อามันต์(เจ้าแห่งป่า) - ช่อม่วงนางผู้มากับสายหมอก
นิยายเรื่อง อามันต์(เจ้าแห่งป่า) นามปากกา...มาศอุไร
วางจำหน่าย ในรูปแบบนิยายออนไลน์ (ebook)
แพลตฟอร์มที่วางจำหน่าย : Meb ธัญวลัย นายอินทร์ Ookbee
สามารถ เข้าอ่านเนื้อหา ฉบับเต็มได้ตาม แพลตฟอร์มนิยายชั้นนำทั่วไป อาทิเช่น...
( Dek-d , readAwrite , ธัญวลัย , Hongsamut , fictionlog )
*ลิงค์สำหรับเข้าโหลดซื้อนิยาย ebook เรื่อง อามันต์(เจ้าแห่งป่า)* - https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTA5NTcwOSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjIwNzM3MyI7fQ
*สามารถเข้าอ่านนิยาย อามันต์(เจ้าแห่งป่าฉบับเต็มได้ที่ ธัญวลัย) ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะคะ -
https://www.tunwalai.com/story/469450
*แฟนเพจ: กนกรส* https://www.facebook.com/กนกรส-1742298989361370/
อ่านต่อได้ที่ https://board.postjung.com/1534865
(ตอน...ช่อม่วง นางผู้มากับสายหมอก)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเรื่องเล่าขานถึงป่าอาถรรพ์ ความน่าสะพรึงกลัว มาพร้อมกับอันตรายจากสิ่งลี้ลับคนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่อาจเข้าถึงได้...
คนเล่าหยุดพูดก่อนชี้นิ้วนำทางไปยังด้านหลัง
ตรงกลางวงนิทาน มีกองไฟขนาดย่อมถูกจุดสว่างไสวเอาไว้ ใช้สำหรับคลายอากาศหนาวเย็น ช่วงเดือนนี้กำลังเข้าสู่หน้าหนาว เด็กบางคนยังต้องลากผ้าผืนโต นำมาห่อหุ้มร่างกายก็มี...
“มันอยู่ตรงนั้น...”
สุดลูกหูลูกตา ปรากฏภูเขารูปทรงแปลกประหลาด รายล้อมด้วยอากาศขมุกขมัว เมฆฟ้าสีดำทะมึน...
“ตรงหลังภูเขาลูกนั่นไง...ที่ข้าหมายถึง” พร้อมสำทับด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“มันเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยอันตรายจากสิ่งที่ข้าเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดกายเข้าใกล้...แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนอยากลองดี หมายจะเดินข้ามภูเขา เพื่อไปพิสูจน์สิ่งลี้ลับ หากยังเดินไม่ทันถึงตีนเขาด้วยซ้ำ ชีวิตมันก็มอดไหม้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเสียก่อน...”
คำเล่าต่อมาของปู่เฒ่า พาทำเอาคนฟังถึงกับขนลุกซู่ เด็กเล็กชายหญิงหลายคน ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่ ไม่กล้าแม้จะเหลือบตามองภูเขาลูกนั้นอีกเลย...
“ไม่คิดว่าหลังภูเขาลูกนั้นจะมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยพ่อปู่...”
สาวน้อยในวันยี่สิบ บุ้ยปากไปยังที่ตั้งของภูเขาลูกใหญ่...
ปู่กอคะยาเป็นเฒ่าอายุมากที่สุดในหมู่บ้าน แกเป็นคนแก่ที่มีวิชาอาคมติดตัว
นิสัยประจำแกชอบมานั่งกินหมาก พร้อมกับเล่านิทานปรัมปราให้เด็กในหมู่บ้านฟังแก้เหงา...
รวมถึงตัวเธอด้วย ถึงแม้ในตอนนี้ เธอจะโตเป็นสาวเต็มตัว หากก็ยังชอบมานั่งฟังนิทานจากพ่อปู่ก่อนนอนอยู่ดี...
“อะไรคือสิ่งลี้ลับที่พ่อปู่ว่าหรือจ๊ะ...” คนถูกถามหลุบเปลือกตาลงมองขอนไม้แห้ง ถุยน้ำหมากทิ้งลงพื้นก่อนจะเล่าต่อ...
“เขาเรียกกันว่า บุตรแห่งป่าน่ะช่อม่วง...”
“บุตรแห่งป่า!งั้นเหรอจ๊ะ...” อามีเลิกคิ้ว ขยับเข้ามานั่งใกล้คนเล่า ก่อนเอ่ยปากซักถามด้วยความใคร่รู้
“แล้วบุตรแห่งป่า มีหน้าตาเป็นอย่างไร....เป็นคนหรือว่าเป็นสัตว์”
“เป็นคนอย่างๆเรานี่ละ แต่หน้าตาเป็นเยี่ยงไร ตัวข้าเองก็หารู้ไม่ แต่เท่าที่ฟังๆเขาเล่าต่อๆกันมา อ้อ...คนเล่าไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้หรอกนะ หากทว่าเป็น...” กอคะยาหลับตาพลางถอนหายใจหนัก...
“เป็นใครหรือจ๊ะ...” อามีถามอีก ปู่กอคะยาส่ายหน้า
“ข้าบอกเอ็งไม่ได้...”
“ทำไมล่ะ...เขาห้ามพ่อปู่ไว้หรือ...” คราวนี้เฒ่าแห่งหมู่บ้าน จะมีกอคะยา พยักหน้า...
“ข้ารู้เพียงว่า...บุตรแห่งเจ้าป่าคนนี้ มันเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม รูปร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่น ชวนให้มองหวั่นกลัว อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล สามารถล้มเสือร้ายได้ด้วยมือเปล่า ช้างทั้งโขลงยังต้องยอมสิโรราบให้กับไอ้ผู้นี้...”
“โอ้โห! เก่งฉกาจขนาดนั้นเลย...” อามีนหอปาก นัยน์ตาดำขยับพราวระยับ ถ้าตัวเธอมีบุญ เธอเองก็อยากจะเจอบุตรแห่งเจ้าป่าตนนี้สักครั้ง
ช่อม่วงเหลือบไปเห็นสีหน้าเพื่อนดูตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ เจ้าหล่อนเลยเบ้ปากเข้าใส่...
น่าสมเพช ฟังแค่นี้ก็เก็บเอาไปตื่นเต้นยกใหญ่ จะเก่งแค่ไหนกันเชียว...
“พี่รามีนของข้าก็ฆ่าเสือมือเปล่าได้เหมือนกัน...”
อามีนกลอกตา...ก็แน่ละ เสือเฒ่าตัวนั้น มันยังวิ่งหนีได้ก็บุญถมเถ
รามีนไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ดีแต่ทำตัวเจ้าชู้ไปวันๆน่ะสิไม่ว่า...
“เก่งตายล่ะ...” สาวน้อยหน้ามุ่ย ส่งเสียงลากยาวยียวน
“พอๆ เอ็งสองคนนี่กระไรนักนะ อยู่ใกล้กันทีไร เป็นได้กัดกันเสียทุกที...” พ่อปู่ยกมือห้ามทัพ ก่อนเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต ให้มานั่งฟังนิทาน ดันจะมาหาเรื่องทะเลาะใส่กันเสียได้...
“งั้นฉันไม่ฟังต่อแล้วล่ะพ่อปู่...ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย สู้ไปหาพี่รามีนของฉันก็ไม่ได้”
“ตามใจเอ็งเถิด...จะไปไหนก็ไป...” พ่อปู่กอคะยาส่ายหน้า ตัดรำคาญด้วยการยกมือไล่
“แต่ฉันจะฟังต่อจ๊ะ...ใครไม่ฟังก็เรื่องของมัน...ดีเสียอีก อากาศรอบตัวจะได้สดใสขึ้นอีกเป็นกอง”
พูดจบก็สะบัดหน้าพรืด ย้ายก้นมานั่งใกล้กับแคร่ไม้ไผ่ เป็นที่นั่งพ่อปู่นั่นเอง นึกหมั่นไส้คนมีความรักขึ้นมาตงิด เธอกับช่อม่วงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแท้ๆ แต่กลับยังไม่มีชายใดมาคิดหมายปอง พอตกเย็นทีไร เลยจำต้องมานั่งฟังนิทานแก่เซ็งไปวันๆ...
ช่อม่วงไม่อยากสาวความยาวกับคู่อริตลอดกาล พอลุกขึ้นยืนได้ เจ้าตัวก็เดินจ้ำอ้าวมายังกระท่อมไม้ ท้ายหมู่บ้าน หัวใจสาวน้อยรู้สึกพองโต ใบหน้าอิ่มเอิบยิ้มร่า อีกประเดี๋ยวเถอะ เธอจะไปจ๊ะเอ๋ ให้พี่รามีนตกใจเล่นเสียหน่อย...
ดังนั้นตลอดทั้งเส้นทางเดินมายังท้ายหมู่บ้าน ช่อม่วงจึงฮัมเพลงรักมาตลอดเส้นทาง เสียงหวานไพเราะเสนาะหู มีหลายบ้านเปิดบานหน้าต่างออกมาเมียงมอง...
“อารมณ์ดีจังนะช่อม่วง...”
“จ้า...” เจ้าของเสียงเพลงหวานตอบรับ สีหน้ายิ้มแย้ม พอนึกถึงหน้าชายคนทีไร โลกทั้งใบกลับกลายเป็นสีชมพูตลอด...
