เคยสงสัยกันบ่ ว่าทำไมทุกๆอย่างในอวกาศถึงเป็นทรงกลม แล้วที่จริงโลกของเราก็ไม่ได้กลมเป๊ะๆด้วยเน่อ
สาเหตุที่รูปร่างทรงกลมของวัตถุท้องฟ้า เช่น ดาวเคราะห์และดวงดาว มีสาเหตุหลักมาจากแรงโน้มถ่วงนั่นเอง เป็นเพราะว่าแรงโน้มถ่วงนั้นจะดึงสสารเข้าหาศูนย์กลาง ทำให้มันยุบตัวเป็นรูปร่างที่มีพื้นที่ผิวน้อยที่สุดซึ่งก็คือ รูปร่างลักษณะที่เป็นแบบบทรงกลม สิ่งนี้เรียกว่าสมดุลอุทกสถิต ในอวกาศ แรงโน้มถ่วงกระทำอย่างสม่ำเสมอในทุกทิศทาง ส่งผลให้วัตถุมีรูปร่างเป็นทรงกลมตามธรรมชาติ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของแรงโน้มถ่วงบนดวงดาวคือมันเป็นตัวกำหนดความสูงของสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวดาวเคราะห์ ตัวอย่างบนโลก เช่นภูเขาเอเวอเรสต์ เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนเข้าหา มันจะดันให้ยอดเขานี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็เพิ่มน้ำหนักด้วยเช่นกัน ตัวน้ำหนักนี้เองที่ทำให้แรงโน้มถ่วงมีผลต่อมันมากขึ้น โลกจะดึงภูเขาให้จมลงสู่เนื้อโลก ซึ่งก็ไปจำกัดความสูงของเอเวอเรสต์อีกที นี่เป็นการแข่งขันระหว่างความแข็งแรงของแผ่นเปลือกโลกกับแรงโน้มถ่วงของโลก
ดังนั้นถ้าหากโลกเราถูกสร้างจากมหาสมุทรทั้งหมด เอเวอเรสต์จะจมลงสู่ใจกลางอย่างไม่ต้องสงสัย และทำให้ทุกจุดบนโลกมีแรงโน้มถ่วงเท่ากันอย่างสมดุลอีกครั้ง กลายเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบ
ฃ
ทว่าโลกของเรามีการหมุน แรงเหวี่ยงหนีศูนย์ทำให้เส้นผ่านศูนย์กลางตรงเส้นศูนย์สูตร ‘โป่ง’ ออกมา
สิ่งนี้ทำให้โลกของเราไม่ได้กลมอย่างแท้จริง กลายเป็นเหมือนวงกลมที่มีเส้นศูนย์สูตรนูนออกมานิดหน่อย นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวัดและชี้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ โดยความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางตรงเส้นศูนย์สูตร (จากซ้ายไปขวา) เท่ากับ 12,756 กิโลเมตร แต่เส้นผ่านศูนย์กลางจากขั้วไปขั้ว (pole-to-pole diameter, บนลงล่าง) เท่ากับ 12,714 กิโลเมตร และหากยิ่งดวงดาวหมุนเร็ว มันก็จะ ‘โป่ง’ ออกยิ่งกว่านี้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือดาวเสาร์ (Saturn) มันมีเส้นผ่านศูนย์กลางตรงเส้นศูนย์สูตรที่ 120,500 กิโลเมตร แต่เส้นผ่านศูนย์กลางจากขั้วไปขั้วกลับอยู่ที่ 108,600 กิโลเมตร ซึ่งมีความแตกต่างเกือบ 12,000 กิโลเมตร ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมวัตถุส่วนใหญ่ในจักรวาลถึงกลมเสมอ พวกมันได้รับผลกระทบจากสิ่งพื้นฐานที่เรียกว่าแรงโน้มถ่วงซึ่งเราคุ้นเคยกันอยู่ในทุกวัน