หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

" เป๋าฮื้อ " ราชินีแห่งหอย

เนื้อหาโดย ote1986

หอยจัดเป็นอาหารที่ทุกคนส่วนใหญ่ชอบรับประทาน และบ้างชนิดยังสามารถนับประทานทั่งแบบสดหรือปรุงสุกก็ได้ เรายังสามารถนำมาทำอาหารได้อย่างหลากหลายเมนู 

     เราจะพาท่านไปรู้จักกับหอยที่แพงที่สุดชนิดหนึ่งและได้รับฉายาว่าเป็น ราชินีแห่งหอย นั้นคือ " หอยเป๋าฮื้อ  " เป็นที่รู้กันดีว่า หอยเป๋าฮื้อ เป็นหอยที่มีราคาสูง มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ทั้งมีส่วนช่วยบำรุงประสาทและสมอง รวมถึงช่วยบำรุงกระดูก ข้อต่อ จึงนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ หอยเป๋าฮื้อ ยังมีคอลลาเจนที่มีคุณภาพสูง จนได้ชื่อ “ราชินีแห่งคอลลาเจน” หากสกัดอย่างถูกต้องจะได้คอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อที่คงโครงสร้างและคุณสมบัติของคอลลาเจนครบถ้วน! ก่อนจะไปดูวิธีการสกัด ลองมาทำความรู้จักหอยเป๋าฮื้อแบบเจาะลึกกันก่อน

หอยเป๋าฮื้อ (abalone) หรือชื่ออื่นๆ เช่น หอยร้อยรู หอยโข่งทะเล จัดเป็นหอยฝาเดียวชนิดหนึ่งเป็นหอยที่มีราคาสูง จนได้ชื่อว่าเป็นหอยจักรพรรดิ นิยมบริโภคในโอกาสสำคัญเนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นอาหารสิริมงคล และมีสรรพคุณทางยา มีวิตามินและแร่ธาตุ อุดมไปด้วยกรดอะมิโนทั้งหมด 19 ชนิด และยังมีคอลลาเจนที่มีคุณภาพสูง

   หอยเป๋าฮื้อ หน้าตาอาจไม่เหมือนหอยที่เราคุ้นเคย เพราะเป็นหอยฝาเดียว มีลักษณะมีเปลือกเพียงครึ่งเดียว รูปร่างค่อนข้างแบน รูปทรงยาวรี มักอาศัยตามซอกหินและแนวปะการังที่ระดับน้ำลึกประมาณ 10 เมตร เนื้อหอยเป๋าฮื้อมีรสชาติดี ไม่คาว และมีปริมาณคอเลสเตอรอลต่ำ 

    หอยเป๋าฮื้อ มีหลากหลายสายพันธุ์ ที่พบในโลกมีถึงประมาณ 75 ชนิด แต่มีจำนวนไม่ถึง 22 ชนิดที่มีการเพาะเลี้ยงได้ สายพันธุ์หอยเป๋าฮื้อที่นิยมรับประทาน เช่น หอยเป๋าฮื้อ สายพันธุ์ฮาลิโอติส ไดเวอร์สิดัลเลอร์ (Haliotis diversicolor) เป็นหอยเป๋าฮื้อสายพันธุ์น้ำอุ่น จากญี่ปุ่นและไต้หวัน รสชาติดี มีขนาดเหมาะสมในการนำมาปรุงอาหาร เลี้ยงง่าย โตเร็ว ทนต่อโรค และเป็นความต้องการของตลาด นับว่าเป็นชนิดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของโลกเลยทีเดียว เป็นที่นิยมของผู้บริโภคแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และไต้หวัน

เรื่องเล่าขาน ตำนานหอยเป๋าฮื้อ

หอยเป๋าฮื้อ ถูกกล่าวขานว่าเป็นอาหารระดับฮ่องเต้ มีเฉพาะพระเจ้าจักรพรรดิและขุนนางชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น ที่มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติที่ดีของหอยเป๋าฮื้อ ต่อมาเป็นที่นิยมของคนชั้นสูงทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลี เพราะหอยเป๋าฮื้อ นับว่าเป็นอาหารสิริมงคลที่มีคุณค่า มีราคาสูง และอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

ตามความเชื่อทางประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น ในสมัยเอโดะ หอยเป๋าฮื้อถูกส่งไปบรรณาการให้แก่จักรพรรดิจีนและขุนนางชั้นสูง และเป็นสินค้าส่งออกชั้นสูงที่มีราคาแพงจากญี่ปุ่น ถือเป็นของที่มีคุณค่า จึงนิยมใช้มอบเป็นของขวัญแสดงความยินดีในวาระต่างๆ โดยทำการห่อหอยเป๋าฮื้อในกระดาษที่สวยงาม และมอบเป็นหอยเป๋าฮื้อแห้งเรียกว่า "โนชิอาวาบิ" (Noshi Awabi) และกลายมาเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ ชาวเกาหลียังให้นิยามหอยเป๋าฮื้อ ว่า "Emperor Of Shellfish" หรือ หอยจักรพรรดิ์ เพราะเป็นหอยที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีวิตามินและโปรตีนอย่างครบถ้วน ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ความกระฉับกระเฉง บำรุงตับ และระบบหมุนเวียนของเลือด โดยชาวเกาหลีนิยมบริโภคหอยเป๋าฮื้อโดยทำเป็นโจ๊กหอยเป๋าฮื้อ (Jun Bok Jook)

การเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ฟาร์มหอยเป๋าฮื้อ

หอยเป๋าฮื้อ เป็นหอยที่มีราคาสูง เนื่องจากอัตราการรอดตายในธรรมชาติน้อย และสายพันธุ์ของหอยเป๋าฮื้อ มีจำนวนไม่ถึง 22 ชนิดที่มีการเพาะเลี้ยงได้ จึงมีการเลี้ยงหอยชนิดนี้ในเชิงพาณิชย์ขึ้น ในอดีต การเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเริ่มเกิดขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2493 ในประเทศญี่ปุ่นและจีน ส่วนประเทศไทย เริ่มมีการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเมื่อปี พ.ศ. 2545 โดยบริษัท ภูเก็ต เป๋าฮื้อ ฟาร์ม จำกัด นับว่าเป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทย

จากการศึกษาพัฒนาการเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรของบริษัท ภูเก็ต เป๋าฮื้อ ฟาร์ม จำกัด ได้มีการคัดเลือกสายพันธุ์หอยเป๋าฮื้อที่เหมาะสมในประเทศไทย คือ Haliotis diversicolor ซึ่งเป็นสายพันธุ์หอยเป๋าฮื้อของประเทศญี่ปุ่นและไต้หวัน จุดเด่นคือ ทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลในประเทศไทยได้ดี มีอัตราการเจริญเติบโตและการแลกเปลี่ยนเนื้อสูง สามารถผลิตและส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น

สาเหตุที่หอยเป๋าฮื้อเป็นที่นิยม : เป็นที่รู้กันดีแล้วว่า หอยเป๋าฮื้อ อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงร่างกาย แต่ยังมีอีกหนึ่งสรรพคุณที่โดดเด่นและเป็นที่พูดถึงมาก นั่นก็คือ คุณสมบัติพิเศษในการช่วยบำรุงกระดูก ข้อต่อ กระดูกอ่อน และช่วยป้องกันโรคข้อเสื่อม จากการศึกษาของ The National Registration Authority for Agricultural and Veterinary Chemicals (NRA) ของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ได้ประเมินว่า เนื้อหอยเป๋าฮื้อชนิดผง มีสารสำคัญที่ชื่อว่า ไกลโคสะมิโนไกลแคน (Glycosaminoglycans) หรือที่เรียกกันว่า GAGs ทำหน้าที่เป็นตัวหล่อลื่นให้แก่ข้อ ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันและลดอุบัติการณ์โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) ซึ่งมักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป

ความจริงของ “คอลลาเจน” ในหอยเป๋าฮื้อ

ตามที่ได้กล่าวถึงสรรพคุณของหอยเป๋าฮื้อไปแล้ว ว่าในหอยเป๋าฮื้อนั้น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมากถึง 17 ชนิด และยังมีคอลลาเจนที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์

     คอลลาเจน คือ โปรตีนธรรมชาติในร่างกาย เป็นโปรตีนเส้นใย หรือพอลิเมอร์ชีวภาพที่เป็นองค์ประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ ถูกพบเป็นองค์ประกอบในเนื้อเยื่อทั้งหมดในร่างกาย ทั้งผิวหนัง หลอดเลือด กล้ามเนื้อ กระดูก ข้อต่อ เล็บ ขน และเส้นผม ทำหน้าที่เสมือนโครงสร้าง ทำให้เซลล์ต่างๆ ยึดเกาะกัน เพิ่มความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่อวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย และคอลลาเจนยังพบในผิวหนังชั้นหนังแท้ ถึง 75% เปรียบเสมือนสปริงของผิว ที่ช่วยสร้างความตึงให้กับชั้นผิวหนังเสริมความเรียบเนียน โดยปกติแล้วร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์คอลลาเจนได้เองตามธรรมชาติ โดยมีเซลล์ชื่อ ไฟโบรบลาสต์ เป็นตัวสร้างคอลลาเจน แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ หรือ ย่างเข้า 30 ปี เซลล์ไฟโบรบลาสต์จะทำงานน้อยลง ส่งผลให้การผลิตคอลลาเจนลดลงประมาณ 1-1.5% ต่อปี เป็นที่มาของความเหี่ยวย่น ริ้วรอยแห่งวัยนั่นเอง ซึ่งความพิเศษของหอยเป๋าฮื้อ คือ หอยเป๋าฮื้อ สามารถกระตุ้นการสร้างเซลล์ไฟโบรบลาสต์ที่ช่วยสร้างคอลลาเจนได้ และ หอยเป๋าฮื้อยัง มีคอลลาเจนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลัก ไกลซีน (Glycine: Gly) โพรลีน (Proline: Pro) และไฮดรอกซีโพรลีน (Hydroxyproline: Hyp) เมื่อนำคอลลาเจนจากหอยเป๋าฮื้อ เข้าสู่ร่างกาย สามารถฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ โดยเฉพาะเซลล์ไฟโบรบลาสต์ได้อีกด้วย

ทำอย่างไรให้ได้คอลลาเจนที่ดีที่สุดจากหอยเป๋าฮื้อ

     ปัจจุบัน มีการนำหอยเป๋าฮื้อมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มคอลลาเจน ซึ่งการสกัดคอลลาเจนที่ดีที่สุดจากหอยเป๋าฮื้อ คือการใช้วิธีการสกัดเย็น แทนการสกัดร้อน ซึ่งการสกัดเย็น จะช่วยให้คอลลาเจนที่ได้ยังคงสภาพโครงสร้างและคุณสมบัติไว้อย่างครบถ้วน แตกต่างจากการสกัดร้อน ที่จะส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและคุณสมบัติของคอลลาเจน ด้วยเพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนธรรมชาติ ที่สูญเสียสภาพได้จากความร้อน และจากการวิจัยด้านโภชนาการ พบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยเสริมและเติมคอลลาเจนที่บกพร่องให้คืนกลับสู่ร่างกายได้ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน สกัดเย็นจากหอยเป๋าฮื้อ เป็นที่นิยมอย่างมาก

ขั้นตอนในการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อในประเทศไทย

การจัดหาพ่อแม่พันธุ์

      การจัดหาพ่อแม่พันธุ์หอยเป๋าฮื้อ สำหรับการเพาะพันธุ์นี้ สามารถกระทำได้ 2 วิธีใหญ่ๆ คือ