ความรักระหว่างเธอกับพี่รามีนกำลังอยู่ในช่วงสุกงอม หัวใจเธอถึงได้มีความสุขทุกครั้งยามนึกถึงคำพูดหวานหูของเขา ...
เวลาจวนเจียนค่ำเช่นนี้ พี่รามีนของเธอคงกำลังนั่งดูดยาสูบอยู่ตรงแคร่ไม้ไผ่นั่นแหละ...
สองเท้าเล็กจึงเดินเลยมายังด้านหลังกระท่อม ไม่โผล่หน้ามาทางหน้าบ้าน...
เวลานั้นเองหูเจ้ากรรมดันได้ยินเสียงแปลกประหลาดเสียงหนึ่งเข้าพอดี...
“อะ...อะ....ซี้ด...อ้า...ขยับอีก แรงอีกผัวจ๋า น้ำเมียใกล้จะแตกแล้ว....อู้วววว”
เสียงอะไร ทำไมฟังดูคุ้นหูจัง...
ช่อม่วงขมวดคิ้ว ค่อยเดินย่องมายังแหล่งกำเนิดของเสียงประหลาด...
เอ...หรือมีใครแอบมาทำอะไร ใกล้เรือนของพี่รามีน
ในขณะช่อม่วงเดินเข้ามาใกล้เสียงดั่งว่านั่น สีหน้าของเจ้าหล่อนกลับดูซีดเซียวลงเรื่อยๆ...
“โอ้ว!รามีน ดุ้นเอ็งช่างคับแน่นร่องข้าอะไรเช่นนี้...”
เสียงสาวสั่นกระเส่าดังขึ้นไม่ขาดระยะ ยิ่งเป็นการเร่งเร้าคนฟังทะยานไปยังทิศทางนั้นด้วยหัวใจร้อนรน...ก่อนภาพตรงหน้าจะทำเอาช่อม่วงแทบคลั่งตาย
นั่นมันพี่รามีนกับพี่มะเฟือง พี่สะใภ้ของเธอนี่นา...
สองคนนั้นกำลังเอากัน หลักฐานตำตา คาหนังคาเขาเสียด้วยสิ...
ช่อม่วงรีบยกมือปิดปาก กั้นเสียงกรีดร้องของตัวเอง ชายชั่ว กลับหญิงโฉด มันสองคนกำลังเล่นชู้กันในป่าท้ายหมู่บ้าน ไม่อายผีสางเทวดาหน้าไหนเสียด้วย...
เหตุการณ์ตำตาตำใจ หากช่อม่วงกลับไม่กล้าแสดงตัวตน เจ้าหล่อนมอบร่างน้อยหลบเข้าหาพุ่มไม้ เอาที่สามารถอำพรางตัวเองได้มิดชิด ถึงกระนั้นสายตาเจ้ากรรม ที่มันเกลื่อนไปด้วยหยาดน้ำใส ยังคงมองเห็นภาพบัดสีนั้นถนัดถนี่มากยิ่งขึ้น...
“อา...แรงอีก รามีนจ๋า ฉันใกล้ถึงสวรรค์อีกแล้ว”
รามีนจัดให้ตามคำขอ เขายึดบั้นท้ายงอนเด้งไว้มั่น ซูดปากซี๊ดซ๊าดกับความเสียวซ่านตอนโหมแรงเข้าสอดใส่ร่องสวาท พร้อมสาวสะโพกตอกอัดลำลึงค์อันโต สัมผัสได้ถึงผนังมดลูกดังกึก ก่อนจะแช่ค้างทิ้งไว้เพียงสักครู่ เป็นการปรับอารมณ์ ถึงแม้ร่องนี้เคยผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน แต่ทว่าก็ทำเอาหัวเขาหมุนได้ดีทีเดียว ชายหนุ่มชักดุ้นรบมาครึ่งจนหัวบานเกือบหลุด ก่อนทะลวงเข้าใส่ ร่องสวาทใหม่อีกครา ชนิดไม่ออมแรงกันละคราวนี้...
“โอ้ว...ซีด...อุ๊ย...เอาดุเหลือเกินพ่อรามีนคนเก่ง”
ร่างสาวใหญ่ยืนโก้งโค้ง แอ่นตัวรอรับแรงกระแทกจนเม็ดสวาทสั่นผวา ก่อนถูกปลายนิ้วแข็งแรงบี้บดเพิ่มอารมณ์กระสันซ่าน แผ่นหลังขาวแอ่นระนาบลู่ลงสู่พื้นดิน ยามถูกแรงกระทั้นเข้ามาใหม่อีกระลอก
คราวนี้จำต้องขยับปลายเท้าทั้งสองออกกว้าง สองมือยึดกิ่งต้นมะม่วงป่าไว้อย่างมั่นคง ประคองร่างไม่ให้ล้มลงกระแทกเอากับพื้นดินด้านล่าง...
“อา...อา...เสียว...เสียวร่องเหลือเกิน”
พี่สะใภ้ช่อม่วงหลับตาพริ้มรับความสุขเสน่หา โย้ร่างอรชรอ้อนแอ้นไปตามแรงกระเด้า จนหัวสั่นหัวคลอน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดัง ตับ ตับ ตับ ก้องไปทั่วบริเวณ
ช่อม่วงได้แต่นั่งน้ำตารินเจ็บใจอยู่หลังพุ่มไม้ ส่งสายตาตัดพ้อมองภาพตรงหน้าไม่กะพริบ ส่วนในใจเอาแต่ก่นด่าชายหญิงทั้งคู่ แช่งชักหักกระดูก ไม่ขอให้ทั้งคู่ตายดี...
เลว ชั่วชาติกันทั้งคู่ คอยดู เธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ลีชอ ให้มันมาจัดการไอ้อีทั้งสองคนให้ถึงแก่ชีวิต...
หากรามีนผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนในภายภาคหน้า กลับแสดงสีหน้าพึงพอใจรสสวาทของหญิงสาวรุ่นพี่ช่างดีต่อใจเขาหนักหนา เขาไม่ได้รู้สึกผิดต่อศีลธรรมอันดีนี้เลยแม้แต่น้อย มันก็ช่วยไม่ได้ พี่มะเฟืองอยากมาให้ท่า เขาถึงที่เองก่อนทำไม...
ถ้าไม่จัดให้นี่สิ เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชาติเลยก็ว่าได้...
ทั้งที่ตนเองนั้นรู้อยู่เต็มอก สาวมะเฟืองผู้นี้ มิใช่หญิงสาวตัวเปล่าเล่าเปลือย เจ้าหล่อนมีสามีเป็นตัวเป็นตน มิหนำซ้ำสามีของเจ้าหล่อนก็ยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของช่อม่วง แฟนสาวคนสวยของเขาอีกต่างหาก...
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ อาหารกลิ่นคาวมันยั่วน้ำลายขนาดนี้ แถมยังมีคนเอามาป้อนให้ถึงปาก ขืนเขาบอกปัดไป เขาก็คงโง่เต็มทน ไม่ต่างจากควาย...
“แรงอีก เอาฉันให้แรงกว่านี้อีกสิรามีน...”
เสียงกระเส่าร้องสั่ง อันที่จริงแรงกระเด้าที่ขับเคลื่อนเข้าใส่ ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย รามีนกัดฟันแน่น โหมแรงกายทั้งหมดกระทุ้งเข้าหาอีกระลอก มือหนาฟอนเฟ้นหน้าอกลูกโตคล้ายกับมะละกอ โดยไม่ต้องกลัวเจ้าของมันจะรู้สึกเจ็บ ความใหญ่โตของเต้าอวบอัดจะบีบจะเคล้นท่าไหน มันถึงใจเขาเสียจริง...
“โอ๊ย! เอากับใครก็ไม่มันเท่าเอากับพี่มะเฟืองเลยพับผ่าสิ พี่ต้องมาให้ฉันเอาบ่อยๆนะ”
“อะ...รามีนไม่กลัว ช่อม่วงมันจะรู้เรื่องนี้เข้าหรอกเหรอ” มะเฟืองแสร้งถามเสียงขาดห้วง
“ไม่กลัวหรอกจ้ะ...แล้วทำไมฉันต้องกลัวมันด้วยเล่า...”
เวลานี้ไอ้รามีนมันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ...มันอยากมีความสุข ร่องรอยได้อย่างเดียวเท่านั้น ช่อม่วงดีแต่จะร้องห้าม หรือไม่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมท่านู้นท่านี้จนเขาเอือมระอา บอกแต่จะรอให้ถึงคืนวันเข้าหอ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจจะมีวันนั้นหรือไม่...
เขามันก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกเสียด้วย ไม่รู้จะให้เขาแห้งเหี่ยวตายคาต้นไปถึงเมื่อไหร่...ในเมื่อขอดีๆแล้วไม่ให้ เขาก็ต้องเสาะแสวงหากินที่อื่นแทน ครั้นจะมารอให้ถึงวันแต่งงาน พอดีไข่เขาคงฝ่อก่อนใช้งานได้จริง ยิ่งมาเจอความเด็ดสะระตี่ของพี่มะเฟือง ช่อม่วงแทบไม่อยู่ในสมองเขาด้วยซ้ำไป...
