ช่วยแผ่นดินไหวเนปาล3:เริ่มซีนที่ Krittipur
เป็นน้องศิลปินคนหนึ่งมาก เพราะน้องมีปัญหาเรื่อง Altitude Sickness ตั้งแต่อยู่บนเครื่องก่อนถึงเนปาลแล้ว เลยให้กินยาตั้งแต่ตอนนั้น น้องยิ่งเป็นคนพื้นแพทางภาคอีสานยิ่งน่าจะมีปัญหาเรื่องนี้อยู่บ้าง สีหน้าน้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องแอบเชคตลอด แต่น้องก็ดูแข็งแรงใจสู้ระดับหนึ่ง คงต้องใช้เวลาปรับตัวสักสองสามวัน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วในช่วงเวลาปรับตัวนั้นเราควรงดกิจกรรมหนักที่ต้องใช้แรงมากๆ เพื่อให้ร่างกายและระบบต่างๆได้ปรับตัวกับสภาพพื้นที่สูงๆอันต่างจากเมืองไทยเรา คิดง่ายๆว่าเราอยู่ติดทะเลอยู่ดีๆหลายสิบปี วันนึงไต่ขึ้นมาเกือบถึงหิมาลัยหลังคาโลก ร่างกายจึงต้องมีปฏิกิริยาเป็นธรรมดา ส่วนลิงเมืองเหนืออีกสองตัวนั้นไม่มีปัญหาอะไร เห็นวิ่งซนอยู่ตลอด
ให้เวลาท่านศิลปินใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมง แล้วแต่ความติสของแต่ละท่าน ว่าอยากจะเดินถ่ายรูป วาดรูป หรือสเก็ตรูป ครบเวลาเห็นน้องกำลังสเก็ตวังอยู่แต่ยังไม่เสร็จ ได้ยินน้องอีกคนเปรยว่า “ยังไม่ได้วาดเลย...” พร้อมพับเก็บหน้ากระดาษว่างที่กางเตรียมไว้ “ถ่ายรูปเก็บไว้วาดเน๊อะ เดี๋ยวเราจะไปเที่ยวหมู่บ้าน Dev ชื่อ Krittipur ต้องทำเวลากันหน่อยครับ นี่ก็บ่ายแล้ว” ...เราต้องเดินทะลุผ่านจัตุรัสกลางเมืองนี้เพื่อไปขึ้นรถ เป็นซีนแรกที่ได้เห็นซากวัดและวังหลังแผ่นดินไหวที่เหลือแต่ฐาน อดคิดไม่ได้ว่าปีที่แล้วยังเพิ่งขึ้นไปนั่งเล่น ถ่ายรูป เดินชมอยู่เลย เหมือนฝันหายไปทั้งหลังเหลือแต่อากาศ ตกใจ ใจหายไม่น้อย กี่ปี กี่ครั้งก็มาเดินเล่นที่นี่ตลอด แต่ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้ง แต่มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าใครอยากให้เกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม
แล้วเด็กๆก็ได้มีประสบการณ์การขึ้น (หรืออัด) รถตู้บริการท้องถิ่นไปบ้าน Dev ตัวเองเคยมีประสบการณ์อย่างนี้อยู่บ้างไม่ค่อยตื่นเต้นมาก...ไม่ใช่รถตู้เหมือนบ้านเราเริ่ดๆที่ที่นั่งเต็มแล้วจะไม่รับนะคะ...ของที่นี่อย่างต่ำน่าจะสักสามสิบคน ตรงประตูนั้นไม่ได้มีไว้ให้ปิด แต่ไว้ให้ยืนกัน....บันเทิงมาก...ระหว่างทางได้เห็นบ้านเรือน ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกาฐมาณฑุรอบนอก ซีนซากปรักหักพังจากภัยแผ่นดินไหวมีให้พบเห็นทั่วไป มากบ้างน้อยบ้าง ย่าน Krittipur เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย Tribhuvan ที่ใครๆก็รู้จัก ทั้งฮารี่และเดฟก็จบจากที่นี่
มีวัดไทยอยู่แห่งนึง เราเลยแวะเข้าไปเยี่ยมชม แล้วก็เดินกันต่อไปบ้านเดฟ ถึงบ้านเดฟก็หายตัวไปพักนึงพร้อมกับชานมกับคุกกี้ ตบท้ายด้วยมาม่า (แขก) ผัดที่พวกเราลงความเห็นว่าเป็นมาม่าที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ หนุ่มเนปาลีน่ารัก ทำกับข้าวอร่อยๆเลี้ยงแขกเป็นประเพณี ภรรยาไม่อยู่ไม่เป็นไร พวกเราเลยได้พักร่างเอาเรี่ยวแรงเพราะเดินกันตั้งแต่เช้าเริ่มล้ากันแล้ว ไฮไลท์ของบ้านเดฟน่าจะเป็นวิวบนดาดฟ้าซึ่งส่วนตัวมีความทรงจำดีๆหลายเรื่องที่นี่ หลายปีก่อนตอนมาเยือนเคยหอบผ้ามาซักและตากที่นี่ เคยนั่งและนอนผิงแดดอุ่นๆจ้าๆมองหิมาลัยที่นี่ เคยนั่งคุยภาษามือกับแม่ของเดฟ (เพราะแม่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ) และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการนวดตัวด้วยน้ำมันให้เด็กทารก (ลูกชายของพี่ชายเดฟ) แรกเกิดกลางแดดที่นี่...แต่วันนี้มีลิงไทยสามตัวเดินวนเวียนหามุมถ่ายรูปกันวุ่นวาย ก่อนกลับน้องเลยสเก็ตภาพลูกชายเดฟให้เป็นที่ระลึก...ยังไม่หายเหนื่อยเลยต้องเดินมาขึ้นรถอีกแล้วเหรอเนี่ย....ไม่มีทางเลือกเพราะเริ่มค่ำแล้ว...ใบหน้าฮารี่โผล่มาในหัว “ You should be back before dark”!! เอาละซิ!