(1) การรวบรวมพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติ

(2) การใช้พ่อแม่พันธุ์ที่ได้มาจากการเพาะเลี้ยง

ซึ่งข้อดีข้อด้อยและข้อได้เปรียบเสียเปรียบ ระหว่างแหล่งที่มาของพ่อแม่พันธุ์ทั้ง 2 วิธี จะไม่กล่าวถึงในที่นี้ แต่ว่าไม่ว่าจะได้พ่อแม่พันธุ์มาด้วยวิธีใดก็ตาม ลักษณะของพ่อแม่พันธุ์ที่ดี คือ มีขนาดความยาวเปลือกประมาณ 7-10 เซนติเมตร หรือมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 80-120 กรัม จะต้องมีความสมบูรณ์แข็งแรง และเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เมื่อถูกแสงสว่าง เมื่อจับขึ้นมา ก็จะเกาะดูดติดกับมืออย่างรวดเร็วและแน่น เมื่อปล่อยกลับ ก็เกาะติดพื้นอย่างรวดเร็ว เปลือกต้องมีลักษณะสมบูรณ์ เป็นมันวาว ไม่ผุกร่อน ถ้าปรากฏว่า มีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเกาะติดอยู่ตามเปลือก ก็จะต้องขูดออก และทำความสะอาดให้เรียบร้อย ก่อนที่จะนำเข้ามาในระบบขุน (การขุนพ่อแม่พันธุ์ เป็นการเร่งให้พ่อแม่พันธุ์มีความพร้อม ที่จะผสมพันธุ์ได้เร็วขึ้น) นอกจากนี้ ควรสังเกตดูตามตัวโดยทั่ว ในบริเวณที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่าจะต้องไม่ปรากฏบาดแผล หรือมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเกาะติดอยู่ ถ้าเป็นไปได้ ควรเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีระยะการเจริญพันธุ์ อยู่ในระยะที่ 2 ตามที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้ว เพราะจะสามารถนำมาเพาะพันธุ์ได้เลย โดยไม่ต้องทำการขุน หลักเกณฑ์ง่ายๆ ในการขุนก็คือ การจัดสภาพแวดล้อมที่สะอาด โดยให้มีน้ำทะเลที่สะอาด โดยให้มีน้ำทะเลที่สะอาดไหลเวียนอยู่อย่างสม่ำเสมอประมาณร้อยละ 300 ต่อวัน มีที่หลบซ่อน และมีอาหารตามที่ต้องการ จัดให้มีระยะเวลาสว่างและมืดอย่างละ 12 ชั่วโมงเท่ากัน ในรอบวัน ควรคุมความเข้มของแสงในเวลากลางวันให้อยู่ประมาณร้อยละ 50-70 ของปริมาณแสงปกติ ความหนาแน่นในบ่อขุนไม่ควรเกิน 4 กิโลกรัมต่อตารางเมตร สำหรับบ่อขนาด 2.5 ลูกบาศก์เมตร และต้องหมั่นตรวจสอบระยะการเจริญพันธุ์ เมื่อพบว่า มีการพัฒนาตั้งแต่ระยะที่ 2 ขึ้นไป ก็จะนำพ่อแม่พันธุ์เหล่านี้ไปทำการเพาะพันธุ์ต่อไป