รามีนโน้มกายชุ่มด้วยเหงื่อเข้าหาร่างอวบอิ่ม กดริมฝีปากลงกับผิวกายหอมลออ รัดกายสาวไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับโหมแรงเฮือกสุดท้ายกระทุ้งดุ้นเอ็นแรงขึ้น เร็วขึ้น จนทั้งคู่ต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงครางระโหย มะเฟืองเชิดใบหน้ารอรับความหฤหรรษ์ สาดใส่เข้าพร้อมแรงอัดฉีดของน้ำคาวข้น มันออกมาเยอะมาก ขนาดไหลทะลักล้นมาจนเปื้อนร่องขาอ่อนทั้งสองข้าง...
“อา...โอ้ว...”
สิ้นเสียงร้องครวญคราง พลันสายตาปรือด้วยแรงแห่งกำหนัดกับปะทะเข้ากับร่างหนึ่งเข้า...มะเฟืองหันขวับ ผลักร่างอ่อนแรงของรามีนจนกระเด็น พุ่งสายตาไปยังเป้าหมาย มันอยู่หลังพุ่มไม้ ...
“นั่นใคร!”
คนถูกทักสะดุ้งโหยง หันรีหันขวางด้วยแววตาตื่นตกใจ ก่อนพุ่งกายออกจากหลังพุ่มไม้ วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต...
ให้ตาย! แล้วนี่เธอจะต้องกลัว หญิงโฉดชายชั่วคู่นั้นไปทำไมกันหนอ...
เธอไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย ทำไมต้องกลัวจนหัวหด คนทำผิดคิดชั่ว ด้วยการลอบคบชู้ คือมันสองคนต่างหากเล่า...
ยิ่งคิดยิ่งแค้น ยิ่งอยากฆ่ามันให้ตาย ตนรึอุตส่าห์ทั้งรัก มอบความไว้ใจให้มันเสมอมา อีกทั้งยังเคยวาดฝัน ถึงอนาคตสวยงามต่างๆนานา ที่ไหนได้ พอลับหลังเธอเข้าหน่อย สันดานมักมากมันก็ปรากฏทันที...
“พี่รักเอ็งแต่เพียงคนเดียว”
ถุย! คำรักคำหวาน มันก็เปรียบดั่งกับคำโกหก หาความจริงใจไม่ได้สักหยดเดียว...
ตอนช่อม่วงวิ่งหนีเตลิด น้ำตานั้นไหลกลบดวงตางดงาม สมองก็คิดด่าทอผู้ใจคิดคดไปสารพัด ปล่อยให้ขาทั้งสองข้าง พาวิ่งหนีเตลิดมายังทิศทางใดตนนั้นก็ไม่รู้ จนกระทั่งหญิงสาววิ่งผ่านเข้ามายังป่าลึก ผ่านแผ่นป้ายทำจากไม้ผืนใหญ่ ปักหราไว้ตรงถนนแยกสี่แพ่ง...
ระบุตัวอักษรสีแดงฉานว่า ‘ห้ามผ่าน’
แต่ถึงกระนั้นคนขวัญกระเจิง หาได้มองเห็นแผ่นป้ายดังกล่าวไม่...
ช่อม่วงวิ่งผ่านเข้ามา บัดดลนั้น เส้นถนนเบื้องหลัง กลับอันตรธาน หายไปในพริบตา...
“กูถามว่านั่นใคร!...”
มะเฟืองตะโกนลั่น หลังจากดันร่างชู้รักออกห่าง รับคว้าเสื้อกับผ้าถุงผืนเก่า เอามาสลัดฝุ่นกับเศษใบไม้แห้งด้วยมือไม้สั่นเทา ก่อนรีบสวมใส่กลับเข้าร่างแบบลวกๆ
ครั้นรามีนพอถูกผลักจนกระเด็น เขาจึงเกิดอาการงุนงงปนโมโหหน่อยๆ
“พี่มะเฟือง มาผลักฉันทำไม ดูสิ...ได้แผลถลอกปอกเปิกหมดแล้วเนี่ย...”
คนฉุนกึกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง พอเสร็จสมอารมณ์หมาย เขาก็หมดประโยชน์ต่อเจ้าหล่อนเลยหรือไง...
รามีนคิดแบบโกรธจัด ก่อนขยับกายตัวเองลุกขึ้นยืน คว้าเอากางเกงขาสามส่วนมาสวมด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด...
มะเฟืองกัดกลีบปาก เพ่งสายตาไปยังพุ่มไม้เขม็ง ไม่คิดสนใจท่าทางสะบัดสะบิ้งของหนุ่มรุ่นน้อง...
“แล้วจะกลับขึ้นเรือน หรือว่าพี่จะ...”
“เงียบเสียงก่อนเถอะ...เมื่อตะกี้ ตาฉันเหมือนเห็นเงาใครก็ไม่รู้ มันผลุบๆโผล่ๆอยู่ตรงหลังพุ่มไม้นั่น” มะเฟืองชี้นิ้วไปยังหลังพุ่มไม้สูงเพียงแค่เอว ด้านข้างเป็นต้นสักใหญ่ ใบของมันหนาทึบ เลยทำให้ตรงบริเวณนั้นแสงสว่างเข้าไม่ถึง เลยทำให้มะเฟืองมองโดยรอบเห็นไม่ถนัดเท่าไหร่...
รามีนได้ยินดังนั้นเลยรีบหันขวับมองตาม ใจคอชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสู้ดี อย่างน้อยๆเขายังนึกกลัวคมดาบของไอ้พี่ลีซออยู่เหมือนกัน
“ตาฝาดไปเองหรือเปล่า ถ้าเป็นคนจริงๆ ป่านนี้คงโวยวายไปเสียนานแล้ว...” รามีนถามเสียงแผ่ว ก่อนย่างสามขุมมายังบริเวณดังกล่าว...
ทันใดนั้นหัวคิ้วทั้งสองข้างกดเข้าหากันต่ำ หัวใจหนุ่มชู้แทบหล่นกองกับพื้น หรือว่าจะเป็น...
“ช่อม่วง..” รามีนถลาร่างหนา แหวกพงหญ้า กวาดสายตาหาร่องรอยบนพื้นดิน มันปรากฏรอยเท้าขนาดเล็ก แน่แล้วต้องเป็นรอยเท้าของผู้หญิง ไม่แน่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่...
“อีช่องั้นหรือ...” มะเฟืองถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลใจ พยายามเดินหาร่องรอยดังกล่าว ขืนเป็นน้องผัวของตนเองจริง เรื่องคงบรรลัยหนักกว่าที่คิด...
รามีนพยักหน้า...
“น่าจะไม่ผิดตัว มีมันคนเดียวที่รู้ว่า ฉันชอบหลบมานั่งที่ใด ในช่วงเวลานี้...”
“ต้องรีบหาตัวมันให้เจอ ก่อนเรื่องนี้จะไปถึงหูพี่ลีซอ...ไม่อย่างงั้น ฉันต้องตายแน่ๆ”
ด้วยกลัวว่าช่อม่วงที่เห็นเหตุการณ์เร่าร้อนระหว่างเธอกับรามีน อาจนำเรื่องบัดสี เรื่องผิดผีนี้ไปฟ้องไอ้ผัวไร้น้ำยา คราวนี้เธอคงได้กลายเป็นผีเน่า ถูกฝังกลบในหลุมใดหลุมหนึ่งในป่านี้เป็นแน่แท้ ถึงผัวจะไม่ใช่คนโหดเหี้ยม แต่มันก็เป็นคนจริงคนหนึ่งของหมู่บ้าน ถูกสวมเขาแบบนี้มันคงจะเอาไว้บูชาหรอก...
ชายโฉดหญิงชั่วสบตากันด้วยความหวั่นเกรง ก่อนพากันตามหาร่องรอยตามพื้นดิน อกใจข้างในมันรู้สึกสั่นไหว กลัวความผิดอัปรีย์นี้จะถูกแพ่งพาย...
แน่นอนโทษนั้นคงมีแค่ชีวิตเพียงอย่างเดียว ถึงจะสาสมแก่ความระยำตำบอน ด้วยการแอบคบชู้สู่ชาย ทั้งที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อีกคนก็อนาคตน้องเขย เคยกินข้าวสำรับเดียวกันออกจะบ่อย ตอนนี้ยังไม่ใช่คนในครอบครัว อีกไม่นานก็คงใช่...
ตัดกลับมาอีกด้าน คนวิ่งหนีเตลิดเข้ามาในป่าลึก ยังคงหลับหูหลับตาวิ่งชนิดลืมดูทิศทาง จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยหอบ หายใจหายคอแทบไม่ทัน ถึงได้รู้สึกตัวสักที ตนนั้นวิ่งหลงทิศมาไกลมากขนาดไหน...
ด้วยน้ำหูน้ำตายังคงไหลพราก กลบเปลือกตาทั้งสองข้าง เดือดร้อนให้ช่อม่วงต้องคอยปาดทิ้งอยู่เรื่อย พอเหนื่อยหนักเข้าหน่อย เจ้าหล่อนเลยชะลอฝีเท้า เปลี่ยนจากวิ่งกลายเป็นเดินช้าๆ พอมีเวลาได้หายใจ สติเลยค่อยๆกลับคืนมา ครานี้เจ้าตัวหันรีหันขวาง ส่ายสายตามองบรรยากาศรอบตัว มันไม่ใช่สิ่งคุ้นเคย ขนในกายพลันลุกชัน...
แล้วที่นี่ มันคือที่ใดกันเล่า? ไฉนเธอจึงไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน..
ทันใดนั้นหูเจ้ากรรมดันได้ยินเสียงแว่ว เป็นเสียงลมพัดผ่านกระทบเข้ากับกิ่งไม้ เสียงของมันดังครืดคราด อากาศโดยรอบชักเริ่มเย็นตัวลงเรื่อยๆ ทำเอากายสาวสั่นผวา ช่อม่วงกระชับเสื้อเชิ้ตลายดอก พร้อมห่อตัวเข้าหากัน...
“ป่านี้คือที่ใด?” ช่อม่วงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
ทุกสรรพสิ่งรอบตัว ล้วนไม่เคยผ่านสายตาเธอมาก่อนเลยทั้งนั้น แม้กระทั่งต้นไม้น้อยใหญ่เหล่านี้ ปกติมันก็เหมือนกันหมด ทว่าป่าแทบนี้กลับไม่ใช่ ต้นไม้แต่ละต้น มันดูแปลกประหลาดไม่เหมือนต้นไม้โดยทั่วไป ซ้ำร้ายสองข้างถนนยังเต็มไปด้วยหนามจากเถาวัลย์...
ช่อม่วงหยุดเท้าตัวเองลงกึก นัยน์ตากลมโตเบิกโพลง รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเหลือเกิน พาลทำเอาระบบทางเดินหายใจชักเริ่มขาดห้วง เจ้าตัวยกมือขึ้นปิดปาก กั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงกรีดร้องออกมา...ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แลเห็นแต่เพียงความเวิ้งว้าง ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้มจัด ราวกับทะเลเพลิง...
บนท้องฟ้านั่น มองไม่เห็นแม้กระทั่งดวงจันทร์ แม้แต่ดวงดาวทั้งหลายก็ไม่มีให้เห็นสักดวง...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ความหวาดกลัวในใจเริ่มทวีมากขึ้นทุกชั่วขณะจิต...
ช่อม่วงตัวสั่นงันงก ร้องหามารดาทันที...
“แม่จ๋า...ช่วยช่อม่วงด้วย” หญิงสาวตะโกนเรียกหาผู้ให้กำเนิด แววตานั้นเหลือกลาน หวาดกลัวจับจิตจับใจ...
“มึงต้องตาย”
ทันใดนั้นเสียงเนิบช้าของผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เล่าถึงเรื่องกล่าวขานของเขตป่าอาถรรพ์ ดันผลุดขึ้นมาในหัวสมองพอดิบพอดี พาลทำเอาจิตใจคนนึกคิดระส่ำระสาย หัวใจตกลงตาตุ่มอีกครั้งจนได้...
“มันเป็นป่าอาถรรพ์ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มันหลอก เพราะถ้าหากผู้ใดเผลอหลงเข้าไป ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะหาทางกลับออกมาได้อีก...”
“ไม่...ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ ไอ้อีต่ำช้าสองตัวนั่นต่างหาก พวกมันสมควรต้องตายมากกว่าฉัน...”
ช่อม่วงส่ายหน้า น้ำตารินอาบสองข้างแก้ม เธอยังอยากมีชีวิตอยู่ ยังไม่อยากตายในตอนนี้เลย เหตุใดโลกช่างไม่ยุติธรรม เธอทำอะไรผิด ถึงต้องมาเผชิญกับสิ่งเลวร้ายเช่นนี้...
“ฮือ...ใครก็ได้ช่วยฉันที...”
ด้วยความกลัวตาย ช่อม่วงจึงเริ่มต้นวิ่งใหม่อีกครั้ง และก็เหมือนคราวแรก เจ้าหล่อนวิ่งโดยไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ เอาแต่วิ่งแล้วก็วิ่ง จนกระทั่งสะดุดเข้ากับรากไม้ เลยทำให้ร่างเล็กเซถลากลิ้งตกมายังพุ่มไม้ข้างทาง
“โอ๊ย!...”
ร่างเล็กที่สะดุดเข้ากับรากไม้ ทำให้ร่างทั้งร่างโผนทะยานไปด้านหน้า ช่อม่วงไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้อง ตอนร่างบางล้มกระแทกลงกับพื้นดิน ทั้งชื้นแฉะแถมยังมีกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ก่อนร่างบางจะกลิ้งหลุนๆลงมานอนกองใกล้กับรากไม้ขนาดใหญ่
เนื้อนุ่มนิ่มครูดเข้ากับแง่งหินจนเลือดออกซิบ สร้างความแสบสันให้กับเจ้าตัวยิ่งนัก ก่อนสติทุกอย่างจะดับวูบไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยซ้ำ บนต้นไม้ขนาดสูงลิบ มีร่างสูงใหญ่จ้องมาอย่างสะพรึงกลัว...
“นั่นใคร?”
คนถูกถามเอี้ยวร่างกำยำมามองเพียงแวบเดียว แล้วก็ไม่ได้ให้ความสลักสำคัญอะไรด้วยอีกเลย ดูเหมือนในมือของเขากำลังสาละวนกับการคนอะไรบางอย่างในหม้อดิน กลิ่นของมันอับชื้น เหม็นเสียจนแทบอยากอาเจียน...
ช่อม่วงตั้งสติเพียงชั่วครู่ ภาพก่อนหน้าก่อนหน้าเธอหมดสติจะหลั่งไหลเข้ามาในส่วนประสาทรับรู้
อา...เธอวิ่งหนีเตลิดเข้ามาในเขตของป่าต้องห้าม บังเอิญเท้าดันไปสะดุดเข้ากับรากไม้ แล้วล้มคะมำ แล้วก็หมดสติจำอะไรไม่ได้หลังจากนั้น...
“นี่นายเป็นคนช่วยชีวิตฉันเอาไว้อย่างนั้นเหรอ...อย่างไรฉันก็ต้องขอบใจมากนะ”
หลังจากส่งคำถามพร้อมด้วยคำขอบคุณกลายๆ ร่างงามสมส่วนก็พยายามขยับลุกขึ้นนั่ง อาการเจ็บแปลบตามเนื้อตัวทำให้สีหน้าซีดขาวเหยเก...
“อู๊ย...ทำไมถึงเจ็บจังเลย...”
คนเพิ่งล้มกลิ้งหน้าคะมำจนหมดสติซูดปาก บ่นงึมงำในใจ ก้มมองสำรวจตามเนื้อตัวเอง แสงสลัวจากไฟตะเกียงทำให้เห็นรอยฟกช้ำตามแขนขาเต็มไปหมด ยังถือว่าเธอยังเคราะห์ดี ไม่มีกระดูกชิ้นไหนแตกหัก ไม่เช่นนั้นคงได้เจ็บหนักกว่านี้แน่...
“ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน...บ้านของนายเหรอ...” ความหวาดกลัวก่อนหน้าหายวับไปกว่าครึ่ง อย่างน้อยก็ยังมีบ้านคนให้พอได้อุ่นใจ หญิงสาวกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความสนใจ เป็นกระท่อมหลังเก่า ขนาดไม่กว้าง แต่ก็ดูสะอาดสะอ้านดี
“ว่ายังไง นี่ใช่บ้านของนายหรือเปล่า”
ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากคนตรงหน้าอยู่ดี...
ก่อนลมหายใจจะสะดุดกึก พร้อมกับสายตาวาววับตอนมันหยุดลงตรงแผ่นหลังกว้าง หัวไหล่ดูบึกบึนตั้งตรง ลำแขนกำยำ ดูน่าเกรงขามไปทั้งเนื้อทั้งตัวเขา เหมือนเขาไม่ใช่คนธรรมดา ทำเอาขนในกายเธอลุกซู่ ความรู้สึกอึดอัดแถวกึ่งกลางลำตัวแล่นโลด น้ำเชื่อมไหลซึมเพียงแค่ชำเลืองตามองรูปร่างของเขาเท่านั้น...
แล้วในชั่วอึดใจ ดวงตาคู่โตก็เบิกโพลง ตอนเจ้าของแผ่นหลังกว้างน่าซุกกอด หันหน้ามาให้เห็นทั้งตัว...
อา...นั่นคนหรือว่าเทพบุตร...
ช่อม่วงพึมพำต่อในใจ พร้อมกะพริบตาปริบ อ้าปากหวอโดยไม่รู้ตัว...
เทพบุตรของช่อม่วงกลับไม่ได้นึกใส่ใจต่อปฏิกิริยาของเจ้าหล่อนเลยสักนิด มีแต่รู้สึกน่ารำคาญเสียมากกว่า...
“แค่แผลถลอก ร้องซะเหมือนกำลังถูกเชือด...”
คนบ่นแสดงสีหน้าเอือมระอา เขากระชากเสียงดุก่อนขยับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เท่ากับยิ่งทำให้ช่อม่วงเห็นถึงความกล้าแกร่งของบุรุษหนุ่มปริศนา จนต้องแอบกลืนน้ำลายลงคอ...
เขาเป็นใคร?...
อามันต์เดินอาดๆออกไปด้านนอกกระท่อม หัวร้อนพอสมควรตอนคว้ากะลาใบเล็ก จ้วงน้ำสะอาดใส่มาครึ่งกะละมัง แล้วเดินย้อนกลับเข้ามาภายในกระท่อม....
สีหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรเลยยังคงบูดบึ้ง...
เพราะแม่คนนี้คนเดียวแท้ๆ ทำให้เหยื่อของเขาหลุดมือ เขาอุตส่าห์ใจเย็น เฝ้ารอให้มันมาติดกับดักราวสามสัปดาห์ เหลืออีกนิดเดียวแล้วเชียว ทว่าแม่นี่กลับวิ่งทะเล่อทะล่า ทำให้เหยื่อของเขาตกใจวิ่งหนีเตลิดเข้าป่าลึกกว่าเดิมเข้าไปอีก...
ช่อม่วงกลืนน้ำลายลงคอ ช้อนสายตาเชื่อมมองท่อนขาเรียวยาว กำลังก้าวอาดๆเข้ามา...
เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ บ่าไหลลาดโครงชวนมอง ส่วนใบหน้ารูปเหลี่ยมปลายคางมีรอยบุ๋มช่างดูหล่อเหลาชนิดหาตัวจับยาก หล่อกว่าไอ้รามีน ไอ้ผู้ชายเฮงซวยมากมายก่ายกอง...
“นายยังไม่ตอบฉันเลยว่าที่นี่มันที่ไหนกัน ฉันวิ่งหลงเข้าป่ามาลึกขนาดไหนก็ไม่รู้...”
“แล้วตอนที่เอ็งวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาไม่รู้หรือไง ว่าที่นี่ที่ไหน...”
อามันต์ไม่ตอบแต่เปลี่ยนเป็นย้อนถามเสียงดุ ก่อนหย่อนร่างหนานั่งลงกับพื้นไม้ คว้าเอาหม้อดินบนเตาไฟเทน้ำสีดำทมิฬใส่ในกะลาใบเขื่อง เกิดควันพุ่งลอยตัว กลิ่นของน้ำสีดำนั่นฉุนกึก ช่อม่วงเบ้หน้าพลางส่ายหัว...
“ฉันไม่รู้หรอกจ้ะ...ตอนวิ่งเข้ามาน้ำตามันกลบตาไปหมด มองไม่เห็นทิศทางเลย...”
อามันต์ตวัดสายตาขุ่นหันกลับมาทางร่างเล็ก ส่งกะลาในมือให้เจ้าหล่อนด้วยท่าทีแข็งกระด้าง...ไม่ได้คิดจะซักไซ้ต่อ เหตุใดเจ้าหล่อนถึงต้องวิ่งร้องไห้เตลิดเข้ามายังถิ่นต้องห้ามของเขา...
ด้วยเหตุยังเคืองใจ เรื่องเหยื่อที่หนีไป...
“ยาแก้ช้ำใน...กินซะ พรุ่งนี้แผลถลอกจะได้ไม่ระบม”
“ขอบใจจ้ะ”
ช่อม่วงรับมาถือไว้โดยไม่อิดออด จัดการดื่มเพียงรวดเดียวจนหมดเกลี้ยง รสชาติของยาค่อนข้างขมปี๋ และกลิ่นของมันออกฉุนจนแทบอาเจียนทิ้ง
พอสายตาแลเห็นคนทำให้ สาวเจ้าจึงพยายามฝืนกลืนลงคอจนหมดเกลี้ยงในที่สุด...
ไม่รู้สิ...ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกกลัวชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้อย่างที่สมควรจะกลัว ไม่กลัวแม้กระทั่งว่าเขาอาจส่งยาพิษให้เธอดื่มด้วยซ้ำ...
ช่อม่วงช้อนสายตาหวานมองเขาโดยตรง ตอนส่งกะลาในมือกลับคืนเจ้าของ...
“ฉันชื่อช่อม่วง แล้วนายล่ะ...มีชื่อว่าอะไร”
ถามเสียงใสพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานหยด ตอนนี้เธอไม่คิดเสียใจเรื่องแฟนหนุ่มที่นอกใจเลยสักนิด ลืมแม้กระทั่งคำถามก่อนหน้านี้ เธอนั้นอยู่ที่ไหน ลืมแม้กระทั่งตัวเองอาจตกอยู่ในสถานที่อันตรายด้วยซ้ำ...
“ไม่ใช่เรื่องที่เอ็งต้องมาสาระแนอยากรู้...พรุ่งนี้ถ้าไม่มีไข้ ข้าจะให้ลูกน้องพาเอ็งออกจากป่า”
ช่อม่วงผงะถอยห่าง ดึงสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด...
ส่ายหน้าไปมา เธอยังไม่อยากออกจากป่าตอนนี้ แต่ว่าป่าหรือ...
หญิงสาวนิ่วหน้า เหลือบสายตาไปยังหน้าต่าง แลเห็นเพียงความมืดมิดกับเสียงของแมลงตัวเล็กเท่านั้น...
“อย่าบอกนะว่าที่นี่คือ ป่า...ต้อง...ห้าม...” พอนึกถึงป่าต้องห้าม คราวนี้อารมณ์กลัววูบหนึ่งกลับแล่นฉิวเข้ากระทบความรู้สึก ดวงตาหวานเบิกโต กลืนน้ำลายคราวนี้ชักดูยากลำบากกว่าก่อนหน้า...
อามันต์หัวเราะก้อง ลุกเอากะลามาคว่ำไว้บนปากหม้อยา...
“ป่าก็คือป่า...ทำไมจะต้องมีต้องห้ามด้วยล่ะ พวกเอ็งมันใจเสาะ คิดกลัวกันไปเองทั้งเพ”
“แต่พ่อเฒ่าที่หมูบ้านของฉัน...แกเล่าให้ฟังว่าที่นี่น่ากลัวมาก ใครเดินหลงเข้ามา ต้องมีอันเป็นไปหมดทุกราย ไม่เคยมีใครได้กลับออกจากป่าต้องห้ามนี้เลยสักคนเดียว...”
“มันก็แค่เรื่องเล่า...” อามันต์ย้อนเสียงหนัก แต่ไม่คิดจะอธิบายเพิ่ม
เพราะโดยส่วนมากพอชาวบ้านเหล่านั้นบังเอิญเดินมาเจอเขาเข้า ต่างก็พากันวิ่งหนีเตลิดเข้าไปในป่าลึกนู่นแล้ว ยังไม่ทันได้ถามไถ่กันสักคำ คิดเองเออเองกันทั้งนั้นว่าเขาเป็นผีสาง...
อะไรที่ขึ้นชื่อว่าป่า มันย่อมมีสารพัดสัตว์ร้ายอาศัย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอยู่ดีไม่ว่าดี วิ่งไปเจอไอ้เสือลายเข้า ก็ได้กลายเป็นอาหารโอชะของมันไปโดยดุษฎี จะรอดออกจากป่าไปได้อย่างไรเล่า...
“แต่ก็มีคนเดินหลงเข้ามา แล้วไม่ได้กลับออกไปจริงๆนี่...” ช่อม่วงเถียงกลับ หรือว่ามีแต่เธอไม่รู้
“เลิกพูดมากแล้วก็นอนพักได้แล้ว...พรุ่งนี้เอ็งจะได้มีแรงเดินออกจากป่า”
อามันต์บุ้ยปากตัดความรำคาญ โดยให้เจ้าตัวนอนลงเสียที ส่วนเขาจะไปนอนอีกมุมของห้อง งีบหลับสักตื่นให้มีเรี่ยวแรง กะว่าเช้ามืดเขาจะปีนขึ้นไปดูไอ้พญาเสียหน่อย มันคงเตลิดไปซ่อนตัวได้ไม่ไกล ยังไงมันต้องย้อนกลับมาหาเหยื่อของมันอีกเป็นแน่แท้...
ทว่าช่อม่วงกลับไม่ยอม เจ้าหล่อนถลาพรวดมาทางเจ้าแห่งป่า ชะโงกใบหน้าหวาน ก้มมาจนเกือบสัมผัสถูกใบหน้าคมคาย ปลายจมูกโด่งเล็กเฉียดฉิวไปหน่อยเดียว
“อะ...ฉันขออยู่ต่อสักวันสองวันได้ไหม...ฉันยังไม่อยากกลับออกไปเห็นหน้าไอ้คนทรยศ...”
ช่อม่วงต่อรองด้วยน้ำเสียงฉุนกึก ยังไงก็ยังไม่เลิกหายโกรธไอ้อีสองคนเลวนั่นเร็วๆนี้แน่นอน...
ไม่เพียงแต่ขออยู่ต่อ ช่อม่วงยังเผลอวางมือถูกเป้าตุงโดยไม่ได้ตั้งใจ..
“เฮ้ย!ไม่ได้...” อามันต์สะดุ้งโหยง หลุดปากส่งเสียงร้องลั่น พร้อมกับเผลอผลักร่างบางจนปลิวกระแทกลงกับพื้น เล่นเอาสะโพกมนขัดยอกเลยทีนี้ แผลเดิมยังไม่ทุเลา มาเพิ่มแผลใหม่เสียอีกแล้ว...
“โอ้ย!...เจ็บนะ...” หญิงสาวสูดปาก ยกมือคลำสะโพกตัวเองปรอยๆ เจ็บจนรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว น้ำใสเอ่อกลบดวงตากลมโตทั้งสองข้าง
“ทำไมต้องทำรุนแรงกับฉันด้วยฮะ !...”
