เผาอ้อยสร้างฝุ่นพิษ PM 2.5 เป็นความมักง่าย หรือเพราะเศรษฐกิจบีบบังคับ
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังพบกับปัญหาเดิม ๆ คือ คนไทยต้องเผชิญกับฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน การทำการเกษตร หรือจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าจะพูดถึงปัญหาการเผาอ้อย ก่อนที่จะมุ่งไปหาปลายเหตุของมลพิษ เราอยากจะมาชวนคุยกันก่อนว่าทำไม อะไรกันนะที่ทำให้เกิดการเผาในเกษตรกรรม?
ปกติแล้วการทำการเกษตรจะวนเป็นรูปแบบซ้ำ ๆ : ปลูก > เก็บเกี่ยว > ปรับพื้นที่ > ปลูก ... วนไปใหม่เรื่อย ๆ ในทุกฤดูกาล
ตรงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเนี่ยแหละ จะเป็นช่วงที่ทำให้เกิดการเผาอ้อย เพราะถ้าจะได้อ้อยเพื่อไปขาย เกษตรกรต้องตัดใบอ้อยออก ตัดลำต้นชิดดิน แล้วตัดยอดอ่อนทิ้งไป ให้เหลือแต่ลำต้นอ้อยที่ให้ความหวาน แต่มันก็เป็นปัญหา เพราะขาดแรงงานในการไปตัดใบอ้อย ด้วยความที่ใบอ้อยจะคมเหมือนมีด และเขาจะนิยมปลูกกันถี่ ๆ เพื่อความคุ้มค่า เกษตรกรและแรงงานที่รับจ้างเลยมองว่ามันลำบาก บาดมือ และใช้เวลานาน โดยเฉลี่ยคนงานคนหนึ่งตัดอ้อยได้วันละ (8 ชั่วโมง) 1 ตัน
วิธีการที่ง่ายและเร็วกว่านั้นเลยจะเป็น “การเผา” เพื่อให้ใบอ้อยไหม และเหลือแต่ลำต้น และตัดอ้อยได้เร็วขึ้น ทั้งลดค่าแรง ค่าเครื่องจักร ใช้เวลาไม่นาน และไม่ทำให้บาดเจ็บ
#การเข้ามาของภาคธุรกิจเร่งการเผาอ้อย?
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้วิธีการเผาไม่ได้เป็นที่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากยังเป็นการทำการเกษตร “เพื่อการยังชีพ” ถ้าไม่จำเป็น การเผาคงจะไม่ใช่ตัวเลือกหลักของเกษตรกร แต่เมื่อภาคธุรกิจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เกิดการเซ็นสัญญากับเกษตรกรโดยตรง เกิดการผูกขาด และการรับซื้ออ้อยจำนวนมาก “การเกษตรเพื่อยังชีพ” จึงเปลี่ยนมาเป็น “การเกษตรเชิงธุรกิจ” เกษตรกรต้องส่งอ้อยถี่ขึ้น แข่งกับเวลา แล้วในปีนี้ราคาอ้อยก็ลดลง จึงทำให้ต้องผลิตเยอะมากกว่าเดิม เพื่อที่จะทำยอดให้ได้เท่าเดิม เพื่อเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว
อีกทั้ง โรงงานรับซื้อก็นิยมให้คิวอ้อยไฟไหม้ก่อนอ้อยสดด้วย เพราะรู้ว่าถ้าเกิน 48 ชม. ค่าความหวานและน้ำหนักของอ้อยจะลดลง
ทุกอย่างเลยเหมือนเป็นตัวเร่งให้เกษตรกรต้องรีบสร้างผลผลิต ให้ทันกับเวลา และไม่ต้องใช้ต้นทุนในการผลิตสูงด้วย
และถ้าวิเคราะห์ให้ลึกขึ้น การที่เกษตรกรยอมตกลงเซ็นสัญญาต่าง ๆ ที่หลายอย่างก็ไม่เป็นธรรม ก็เกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาผลผลิตลดลง อันเป็นผลมาจากการบริหารของรัฐบาลด้วย ซึ่งน่าเศร้า เพราะผลที่ตามมากลับกลายเป็นมลพิษทางอากาศ หรือ PM 2.5 ที่ทั้งคนที่เผาเอง คนในระแวก และคนในเมืองต้องเจอกันอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงเป็นอีกคำถามที่น่าสนใจว่าสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ถึงขั้นที่คนกลุ่มหนึ่งยอมแลกความปลอดภัยในสุขภาพกับเงินเพื่อการยังชีพเชียวหรือ
และเมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็อาจจะต้องกลับมามองกันใหม่แล้ว ว่าการที่เราบอกว่าเกษตรกรที่เป็นคนเผาซึ่งเป็นตัวการในการเกิด PM 2.5 “ต้นเหตุที่แท้จริง” เกิดจากความมักง่าย หรือถูกเศรษฐกิจบีบจนต้องเลือกการเผาอ้อยกันแน่ ?