร "รอยไหม"
แม่เจ้าบัวไหล เป็นชายาองค์ที่ ๒ในเจ้าหลวงพิริยเทพวงษ์ อดีตเจ้าผู้ครองนครแพร่ องค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์เทพวงศ์ สตรีผู้มีบทบาทจนได้รับการยกย่องให้เป็น "แม่เจ้าหลวง"
เจ้าบัวไหล เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๐ ที่เมืองนครน่าน เป็นธิดาคนสุดท้อง(ในจำนวน ๔ คน)ในพระยาไชยสงคราม เชื้อสายเจ้าเจ็ดตน อยู่ทางเมืองพะเยา กับ เจ้านางอิ่นคำ ชาวไทยอง
มีเจ้าเชษฐาและเชษฐภคินีร่วมอุทร ได้แก่
๑. เจ้าจอมแปง (เจ้านางของ ซึ่งเป็นชายาเดิมพระยาไชยสงครามได้ขอไปอุปการะที่พะเยา)
๒. เจ้าเทพรส รสเข้ม (ฝาแฝดชายกับเจ้าจอมแปง)
๓. เจ้านางสามผิว ที่ได้ชื่อว่าสามผิว เพราะมีผิวกายเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เช้า กลางวัน เย็น เป็นสีเขียว แดง และเหลือง (ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรงท้องร่วงตอนอายุ ๑๓ ปี เมื่อต้องตามบิดาลงไปแก้คดี )
๔. เจ้านางบัวไหล
เหตุที่ได้ชื่อว่า"บัวไหล" เพราะตอนที่เกิดนั้น พระยาไชยสงครามถูกเรียกตัวสอบสวนจากเมืองน่านมายังกรุงเทพฯ เนื่องจากต้องคดี เรื่อง ช่วยเจ้าหลวงนครน่าน ยกพลไปกวาดต้อนตีเอาเมืองหัวพันห้าทั้งหกที่แคว้นสิบสองปันนา กวาดต้อนเชลยศึกชาวไทลื้อชาวไทยอง มาไว้ที่เขตนาน้อยเมืองน่าน ทำให้อังกฤษร้องเรียนต่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ว่าพระยาไชยสงครามรังแกเมืองขึ้นของพม่า ซึ่งเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ดังนั้นจึงต้องเดินทางโดยเรือขณะที่น้ำน่านนองเต็มฝั่ง บิดาเลยตั้งชื่อให้ว่า "บัวไหล"
ต่อมาเมื่อพระยาไชยสงครามถูกไต่สวนตัดสินให้ปลดออกจากตำแหน่ง เจ้าไชยสงครามได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่เมืองแพร่ ตามคำชักชวนของเจ้าอินทวิชัย เจ้าหลวงเมืองแพร่ องค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์เทพวงศ์ (พ.ศ.๒๓๗๓-๒๔๑๕) แม่เจ้าบัวไหลจึงได้มาอยู่เมืองแพร่แต่เล็ก จนถึงสมัย เจ้าหลวงพิมพิสาร (พิมสาร หรือ เจ้าหลวงขาเค) เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๔ แห่งราชวงศ์เทพวงศ์ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เจ้าบัวไหลได้รับการศึกษาอบรมเยี่ยงเจ้านายในสมัยนั้น ทั้งการเรียนภาษาไทยล้านนา และด้านขนบธรรมเนียมประเพณี จนทำให้มีจริยาวัตรที่งดงาม เฉลียวฉลาด รอบรู้ทั้งการบ้านการเมือง
เมื่อเจ้าบัวไหลโตเป็นสาว ได้เสกสมรสกับเจ้าน้อยเทพวงศ์ ซึ่งต่อมาเป็น เจ้าผู้ครองนครแพร่องค์ที่ ๕ แห่งราชวงศ์เทพวงศ์ ภายหลังจากเจ้าน้อยเทพวงศ์ได้เลิกร้างกับเจ้าบัวถา มหายศปัญญา ชายาคนแรก ไม่มีโอรสธิดาด้วยกัน
แม่เจ้าบัวไหล และเจ้าหลวงพิริยเทพวงษ์ ได้มีราชโอรส ราชธิดาร่วมกัน ๗ องค์
๑. เจ้ากาบคำ วราราช
๒. เจ้าเวียงชื่น (หรือ เมืองชื่น บุตรรัตน์)
๓. เจ้าสุพรรณวดี ณ น่าน
๔. เจ้ายวงคำ เตมียานนท์
๕. เจ้ายวงแก้ว เทพวงศ์
๖. เจ้าหอมนวล ศรุตานนท์
๗. เจ้าอินทร์แปลง หรืออินทร์แปง เทพวงศ์
พ.ศ. ๒๔๑๖ แม่เจ้าบัวไหลได้ปักคัมภีร์ด้วยด้ายไหมทองคำถวายวัดไชยอาราม (วัดพระบาทมิ่งเมือง)อำเภอเมือง จังหวัดแพร่ มีข้อความบทหนึ่งเขียนว่า "ให้ได้เป็นยอดนารีเทียม ธ ท้าว ตนปราบด้าวธรณีแท้ดีหลีเทอะ" แปลว่า ขอปรารถนาเป็นกษัตริย์ผู้หญิง หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นมเหสีเคียงคู่เจ้าหลวง
พระคัมภีร์โบราณนี้ เป็นตัวอักษรธัมม์ล้านนา สร้างเมื่อปี จ.ศ.๑๒๓๕ (พ.ศ.๒๔๑๖) โดยในขณะนั้นแม่เจ้าบัวไหลมีอายุ ๒๓ ปี