“ก็ใครใช้ให้เอ็ง กระโจนเข้ามาหาข้ากะทันหันล่ะ...เป็นใครมันก็ตกใจกันทั้งนั้น”
“ฮือ...กระดูกหักหรือก็เปล่าไม่รู้”
ช่อม่วงไม่เพียงแค่ส่งเสียงบ่น เจ้าหล่อนยังถลกผ้าถุงขึ้นมาถึงต้นขาอ่อน พลิกขากดหัวเข่าลงกับพื้นไม้ บิดเอวพร้อมดึงเนื้อผ้าเนื้อนุ่มขึ้นมาถึงเอวคอดกิ่ว จนแลเห็นก้นขาวราวน้ำนม...
อามันต์กะพริบตาปริบ ความเป็นเขาตื่นเพลิด น้ำลายชักเริ่มสอ ความขาวลออของผิวสาว พอยิ่งมาสะท้อนกับแสงจากดวงจันทร์ พาลทำเอาอารมณ์วาบหวามเต้นระริกระรี่ เลือดลมในกายพากันพลุกพล่านร้อนฉ่า หัวหยักสีคล้ำดันเนื้อกางเกงจนเสียวปลาบ...
“ซีด...เจ็บชะมัด” คนไม่รู้ตัวเองยังบ่นอุบ เลื่อนมือสัมผัสเนื้อแน่นแถวสะโพก ขยับตัวอีกนิดจนก้นลอยเด่นขึ้นจากพื้นไม้กระดาน...
ท่วงท่าคล้ายนางในวรรณคดีกำลังบิดกายเชิญชวนหมู่ภมร...
“เอ็ง...เอ็ง...เอ่อ...เจ็บมากเลยเหรอ”
อามันต์ส่งเสียงถาม กระเถิบร่างแข็งแกร่ง ค่อยๆคืบคลานเข้าใกล้แม่เสือสาวดาวยั่วโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ช่อม่วงเหมือนเพิ่งได้สติ เจ้าตัวรีบเงยหน้าขึ้นมองมาทางชายหนุ่ม ก่อนสะดุ้งโหยงตอนเห็นเขากระเถิบเข้ามาใกล้ตัวเกินพอดี...
“อะ...ใกล้เกินไปหรือเปล่า ถอยห่างอีกนิดก็ได้มั้ง...”
สาวเจ้าพูดแก้เก้อ มือข้างหนึ่งรีบดึงผ้าถุงลงมาปิดบังเนื้อสาว ผิวแก้มร้อนระเรื่อขวยเขินแต่ก็ยังทำใจกล้า ช้อนสายตาสบกับเจ้าป่าหนุ่มหล่อ...
“มา...ให้ข้าดูแผลให้ เอ็งคงดูไม่ถนัดหรอก เมื่อกี้เอ็งบอกกับข้าว่าชื่ออะไรนะ...”
“ช่อม่วงจ้ะ...”
ช่อม่วงอยากจะค้อนเขานัก...ทีอย่างนี้ละ...ทำมาอยากรู้จักชื่อเธอขึ้นมาเชียวนะ ก่อนหน้ายังบอกว่าเธอสาระแนอยู่เลย...หากถึงกระนั้นช่อม่วงไม่ได้ถือโทษเก็บเอามาเป็นอารมณ์แต่อย่างใด
เขาสนใจตัวเธอขึ้นมาแล้วเลิกขับไล่ไสส่ง ถือว่าเข้าทางตนเองพอดี...
อามันต์ยิ้มกรุ้มกริ่มส่งให้สาวเจ้า เลียริมฝีปากแห้งผาก หลุบสายตามองขาขาวๆ ใจคอไม่ค่อยสู้ดี
อารมณ์หนุ่มคึกคักจนเขาแอบปรามตัวเองอยู่ในใจ ใจเย็นๆหน่อยโว้ยไอ้อามันต์ เดี๋ยวเหอะ...ผู้หญิงเขาจะกลัวความบ้ากามของเอ็ง จนหัวหดกันพอดี...
คิดว่ายังไงเสีย คืนนี้ท่าจะต้องออกแรงสักหน่อยแล้วกระมัง ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทำ สาวเจ้ากลับมาอ่อยให้ท่า ใจเขาก็สั่นคลอน...
“ชื่อเพราะเสียจริง...ส่วนข้ามีชื่อว่าอามันต์...ไหน...เอ็งเจ็บตรงไหน มาให้ข้าดูหน่อยสิ ขาจะช่วยทายาให้เอ็งไง มืดๆแบบนี้เอ็งคงทาไม่สะดวก...”
ช่อม่วงกลั้นยิ้ม ตีสีหน้าดูไร้เดียงสา พึงพอใจกับปฏิกิริยาเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวของชายหนุ่มตรงหน้า ทำอย่างไรได้เธอสะดุดใจกับรูปร่างหน้าตาเขานี่นา หล่อเหลากว่าผู้ชายในหมู่บ้านทั้งหมดจับมัดมารวมกันเสียอีก...
“จะดีเหรอ...ฉันเอ่อ...เกรงใจนายน่ะ”
“หรือว่าเอ็งกลัว...”
“ไม่ๆฉันไม่ได้กลัว...แต่ว่า...” หญิงสาวก้มหน้างุดแสร้งทำทีเป็นคิดไตร่ตรอง
“ก็ได้จ้ะ...” ท้ายที่สุดก็พยักหน้าอนุญาตอยู่ดี
อิดออดไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่อะไรกลัวเขาเปลี่ยนใจเพราะนึกรำคาญเธอนี่ละ...
ช่อม่วงต้องสะกดความเขินอาย ถลกผ้าถุงผืนน้อยขึ้นมาไว้เหนือเอว จงใจเปิดเผยเนื้อตัวให้อามันต์ได้เห็นเต็มตา...
“ฉันเจ็บตรงนี้จ้ะ...” หญิงสาวชี้ตรงบริเวณแถวสะโพกขาวเนียน
ความขาวเนียนตาพุ่งทะยานเข้าใส่ชายผู้โดดเดี่ยว ทว่าไม่เดียวดายนานเข้าจังเบ้อเร่อ...
“ขยับมานั่งใกล้ๆข้าหน่อย...แล้วปลดผ้าถุงออกเสีย ข้าจะได้ทายาได้ถนัดหน่อย”
ช่อม่วงรีบทำตามอย่างว่าง่าย ขยับร่างเข้าหาทั้งที่ตอนนี้เขาแทบจะนั่งสิงร่างเธอได้รอมร่ออยู่แล้วก็ตาม เธอถอดผ้าถุงออกทางปลายเท้า ขยับร่างบอบบางเข้ามาประชิดเจ้าของคำสั่ง ความอวบอิ่มแห่งวัยสาว ปรากฏเด่นแก่สายตา มันอวบอูมสดใหม่ จนอามันต์ตาลุกวาว แทบกลายร่างเป็นเสือหิวได้ในบัดดล...
“เอ็งช่างสวยถูกใจข้ายิ่งนัก...ช่อม่วง”
อามันต์ชมเสียงกระเส่า เอื้อมมือหยาบสัมผัสลงกับโคนขาอ่อน เขาจงใจลูบไล้วนเวียนลงกับเนื้ออ่อนนุ่ม จนทำเอาขนในกายสาวลุกซู่
ทว่ายังไม่คิดจู่โจมดอกชบากลีบหวาน สองกลีบสาวนั้นปิดสนิทบ่งบอกว่าแม่สาวผู้นี้ยังคงความบริสุทธิ์หรือไม่ก็ไม่ค่อยได้ใช้งาน
อามันต์เพียงปรายตามองไว้อย่างหมายมาด ประเดี๋ยวเขาจะจับซดน้ำจากหอยหวานๆนั้นเสียให้เกลี้ยงเชียว...
“แต่ฉันเจ็บไม่ได้เจ็บตรงนั้นสักหน่อย...นายกำลังทายาให้ผิดจุดอยู่หรือเปล่า”
ช่อม่วงหนีบเรียวขาปกปิดส่วนอล่างฉ่าง ชี้ตรงสะโพกให้เขาเห็น พร้อมกับส่งเสียงประท้วงคนทายาให้ว่า เขาทาผิดตำแหน่ง ยังไงเธอก็ยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง ขอเล่นตัวสักนิดสักหน่อยเถอะ แต่ก็เล่นให้พอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ ไม่คิดทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ...
ช่อม่วงมีความอยากรู้ อยากลอง รวมถึงภาพติดตาตอนอดีตแฟนหนุ่ม กำลังนัวเนียอยู่กับอีมะเฟืองพี่สะใภ้แสนชั่ว มันทำให้เธอนั้นอยากลองและทำแบบนั้นบ้าง...
ยิ่งมาเจอหนุ่มหน้าตาถูกใจ รูปร่างเขาช่างสูงใหญ่ หน้าอกผึ่งผาย บ่าไหล่กำยำล่ำสัน ใจเธอมันเลยเต้นระริก อยากได้เขามาเป็นครู ช่วยสอนสั่งให้เธอได้รู้ การร่วมรักนั้นเป็นเช่นไร...
“อา...ขอโทษทีตามันลายไปหน่อย”
คนตาลายกลืนน้ำลายอีกอึกใหญ่ หรี่ตาลงมองร่างกึ่งเปลือยอวบอิ่มด้วยแววตาหื่นกระหาย โชคดีแสงสว่างในห้องนั้นเป็นเพียงแสงสลัว ไม่ได้สว่างไสวเช่นตอนกลางวัน มันเลยช่วยบดบังสายตาของสาวเจ้า ไม่ให้เห็นความกระหายอยากจากเจ้าแห่งป่าดงดิบ ไม่เช่นนั้นช่อม่วงคงได้ขวัญกระเจิง กู่ไม่กลับเป็นแน่แท้...
เขาป่ายมือมาบนสะโพกกลมมน วางแหมะไว้ตรงนั้นชั่วครู่ ทำทีเป็นตั้งอกตั้งใจนวดคลึงยา กะน้ำหนักมือให้กำลังดี จนคนถูกนวดยาเคลิบเคลิ้ม หากฉะนั้นเพียงแวบเดียวที่เผลอใจ ฝ่ามือเจ้ากรรมกลับสอดผ่านลงมายังด้านหน้า จงใจขยี้เส้นไหมอ่อนนุ่มเพื่อเป็นการลองเชิง พอเห็นหญิงสาวไร้ท่าทีขัดขืน เจ้าป่าหนุ่มจึงเปลี่ยนเป็นจุ่มปลายนิ้ว สะกิดถูกปุ่มกระสันเม็ดเล็ก ทำเอาช่อม่วงสะดุ้ง เกร็งลำขาเพรียวโดยอัตโนมัติ...
“อืม...ไม่...ไม่...ใช่...ตรงนั้นเหมือนกันจ้ะ”
คนถูกโจมตีกลีบสาวชนิดกะทันหันสะท้านไหว หลุดเสียงร้องระโหยยามเอ่ยปากปฏิเสธ ฟังดูตะกุกตะกักไม่มั่นคงสักนิด ส่วนของใบหน้าหวานก็แดงซ่าน หญิงสาวเชิดปลายคางขึ้นสูงเด่น ตอนปุ่มกระสันเม็ดจิ๋วถูกขยี้ด้วยปลายนิ้วแรง เร็วและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ริมฝีปากอิ่มเผยอค้าง นัยน์ตาสีนิลทั้งคู่ดูหม่นแสงลงเรื่อยๆ แล้วก็ปิดสนิทลงในที่สุด ปล่อยให้เขากระทำกับร่างกายเธอด้วยความเต็มอกเต็มใจ ความเสียดเสียวรุนแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แล่นลิ่วจนทั่วทั้งตัว ให้ความรู้สึกช่างดีแสนดี...
“อา...อะ...อะ...อูยยยย...ไม่คิดว่าจะให้ความรู้สึกดีเช่นนี้ ถึงได้ว่าไอ้รามีน มันถึงได้ร่ำร้องอยากจะได้จากเธอนัก...”
ช่อม่วงปล่อยเสียงร้องครางระงม ยังมิวายหวนนึกถึงคนรักแสนชั่ว ส่งให้เรียวขาที่หนีบไว้ค่อยๆเปิดอ้าแบะออกทีละน้อย ความอวบอูมซึ่งถูกปกปิดไว้ด้วยเส้นไหมสีดำสวยสมวัย มันค่อยๆแง้มแยกกลีบออกจากกันทีละน้อย จนกระทั่งพานพบเข้ากับเนื้อในสีชมพูสด อามันต์ส่งดวงตาลุกวาวมองปาดความงดงามยิ่งกว่าดอกไม้แรกแย้ม ด้วยความพึงพอใจสุดๆ...
“เอ็งมันสวยเหลือเกิน...”
เขาไม่เพียงแค่ชม ยังบดขยี้มณีเม็ดเล็กอย่างอดใจเอาไว้ไม่ไหว ก่อนกดปลายท้องของนิ้วมือ เพิ่มน้ำหนักถูไถจนทั่วกลีบผกาแย้มบาน ความชุ่มฉ่ำไหลทะลักออกมาอีกระลอก...
“ทาเผื่อเอาไว้...ว่าแต่...แล้วเอ็งชอบให้ข้าทาตรงนี้ไหมล่ะ...”
ส่วนคนจงใจทายาผิดตำแหน่งยังมีหน้ามาถามกลับเสียงกระเส่า เขาเหยียดปลายนิ้วยาวถูไถกลีบผกาอ่อนนุ่มจนเริ่มมีน้ำไหลซึม ถือเป็นการจุดไฟในกายสาวให้ลุกโหมกระพือ ถ้าเดาไม่ผิดสาวเจ้าผู้นี้คงผ่านสมรภูมิกามมาไม่มาก สังเกตจากท่าทางเงอะงะ นี่คงอยากลองอยากรู้เสียมากกว่ากระมัง
เอาเถอะ ถือว่าเจ้าหล่อนมาให้เอาถูกคนเสียด้วย เขาเองเรื่องอย่างนี้ช่ำชองไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ถ้าอยากเล่นกับไฟเขาก็จัดให้
“แต่มันเสียว...แล้วก็เหมือนจะลอยได้ด้วยจ้ะ...”
ช่อม่วงบิดตัวตามแรงอารมณ์ปั่นป่วน หน้าอกเธอรู้สึกตรึงแน่น แถวหน้าท้องแบนราบ ก็ชักตึงเครียด คล้ายถูกของร้อนนาบทับเอาไว้ด้วยเหมือนกัน ด้วยยังไร้ประสบการณ์ พอถูกรุกหนักเข้าหน่อย ช่อม่วงเลยทำได้เพียงทิ้งตัวลงนอนราบ แอ่นตัวโค้งรับแรงเสียดสีจากปลายนิ้วที่อามันต์กำลังยัดเข้าหาในจังหวะเนิบช้า...
“ดีเหลือเกิน...”
เสียงพร่ารำพึงรำพัน เจ้าหล่อนส่ายศีรษะจนเส้นผมอ่อนนุ่มกระจายทั่วแผ่นไม้ ความรัญจวนที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบมาก่อน สร้างความหฤหรรษ์เพลิดเพลิน จูงใจให้เธอสมยอมโดยดุษฎี...
ถึงได้ว่า...ทำไมไอ้อีคนทรยศสองคนนั้นถึงได้หลบซ่อนมาทำกันลับหลัง มันให้ความสุขสำราญอย่างนี้นี่เอง...
อามันต์สะบัดกางเกงตัวเดียวบนร่าง จนหลุดลุ่ยกระเด็นกระดอนลงไปกองอยู่บนพื้นใกล้ตัว เขาโหย่งกายสูงล่ำสันลอยจากพื้น คร่อมร่างอรชรไว้ก่อนแนบใบหน้าครามคมเข้าหากลีบผกางดงาม ก้มลงบดจูบด้วยอารมณ์ร้อนแรง...
ช่อม่วงสะดุ้ง ก่อนสั่นเทาไปทั้งร่างด้วยแรงพิศวาสรัดรอบตัวเธออย่างเหนียวแน่น...
“อา...อา...อืม...อุ๊ย...นาย...ตรงนั้นกินไม่ได้นะ”
หญิงสาวครางไป ร้องห้ามไป สีหน้าแดงจัด รู้สึกว่ามันไม่ควร แต่เขาก็ไม่ฟังเอาเสียเลย...
ช่อม่วงแยกเรียวขาออกกว้าง ไม่อาจฝืนทนต่อการโลมเลีย ทั้งปากทั้งลิ้น เธอรู้สึกซ่านสยิวยามเมื่อเขาแหวกว่ายช่อผกาด้วยปลายนิ้วทั้งสอง ฉกปลายลิ้นร้อนกวาดน้ำหวานจนมันแห้งเหือด หากเพียงไม่นานน้ำหวานกลับผลิตขับออกมาให้เขาได้ดื่มกินอีกไม่ขาดสาย ลิ้นร้อนถูกบีบแน่น จนอามันต์ต้องรีบสอดปลายนิ้วเข้าช่วย คว้านผนังนุ่มเสียงดังกึกๆ ช่อม่วงทั้งเสียว ทั้งรัญจวน โดยสัญชาตญาณสอนให้เธอกระดกบั้นเอวขึ้นลอยจากพื้น ช่วยอำนวยความสะดวกให้เขาอีกแรง...
ช่อม่วงทั้งเจ็บทั้งเสียว เลยส่งเสียงร้องลั่นกระท่อม ความเสียดเสียวพุ่งทะยานราวถูกลูกธนูปัก มือทั้งสองข้างจิกเกร็งขูดลงกับเนื้อไม้โดยไม่กลัวเล็บจะหัก จนเมื่อสมองเริ่มขาวโพลน อารมณ์บางอย่างแตกกระจายเป็นผุยผง เธอจึงส่งเสียงกรีดร้องยาว รู้สึกเหมือนเขื่อนน้ำในกายกำลังไหลทะลัก...
“อืม...หวานเหลือเกิน...น้ำหอยเอ็งนี้ถือว่าเด็ดของจริง...”