การเพาะพันธุ์

การเพาะพันธุ์ประกอบด้วย การกระตุ้น หรือการชักนำให้เกิดการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ และการควบคุมการปฏิสนธิ จัดเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จในการผลิตลูกหอย พ่อแม่พันธุ์ที่มีระยะการเจริญพันธุ์สูงๆ อาจได้รับการกระตุ้นให้ปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ได้โดยการย้ายบ่อ อย่างไรก็ดี การกระตุ้นโดยใช้น้ำทะเลที่ผ่านแสงอัลตราไวโอเลตเป็นวิธีการที่ให้ผลดี และมีความเหมาะสมในหลายประการ จึงเป็นวิธีการที่ใช้กันเป็นประจำในโรงเพาะฟัก ที่สถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล และศูนย์ฝึกนิสิต เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี วิธีการดังกล่าว ช่วยในการควบคุมการปฏิสนธิ และช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากการแก่งแย่งของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (Sperm competition) โดยเฉพาะใน กรณีที่ปล่อยให้มีการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์เองตามธรรมชาติ ในระบบการเพาะพันธุ์แบบรวม ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการกระตุ้นดังกล่าว ยังเป็นวิธีการที่จำเป็น เมื่อต้องการให้มีการผสมผสานเอาวิธีการทางพันธุศาสตร์ เช่น โปรแกรมการคัดเลือก เพื่อการผสมพันธุ์ ซึ่งได้แก่ การคัดเลือกพันธุ์ การทำลูกผสม และเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น การจัดการในระดับชุดโครโมโซม มาประกอบกับกระบวนการเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อ ในอนาคตด้วย ส่วนการควบคุมอัตราส่วนของน้ำเชื้อและไข่ที่เหมาะสมในทางปฏิบัตินั้น ทำได้โดยการทดลองจัดอัตราส่วนในระดับต่างๆ ก่อนการผสมจริง และติดตามผลการผสม ด้วย กล้องจุลทรรศน์ เพื่อดูสัดส่วนการผสม และปริมาณเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ที่เหลือ หรือเกาะอยู่ตามเปลือกไข่ จนเป็นที่พอใจก่อนการผสมจริง เพื่อป้องกันสัดส่วนการปฏิสนธิ ที่ต่ำเกินไป (น้อยกว่าร้อยละ 80) ในกรณีที่มีเซลล์สืบพันธุ์จำนวนสูงมากเกินไป จนเกิดการพัฒนาของไข่ที่ผิดปกติได้

      การเพาะพันธุ์อาจทำในถังพลาสติกขนาดต่างๆ หรือในถังและบ่อไฟเบอร์กลาสส์ ในที่นี้จะกล่าวถึง การดำเนินการในบ่อไฟเบอร์กลาสส์รูปกรวยขนาดความจุ 0.5 ลูกบาศก์เมตร ที่มีการปรับอัตราไหลของน้ำทะเลให้มีความเข้มของแสงอัลตราไวโอเลต อยู่ประมาณ 800 มิลลิวัตต์/ลิตร/ชั่วโมง ทำการแยกหอยเพศผู้และเพศเมียให้อยู่กันคนละบ่อ หรืออาจจะใช้เพศผู้และเพศเมียรวมอยู่ในบ่อเดียวกันก็ได้ โดยจัดให้สัดส่วน ระหว่างเพศเมีย และเพศผู้ เท่ากับ 5 : 1 โดยปกติแล้วหลังจากการกระตุ้น พ่อแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์เพศ ก็จะเริ่มปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ในช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. - 06.00 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้น หอยเพศผู้มักจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ออกมาก่อน น้ำเชื้อเพศผู้ที่แข็งแรง จะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่กำลังขยาย 10x40 เท่า สำหรับไข่หอยที่ปล่อยออกมา จะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีเขียว จมอยู่ที่พื้นถัง หรืออาจเกาะกันเป็นกลุ่ม ไข่ที่ดี จะมีลักษณะกลม และเห็นเปลือกไข่ได้อย่างชัดเจน เมื่อมองด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่กำลังขยาย 10x10 เท่า ไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว จะมีพัฒนาการ และฟักเป็นตัวอ่อน ระยะทรอโคฟอร์ ในระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิประมาณ 28 องศาเซลเซียส

การอนุบาล

ตัวอ่อนระยะทรอโคฟอร์ที่แข็งแรง จะเคลื่อนที่เข้าหาแสง โดยว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ เมื่อแสงอยู่ด้านบน ส่วนตัวอ่อนที่อ่อนแอ จะจมลงบนพื้นของถังอนุบาล และตายในที่สุด ดังนั้น การเก็บรวบรวม ทำได้โดยการปิดน้ำและอากาศในถัง จากนั้นใช้วิธีกาลักน้ำ ดูดเอาตัวอ่อนที่แข็งแรงบริเวณผิวน้ำมาเก็บไว้ในถัง เพื่อตรวจสอบความหนาแน่น จากนั้นนำลงไปเลี้ยงในถังอนุบาล ตัวอ่อนที่มีน้ำไหลผ่านไส้กรองขนาด 1 ไมครอน ที่อัตราไหล 0.5 ลิตรต่อนาที ความหนาแน่นของการเลี้ยง จะอยู่ระหว่าง 5-10 ตัวต่อมิลลิลิตร ขึ้นอยู่กับปริมาตรของถังอนุบาล ถังอนุบาลใหญ่ จะมีความหนาแน่นของการเลี้ยงได้สูง ตัวอ่อนระยะนี้ จะพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนระยะเวลิเจอร์ และตัวอ่อนระยะคืบคลาน และพร้อมที่จะลงเกาะภายในเวลาอีก 1-2 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ความเค็ม และความหนาแน่นที่ใช้เลี้ยง เนื่องจากตัวอ่อนในระยะนี้ ยังใช้อาหารจากไข่แดงที่มีอยู่ จึงยังไม่ต้องให้อาหาร เมื่อตรวจสอบพบตัวอ่อนระยะคืบคลาน ในระยะหลัง (late creeping larvae) ก็ย้ายลูกหอยลงในถังเกาะ ซึ่งเป็นถังไฟเบอร์กลาสส์ ขนาด 0.5x2.0x0.5 ลูกบาศก์เมตร ในระยะแรกที่ย้ายลูกหอยลง จะปิดน้ำและอากาศ เป็นเวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกหอยมีโอกาสสำรวจ และเกาะบนแผ่นอาหาร ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้น จึงให้อากาศ และให้มีน้ำทะเลสะอาดไหลผ่านเครื่องกรอง ขนาด 5 ไมครอนที่อัตราไหล 0.5-1 ลิตรต่อนาที นอกจากนี้แล้ว ในถังดังกล่าวยังมีปุ๋ยน้ำใส่ไว้ให้หยดในสัดส่วน 15-20 หยดต่อนาที ลูกหอยจะใช้เวลาอีกประมาณ 1-3 วัน เพื่อคืบคลาน และกินอาหารบนแผ่นอาหาร หลังจากนั้น ก็จะเริ่มต้นสร้างเปลือก และพัฒนา จนเกิดรูหายใจรูแรกบนเปลือก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ความยาวเปลือกของลูกหอยในระยะนี้ อยู่ระหว่าง 0.15-0.30 เซนติเมตร และลูกหอย จะเริ่มกินอาหารประเภทสาหร่ายชนิดเกาะติดได้หลายอย่าง ดังนั้น เราสามารถจะย้ายแผ่นอาหารไปไว้ในที่ที่มีแสงสว่างมากขึ้นกว่าเดิมได้ จนอีกประมาณ 3 เดือน เมื่อลูกหอยมีขนาดประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ลูกหอยเริ่มกินสาหร่ายใบประเภท Gracilaria spp. และ Enteromorpha spp. ได้ รวมทั้งสามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดควบคู่กันไปได้ด้วย จนกระทั่งในที่สุด ให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียว จากนั้นสามารถจำหน่าย หรือขนย้ายลูกหอยในระยะนี้ เข้าสู่ระบบการเลี้ยงให้มีขนาดตามที่ตลาดต้องการได้