ปัจจุบันผ้าไหมคัมภีร์ดังกล่าวมีอายุ ๑๔๙ ปี
นอกจากนี้ แม่เจ้าบัวไหลได้ปักผ้าม่าน และหมอนขวาน ตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆ ถวายรัชกาลที่ ๕ จนเป็นที่โปรดปราน และได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดห้องพิเศษพร้อมทั้งพระราชทานชื่อว่า “ห้องบัวไหล” นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเป็นเกียรติประวัติอันสูงยิ่ง เพื่อแสดงถึงเจ้านายสตรีทางเหนือ เป็นผู้มีฝีมือในงานศิลปะปักเย็บอย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งคุณสมบัติทักษะด้านการเย็บปักถักร้อย คงได้รับการสืบทอดมาจากแม่เจ้าอิ่นคำ ที่เป็นชาวยอง
แม่เจ้าบัวไหลได้รับการสถาปนาให้ดูแลเมืองแพร่ ก่อนที่เจ้าพิริยเทพวงษ์จะกลับจากราชการที่กรุงเทพมหานคร ชาวเมืองแพร่จึงเรียกขานเจ้าบัวไหลว่า "แม่เจ้าหลวง"
ซึ่งตรงตามคำกราบบังคมทูลของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวไว้ว่า "บัวไหลเป็นผู้หญิงดีในเมืองลาวเฉียง เวลาเจ้านครแพร่ลงมากรุงเทพฯก็ว่าราชการบ้านเมืองแทนสามี"
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ แม่เจ้าบัวไหล ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ ๓ ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) (ฝ่ายใน)
แต่ต่อมาวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๖ ถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจากกรณีกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ ดังที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๒๐ เพิ่มเติมแผ่นที่ ๒๘ วันที่ ๑๑ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๒ (พ.ศ.๒๔๔๖) ดังต่อไปนี้
“ประกาศลัญจกราภิบาล ถอดบัวไหลออกจากสามัญสมาชิก ตติยจุลจอมเกล้า ด้วยบัวไหล ภรรยาน้อยเทพวงศ์ ไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสามัญสมาชิกา ตติยจุลจอมเกล้า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ถอดบัวไหลออกจากตำแหน่งสามัญสมาชิกาเรียกดวงตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืน และลบชื่อเสียจากพวกสามัญสมาชิกา ตั้งแต่วันที่ได้ออกราชกิจจานี้ไป วันที่ ๘ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๒ (ลงพระนาม) พิทยลาภพฤฒิธาดา”
พ.ศ. ๒๔๕๔ แม่เจ้าบัวไหลเป็นแม่งานใหญ่ในการรับเสด็จสมเด็จพระพันปีหลวงคราวเสด็จเมืองแพร่
แม่เจ้าบัวไหลได้ครองเมืองร่วมกับเจ้าหลวงพิริยเทพวงษ์เป็นเวลา ๑๓ ปี (พ.ศ.๒๔๓๒ -๒๔๔๕) ก็เกิดการจลาจลกบฏเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๕ เจ้าหลวงพิริยเทพวงษ์ ต้องหลบภัยไปอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และไม่ได้กลับมาอีกเลย จนกระทั่งถึงแก่พิราลัยที่นั่น
ส่วนแม่เจ้าบัวไหลพร้อมด้วยบุตรหลานได้อพยพไปอยู่กรุงเทพฯ ตามพระบรมราชโองการ ภายใต้การควบคุมดูแลของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระยศขณะนั้น) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นเวลา ๔-๕ ปี จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้กลับคืนบ้านเมืองได้
เหตุการณ์กบฏเงี้ยวในเมืองแพร่ในครั้งนั้น ยังผลทำให้ เจ้าแม่เวียงชื่น พระธิดาของเจ้าหลวงพิริยเทพวงษ์ พร้อมด้วยสวามีและข้าทาสในเรือนรวมกว่า ๔๐ ชีวิต ตัดสินใจกินยาตายรวมกันในคุ้ม จนภายหลังคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ ได้รับการขนานนามว่าเป็นคุ้มที่เฮี้ยนที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับภายหลังเหตุการณ์กบฏเงี้ยว คุ้มเจ้าหลวงมีการเปลี่ยนมือผู้ดูแลไปหลายหน่วยงาน ทำให้พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ภายในคุ้ม ว่ามีการพบผ้าไหมอยู่ผืนหนึงที่ยังทอไม่เสร็จ ภายหลังทราบว่าคือ ผ้าไหมที่แม่เจ้าบัวไหล ทอเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยังไม่แล้วเสร็จก็เกิดกบฏเงี้ยวเสียก่อน