อามันต์ดื่มน้ำทิพย์จนพอได้หายอยากขึ้นมาบ้าง คนช่ำชองในกามจึงกดปลายจมูกโด่ง สูดดมกลิ่นสาวสะพรั่งระเรื่อยขึ้นมาจนถึงแอ่งกลางลำตัว พร้อมเลื่อนริมฝีปากมาสะกิดสะดือน้อย สะบัดปลายลิ้นหยอกเอินอยู่ชั่วครู่ มือข้างว่างดันชายเสื้อคอบัวขึ้นจนติดปลายคางมน ค้างมันไว้เหนือฐานปทุมมาลย์ขาวแฉล้มน่าดูด ชายหนุ่มตวัดสายตาสำรวจความงดงามโดยไม่ให้เสียเวลา...
ฐานบัวนั้นเนื้อแน่นขาวดีเสียจริง ส่วนตรงปลายหัวจะงอย ยังเป็นสีชมพูสวยสด บ่งบอกว่าสาวเจ้ามิค่อยได้ใช้งานอีกเช่นกัน ตอนนี้มันชูชันบิดตัวเป็นเกลียวคลื่น คนกำลังหื่นในกามแลบปลายลิ้นชมพูยาวเลียลงตรงยอมชูชันนั่น ร่างงามถึงกับบิดเร่า ม่านนัยน์ตาเบิกโต
เธอแอ่นอกขึ้นรับแรงดูดราวเคลิ้มฝัน วาดฝ่ามือน้อยกดศีรษะได้รูปสวยให้ชิดติดกับฐานอก ส่งเสียงร้องสะอึกสะอื้น ต้องการให้เขาเลียเธอแรงๆกว่านี้...
“พี่อามันต์จ้า...ฉันเสียวหัวนม...”
ริมฝีปากร้อนครอบงับเม็ดปทุมมาลย์สลับทั้งซ้ายขวา ระรัวลิ้นจนยอดอกทั้งสองตั้งชูชัน ขบเม้มบ้าง กัดบ้าง อีกมือก็คอยขยำนวดเฟ้นเอาอกเอาใจ จนกระทั่งลำเขื่องที่กำลังเต้นตุบตับดุนดันอยู่บนท้องน้อย เริ่มประท้วง เร่งให้เขารีบจัดการเร็วรี่ก่อนมันระเบิดออกมาให้เสียเชิง...
อา...ปวดลำฉิบ
อามันต์ชักสีหน้าเหยเก กวาดมือลงลูบคลำตรงหัวบาน ใช้เข่าดันแยกเรียวขาเพรียวออกกว้าง จัดท่าทางให้สาวเจ้าพรักพร้อมสำหรับออกศึกใหญ่ ช่วยดึงเสือคอบัวจนหลุดปลิวตกไปกองรวมอยู่กับกางเกงของตัวเอง โน้มกายหนาลงหา จูบซับเรียวปากหวานนุ่ม บดเบียดเนื้อนิ่มกรุ่นกลิ่นหอมชื่นใจ...
“ให้ขาเอาเอ็งสักครั้งนะ...ช่อม่วง ข้าอยากกระแทกเอ็ง จนทนไม่ไหวแล้วตอนนี้”
“ฉันจะเจ็บไหม...”
“แค่แป๊บเดียว หลังจากนั้นเอ็งจะมีแต่ความสุข”
อามันต์ไม่คิดโกหก คิดว่าขนาดลำเอ็นของเขาที่ขนาดใหญ่โต มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ช่อม่วงจะไม่เจ็บ ไม่ว่าเจ้าหล่อนจะเป็นสาวบริสุทธิ์หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ ยังไงขนาดของเขาคงทำให้เจ้าหล่อนเจ็บอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่ในคราวแรก...
ทั้งสองแรกจูบกันดูดดื่ม อามันต์จึงกดสะโพกหนั่นแน่นกะให้พอดีกับความอ่อนนุ่ม เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เอ็นร้อนก็สอดผ่านทะยานเข้าถึงด้านในสุด ปะทะเข้ากับผนังอ่อนนุ่ม...
กึก...
“กรี๊ด!!!!”
ช่อม่วงกระตุกไหวไปทั้งร่าง เจ้าหล่อนผวากอดรัดร่างหนาซึ่งตอนนี้พราวพร่างไปด้วยเม็ดเหงื่อ กรีดเสียงร้องคร่ำครวญ ราวคนถูกน้ำร้อนลวก...
“ชู่ว์...ผ่อนคลายหน่อย เอ็งจะได้หายเจ็บไวไว”
อามันต์กดปลายจมูกซับน้ำตาเอาใจสาว พร้อมพูดปลุกปลอบให้เจ้าตัวหายเกร็ง ที่แท้ช่อม่วงก็ยังไม่เคยนี่เอง ชายหนุ่มยกมุมปากสูง พอใจที่ได้เอากับสาวบริสุทธิ์อีกครั้ง...
“แต่มันเจ็บเหมือนฉันจะตาย...” ช่อม่วงอุทธรณ์สีหน้าเจ็บปวดดูน่าสงสาร แต่ถึงกระนั้นอามันต์ไม่คิดจะหยุดลงแต่เพียงเท่านี้แน่ ของสดใหม่ไร้รอยราคี ให้เขาเอาสักสองวันติดก็ยังไหว...
“เดี๋ยวเอ็งก็จะได้ขึ้นสวรรค์ไง...”
ดวงตากลมใสคลอเบ้าด้วยหยาดน้ำ เหลือบมองใบหน้าครามคม ฝืนยิ้มให้เขา...
“ฉันอยากขึ้นสวรรค์”
เพียงสิ้นเสียงคำหวาน สะโพกแข็งแกร่งราวค้อนทุบก็เริ่มปฏิบัติการ ทุ่มแรงโหมขย่ม โยกเข้าโยกออก ร่างน้อยขยับไหวตามแรงกระแทกกระทั้นไม่หยุดหย่อน กลีบผกาบวมช้ำตอนนี้มันเอาแต่บิอ้า ดุ้นร้อนสอดเสือกลึกถึงโคนลำ อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักหายใจหายคอ...
ความเจ็บมีเพียงเศษเสี้ยวส่วนที่เหลือคือความเสียวล้วนๆ นี่เองคือสวรรค์ ช่อม่วงได้ขึ้นมันแล้ว ช่อม่วงรู้สึกมีความสุข..
“อา...กดลงมาให้แรงกว่านี้อีกสิจ๊ะพี่อามันต์ ช่อม่วงอยากขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ”
มันมาพร้อมอารมณ์หลากหลาย บางครั้งบิดเป็นเกลียวคลื่น บางครั้งอ่อนโยนราวสายไหม ยิ่งเจ้าของร่างแข็งแรงโหมกระหน่ำลำตัวเข้ากระทั้นหนักหน่วง เหมือนหัวใจเธอมันกำลังจะปลิดปลิวตามแรงกระสันเหล่านั้นออกไปทุกที...
“เสร็จพร้อมกันเลยนะช่อม่วง...เสร็จแล้วข้าจะพาเอ็งไปชมพระจันทร์”
สองร่างเกร็งกระตุกพร้อมกับส่งเสียงคำรามลั่นป่า...
อามันต์กระเด้าเอวสอดใส่ร่องสวาทอีกสองสามครั้ง จนแน่ใจว่าเขาปลดปล่อยจนหยดสุดท้าย ร่างสูงซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลังเหนือกว่าสัตว์ป่าทุกตัว ตวัดเอวคอดกิ่วมาไว้ในอ้อมแขน บดริมฝีปากดูดดื่มจนหนำใจ ทแยงลำเอ็นดุ้นใหญ่ที่พรักพร้อม สอดลึกกลับเข้าร่องสวรรค์อีกครั้ง
ช่อม่วงหอปากยื่นเสียวสะท้านจนถึงยอดอกเต่งตึง ยังไงเธอก็ยังไม่คุ้นชินกับสิ่งแปลกปลอมเท่าไหร่นัก เขาอุ้มพาร่างอ่อนปวกเปียกด้วยยังสวมใส่แนบชิด เดินมาด้วยท่าทีมั่นคง พร้อมกับวางร่างที่เอาแต่ส่งเสียงครางระโหย จับเจ้าหล่อนหันหน้าออกมาด้านหน้าต่าง ดึงมือทั้งสองข้างของหญิงสาวจับขอบไม้เอาไว้อย่างมั่นคง
อามันต์ดึงลำกายออกแต่ยังไม่หลุด เขาโก่งตัวแตะริมฝีปากชื้น จูบพรหมแผ่นหลังนุ่ม แล้วกระเด้าสะเอวเข้ามาจากส่วนด้านหลังเสียงดังกึก กึก ท่านี้ทั้งลึก ทั้งสุด ช่อม่วงห่อปากส่งเสียงหวีดร้องเสียงสนั่นกระท่อม ร่างเล็กสั่นไหวแต่ก็มีความสุขจนเหลือล้น แม้จะเจ็บเสียดในคราแรกแต่ก็สร้างความสำราญในใจเธอไม่น้อย ก่อนเกร็งบั้นท้ายสวนกลับชายหนุ่มบ้าง เขาค่อยๆกระซิบสอนให้เธอได้เรียนรู้...
“อา...อะ...ดีมาก...ขมิบแบบนั้นแหละ...อา...ใช่..”
อามันต์ถูกอกถูกใจนักเรียนหัวไวคนนี้นัก ดังนั้นเขาจึงคิดว่า มีกี่วิชากี่บทเรียน เขาจะงัดเอามาสอนให้เจ้าหล่อนคนนี้จนหมดทั้งเกลี้ยงทั้งตัวเขานี่แหละ...
***************************************