    ขนาด ความหนาแน่นของหอย และระยะเวลาในการเลี้ยง

ขนาดของหอยเป๋าฮื้อที่เหมาะสม สำหรับการนำมาเลี้ยงนั้น มีได้ตั้งแต่ความยาวเปลือก 0.5 เซนติเมตร 1 เซนติเมตร และ 3 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของระบบการเลี้ยง ความสามารถ รวมทั้งความพอใจของผู้เลี้ยง ถ้าใช้ลูกหอยขนาดเล็กจะมีความเสี่ยงมาก เพราะต้องให้การดูแลเอาใจใส่มาก ลูกหอยมีอัตราการตายสูง และใช้ระยะเวลานานในการเลี้ยง จนถึงขนาดที่ตลาดต้องการ แม้ว่าลูกหอยที่นำมาเลี้ยง จะมีราคาถูก ทางที่เหมาะสม น่าจะใช้ลูกหอยที่มีความยาวเปลือกประมาณ ๑เปลือกประมาณ 1 เซนติเมตร ทั้งนี้เพราะหอยขนาดนี้ สามารถฝึกให้กินสาหร่ายใบ หรืออาหารสำเร็จรูปได้โดยไม่ยุ่งยาก การเลี้ยงควรเริ่มที่ความหนาแน่น 1,500-2,000 ตัวต่อตารางเมตร ให้มีระดับน้ำสูงประมาณ 50-80 เซนติเมตร ที่ สถานีวิจัยสัตว์ทะเลอ่างศิลา จังหวัดชลบุรี มีบ่อ ขนาดประมาณ 0.8x3.0x0.8 ลูกบาศก์เมตร สามารถใช้เลี้ยงลูกหอยขนาด ๑ เซนติเมตร ได้เป็นจำนวน 5,000 ตัว ให้มีการไหลเวียนของน้ำทะเลในบ่อร้อยละ 100-150 ต่อวัน การเลี้ยงในลักษณะนี้ จะได้หอยที่มีความยาวเปลือก ประมาณ 3 เซนติเมตร ในระยะเวลาประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นจึงลดความหนาแน่นลงเป็น 200-500 ตัวต่อตารางเมตร แล้วจึงเลี้ยงต่ออีกประมาณ 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับขนาดที่ต้องการจะจำหน่าย) จึงจะได้หอยที่มีขนาดความยาวเปลือก 5-7 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 20-50 กรัม อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ยังไม่ค่อยมีความชำนาญ อาจเริ่มเลี้ยงจากลูกหอย ที่มีขนาดความยาวเปลือก ประมาณ 2 เซนติเมตร เพื่อที่จะให้เกิดความชำนาญ และง่ายต่อการดำเนินการเลี้ยง ให้ได้ขนาดที่ตลาดต้องการ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 8-9 เดือน และมีอัตรารอดตายอยู่ที่ ประมาณร้อยละ 85 ขึ้นไป

เป็นอย่างไรกันบ้างคับกับ " ราชินีแห่งหอย " จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้นนี้คงไม่ผิดเลยและสมควรมากับฉายาของ " หอยเป๋าฮื้อ "

เนื้อหาโดย: ote1986
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
ote1986's profile


โพสท์โดย: ote1986
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
5 VOTES (5/5 จาก 1 คน)
VOTED: ote1986
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
หนุ่มจีนหน้าแตก ทดลองใช้เงินหยวนที่ไทย ชาวเน็ตเดือด ที่นี่ไม่ใช่ลาวเจ้าของนกหงส์หยกพูดได้ “น้องบี่บี้” ประกาศตามหาน้อง ตั้งรางวัล 1 แสนบาท
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
หนุ่มจีนหน้าแตก ทดลองใช้เงินหยวนที่ไทย ชาวเน็ตเดือด ที่นี่ไม่ใช่ลาวค้านประกัน ‘แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์’ คืนนี้นอนคุก แจ้ง 3 ข้อหาหนัก12 การ์ตูนแมวคือสายพันธุ์อะไรกันบ้างนะ?เปิดวาร์ป “เจ๊นุช-เมียหรั่ง” มือซ้าย-ขวา “แม่ตั๊ก” สนิทแค่ไหน
กระทู้อื่นๆในบอร์ด สาระ เกร็ดน่ารู้
กรุงเทพฯ ครองใจนักท่องเที่ยวจีน สองปีซ้อน สะเทือนเพื่อนบ้านไทยแลนด์บูมสุดๆน้ำตาหลั่ง!! พบสุสานคู่รักจีน นอนกอดกันราวกับใน นิยายโบราณนักขุดแร่ในภูมิภาคยูเรกา ครีก ประเทศแคนาดา ค้นพบลูกช้างแมมมอธขนยาวโบราณหมดไฟในการทำงาน สัญญาณเตือน และวิธีรับมือ
ตั้งกระทู้ใหม่