ในบั้นปลายของชีวิต แม่เจ้าบัวไหลได้ไปพำนักกับบุตรสาวคนเล็กและบุตรเขย ที่จวนข้าหลวงประจำจังหวัดเชียงราย และได้ถึงแก่อนิจกรรมที่นั่น เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๙ รวมอายุได้ ๘๕ ปี
หากใครได้เคยดูละครดังเรื่อง “รอยไหม” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ และได้เคยศึกษาประวัติคุ้มเจ้าหลวงแห่งนี้มาอย่างดีแล้วละก็ จะทราบว่า”ผีอีเม้ย”ไปคล้ายคลึงกับเรื่องราวของ "ผีอีตู้" ข้าในคุ้มเจ้าหลวงเมืองแพร่ที่มีความรักต่อเจ้านายยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง โดยมีเรื่องเล่าว่า ในเหตุการณ์กบฏเงี้ยว อีตู้ โกรธแค้นแทนเจ้านายที่ถูกควบคุมความเป็นอยู่จากข้าหลวงบางคน จึงตัดสินใจหนีออกไปฆ่าลูกของนายอำเภอจนเสียชีวิต และถูกจับได้จนโดนโทษเฆี่ยนตีตัดหัวเสียบประจานกลางประตูเมือง
ตำนานยังเล่าอีกว่า อีตู้ ได้กลายเป็นผีวิญญาณที่รอรับใช้ และรอคอยการกลับมาขอเจ้านายสุดที่รักที่คุ้มหลวงแห่งนี้ ทั้งนี้ละครเรื่องรอยไหม ในฉากที่อีเม้ย นำแสดงโดย คุณชุดาภา จันทเขตต์ ถูกเฆี่ยนตีจนตาย ก็ถูกถ่ายทำในคุ้มหลวงเมืองแพร่แห่งนี้เช่นกัน
นอกจากนี้เรื่องราวของผ้าไหมที่ยังถักทอไม่เสร็จสมบูรณ์ตามในละครรอยไหม ก็ถูกดัดแปลงมาจากเรื่องจริงของเจ้านางบัวไหลนั่นเอง
อ้างอิงข้อมูล
: ฮักล้านนา
: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร เคยมีแนวคิดจะนำเสนอให้เป็น “เอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลก”
ขอขอบพระคุณภาพ / ข้อมูล
Cr. ค้นคว้าและเรียบเรียง Phanwipa Munikanon
Cr. เจ้าเจ็ดตน
: Yoong Ja
: ย้อนอดีตด้วยภาพ
: กลุ่มภาพเก่าในอดีตที่มีคุณค่า
อ้างอิงจาก: ฮักล้านนา ย้อนอดีตด้วยภาพ
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
สภาทนายความ แจงเหตุลบชื่อ ‘ทนายคนดัง’ ออกจากทะเบียนทนาย
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
แคปซูลกาลเวลา 1,700 ปี การค้นพบหลุมศพโรมันที่ "สมบูรณ์แบบ" ในฮังการี
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
🔍 ถอดรหัสปี 2568! คนไทยค้นหาอะไรบน Google มากที่สุด สะท้อนภาพสังคมแห่งปี
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
ซาอุฯ สั่ง "มันอัดเม็ดไทย" เพิ่ม 30,000 ตัน! เกษตรกรเฮลั่น
นี่คือสิ่งมีชีวิตที่สูงที่สุดและใหญ่ที่สุดในโลก Redwood และ Sequoia
เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับของจีน ทดสอบบินและยิงกระสุนจริงครั้งแรกแล้ว
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
สัญญาทาส? อดีตสมาชิก THE BOYZ "จูฮักนยอน" เผชิญวิกฤตชีวิต ถูกเรียกค่าปรับ '50 ล้านบาท' หลังถูกโยงข่าวฉาวกับอดีต AV สตาร์
“ข้าวโพด” แฉกลางรายการ “เวย์” โกรธหนักหลังเรื่องแดง ยืนยันอยู่ในทุกเหตุการณ์ที่นานาคุยด้วย – ย้อนคำพูดโต๊ะอาหาร “ยูต้องขอบคุณไอนะ”
ภาพวินาทีที่ “คุณนานา” ได้กอดลูก หลังถูกประกันตัวออกมา ทันทีที่เจอกัน เด็กทั้งสองคนวิ่งเข้ากอดแม่ทันที
มหาวิบัติศรัทธาครั้งใหม่! สาธุ ๒ (The Believers 2) เตรียมเขย่าวงการ ด้วยเดิมพันที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม



