วันหยุดสุดชิลล์ บุกป่าแอ่วดอย
ช่วงวันหยุดช่วงสงกรานต์ สำหรับใครหลายๆ คนอาจจะพักผ่อนอยู่บ้าน และเที่ยวรับประทานอาหารอร่อยๆ กับครอบครัว แต่สำหรับผู้เขียนนั้นจะชอบออกท่องเที่ยวในป่าเป็นชีวิตจิตใจ ผู้เขียนและพี่ที่เคยทำงานด้วยกันได้นัดกันว่าจะเข้าไปเที่ยวป่าพักค้างแรมสัก 1 คืน โดยได้นัดหมายกันว่าจะใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เสาร์และอาทิตย์ เพื่อไปตามภารกิจที่เคยคุยกันไว้
เสียงโทรศัพท์สายหนึ่งดังขึ้นมารับปุ๊บ “อย่าลืมเอาเปลหรือเต้นท์นอนไปด้วยนะ” โอเคคับพี่ “ผู้เขียนตอบตกลง” เช้าวันนี้เราสองคนสามีภรรยาตื่นกันแต่เช้า ปกติถ้าเป็นวันหยุดนี้เราจะตื่นสายกว่าปกตินิดหน่อย แน่นอนที่เราตื่นเช้าคือเรานัดกับพี่ฝุ่นเพื่อนสนิทที่เราไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ ว่าวันสองวันนี้ เราจะเข้าไปพักค้างแรมในป่าใหญ่ ที่ที่มีต้นไม้ใหญ่ มีสายธารน้ำไหล บรรยากาศสุดสดชื่นแถวบ้านพี่เขา
การเข้าไปยังป่าจุดหมายของเราในวันนี้ เราสามารถขับรถมอเตอร์ไซค์ได้ครึ่งทางแล้วหลังจากนั้นเราต้องเดินขึ้นข้ามเขาไปอีก 2 ลูกก็ถึงยังลานจุดพักแรม เราขับมอเตอร์ไซค์ลัดเลาะตามลำห้วยขับข้ามผ่านถนนกลางลำธารเป็นจุด ๆ สักพักใหญ่ ๆ เราก็มาถึงสุดปลายทางที่มอเตอร์ไซค์จะขับต่อไปได้ แน่นอนว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นเขาเพื่อไปยังจุดพักแรมของเรา พี่ฝุ่นได้แนะนำเราว่าเราอ้อมไปอีกเส้นทางดีกว่า เพราะเส้นทางนั้นจะไม่สูงชันมากแต่อาจจะรกนิดหนึ่งและเป็นเส้นทางเดินเท้าที่มีลำธารเล็ก ๆ ตลอดทาง เราอาจจะสามารถหาผักเก็บระหว่างทางได้ด้วย
ต้องบอกเลยว่าเส้นทางนี้ค่อนข้างรกจริง ๆ แต่ก็ยังมีร่องรอยการเดินเท้าของชาวบ้านแถวนี้ที่มาหาผักป่ากินกัน เราเดินไปเรื่อย ๆ จนสุดทางลำห้วยและมาถึงยังจุดที่จะต้องเดินขึ้นเขา ต้องยอมรับเลยว่าการเดินขึ้นเขาสำหรับผู้เขียน ซึ่งนาน ๆ เข้าป่าเดินขึ้นเขาทีนั้นจะเหนื่อยเอามาก ๆ เราเดินไปหยุดไปเก็บเมล็ดไม้แดง (เมล็ดไม้แดง สามารถนำมาคั่วไฟอ่อน ๆ กินได้) ไปด้วย ค่อย ๆ ขึ้นไปบนเขาทีละก้าวสองก้าว เดินไปเรื่อย ๆ
จนในที่สุดเราก็มาถึงยังลาดจุดพักแรมที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสองวันนี้ ต้องบอกเลยว่าจุดที่เราอยู่นั้นบรรยากาศช่างแตกต่างจากพื้นที่ข้างล่างเหมือนเราอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะอากาศเย็นสบาย เสียงแมลงป่าร่ำร้อง พร้อม ๆ กับเสียงไหลของน้ำจากลำธารเล็ก ๆ ใกล้กับจุดพักแรมของพวกเรา ช่างเป็นบรรยากาศและเสียงสวรรค์ของใครหลาย ๆ คนที่กำลังโหยหาความเป็นธรรมชาติในชีวิตปัจจุบันจริง ๆ เราสูดบรรยากาศความเป็นธรรมชาติและล้างหน้าล้างตาให้ชุ่มชื่นพักเหนื่อยได้สักครู่ใหญ่ ทุกคนต่างรู้สึกหิวข้าวกัน จึงรับประทานอาหารเที่ยงจากข้าวที่ห่อมาจากบ้านเมื่อเช้า พอรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ
ช่วงบ่ายแต่ละคนก็หาจุดผูกเปลหลับพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ด้วยอาการอ่อนเพลียจากการเดินทาง ทุกคนต่างหลับไหลนานเท่าไรไม่รู้ ผู้เขียนมาสะดุ้งตื่นเอา เมื่อมีผึ้งโพลงมาเกาะที่จมูกพอปัดออกมองดูนาฬิกาก็เกือบ ๆ จะสี่โมงเย็น จึงได้ชวนกันไปเก็บมะเขือพวงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นทุ่งนาเก่าของชาวบ้านพอเราไปเก็บเสร็จแล้ว จึงได้กลับมาทำอาหารและหุงข้าวด้วยฟืนที่หลายคนอาจจะหนักใจว่าต้องหุงยังไงให้สุก ผู้เขียนเองต้องขอบคุณวิชาลูกเสือที่ทำให้การหุงข้าวครั้งนี้สุกไม่แฉะและอร่อยเหมือนหุงข้าวด้วยไฟฟ้า (โม้นิดหนึ่ง) สำหรับแกงนั้นต้องขอขอบคุณนายพรานที่มากับเรา ที่เขาชำนาญเส้นทางและแบ่งนกป่าที่เขาหาได้แบ่งให้เราสองตัว เราจึงได้แกงนกป่ากับผักที่เราหาได้ระหว่างทางที่เราขึ้นมา พร้อม ๆ กับตำน้ำพริกถั่วเน่าแคบ (เป็นถั่วเน่าแผ่นที่ทำมาจากถั่วเหลือง เป็นอาหารประจำถิ่นของชาวไตแม่ฮ่องสอน) อาหารเย็นมื้อนั้นเราจึงรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อยท่ามกลางธรรมชาติเสียงแมลงป่าร้องและเสียงน้ำไหล
ตกค่ำมาผู้เขียนกับพี่ฝุ่นได้ชวนกันไปส่องกุ้งป่าที่จะออกมาหากินตอนกลางคืน โดยมีอุปกรณ์คือไฟฉายและที่จับกุ้งป่า เราค่อย ๆ เดินขึ้นไปตามลำธาร เก็บกุ้งป่าทีละตัวสองตัว จะมีกุ้ง มีปู มีปลาช่อนป่า (ปลาก้าง) และมีกบตัวเล็ก ๆ (เขียด) ให้เราได้จับตลอดค่ำคืนนั้นเราได้เพียงพอสำหรับแกงมื้อเช้าของเราทีเดียว เรากลับมาล้างหน้าแปรงฟันพักผ่อน อากาศบนเขาสูงนั้นกลางคืนจะเย็นมาก ผู้เขียนเองก็หลับ ๆ ตื่น ๆ หลับไม่ค่อยสนิทสำหรับคืนนั้น
รุ่งเช้าเราได้หุงอาหารทำข้าวกับข้าวกัน สำหรับเมนูของเราในวันนี้คือต้มยำนกป่าที่เหลืออีก 1 ตัวเมื่อวาน ตำน้ำพริกและแน่นอนว่าจะต้องมีคั่วรวมมิตรสัตว์น้ำที่เราไปส่องมาเมื่อคืน (กุ้ง ปู ปลา) ด้วย วันนี้เรามีแผนกันว่าเราจะไปเที่ยวผาผึ้งและไปหากุ้งป่าอีกลำธารหนึ่งที่ต้องเดินข้ามเขาไปอีกฝั่ง ซึ่งไม่ไกลจากที่เราพักแรมอยู่นัก พอหลังจากที่เราไปรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเราก็เตรียมอุปกรณ์และออกเดินทาง เราใช้เวลาเดินทางร่วมชั่วโมงทีเดียวก็มาถึงยังผาผึ้ง ถือเป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอีกจุดหนึ่ง ที่เป็นเป็นหน้าผาสูงและทุกปีจะมีผึ้งมาเกาะทำรังอยู่ พี่ฝุ่นบอกว่าปกติแล้วผึ้งจะมีไม่ต่ำกว่า 20 รัง
แต่ปีนี้มีน้อยแค่ 8 รัง ผึ้งตรงนี้จะไม่ได้รับการรบกวนจากชาวบ้านแต่อย่างใดพวกเขาจะอนุรักษ์ไว้เพื่อขยายพันธุ์ต่อ เราถ่ายรูปเก็บภาพบรรยากาศได้สักพักใหญ่ ๆ เราก็เดินลงมาที่ลำธารเล็ก ๆ ที่เรานัดกันว่าจะหากุ้งป่ากัน พอมาถึงก็พี่ฝุ่นก็หาจุดที่คาดว่าจะมีกุ้งปูปลาอยู่ เราได้ทำการปิดเส้นทางน้ำโดยวิธี “ตึกแค” แล้วช่วยกันก็วิดน้ำออกในบริเวณที่จะหากุ้งป่าให้เหลือน้ำน้อยที่สุด ใช้อุปกรณ์และการงมจับด้วยมือเก็บทีละตัว 2 ตัว เราทำอย่างนั้นอยู่ 3-4 จุด สามารถจับกุ้งป่าปูปลา ได้พอประมาณก็ตกลงกันว่าเพียงพอสำหรับมื้อหนึ่งแล้ว จึงได้กลับมายังจุดพักแรมเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันอีกมื้อหนึ่ง เรารับประทานอาหารเที่ยงจากแกงที่เราแบ่งไว้ตอนเช้าอีกส่วนหนึ่ง พอรับประทานอาหารเที่ยวเสร็จ พวกเราก็เก็บสัมภาระแล้วเดินทางกลับลงมายังข้างล่างที่เราจอดมอเตอร์ไซค์
การบุกป่าแอ่วดอย ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของเราในครั้งนี้ ถือว่าเหนื่อยพอสมควร แต่ก็คุ้มค่าสุด ๆ เราไปเรียนรู้ชีวิตการใช้ชีวิตในป่า หาสัตว์น้ำ ผักไม้มาประกอบทำอาหารโดยไม่ต้องมีบรรยากาศวุ่นวายอะไรให้กวนใจ ที่สำคัญที่สุดคือการได้มาสัมผัสความเป็นธรรมชาติ เสียงแมลงป่าเรไรร่ำร้อง พร้อม ๆ กับเสียงไหลของสายน้ำลำธารในป่า อากาศที่บริสุทธิ์สุดสดชื่น เหมือนกับเราได้มาชาร์จแบตชีวิตให้เต็มพลังอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะสู้กับงานอีกต่อไปในวันข้างหน้า “ลองเข้าป่าดูสิครับ ป่าสามารถเยียวยาชีวิตคุณได้จริง ๆ”
ท่านสามารถเข้าไปเยี่ยมชม คลิป"วันหยุดสุดชิลล์ บุกป่าแอ่วดอย" ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
"แอ่วดอย" หมายถึง การไปเที่ยวเขา
"ตึกแค" เป็นวิธีหาปลาโดยการกั้นน้ำห้วยที่มีแควน้ำแยกออกเป็น 2 แคว โดยเลือกกั้นแควน้ำที่เล็กกว่าในบริเวณที่แควน้ำแยกจากกัน อาจจะนำหิน ใบไม้หรือดินที่หาได้มาวางกั้นเป็นช่วง ๆ ไปจนถึงเหนือบริเวณที่แควน้ำมาบรรจบกัน จากนั้นจึงวิดน้ำออก เมื่อน้ำแห้งลงสามารถจับกุ้ง ปลา สัตว์น้ำได้ง่ายขึ้น แต่จะสามารถทำได้ในช่วงหน้าแล้งหรือช่วงที่น้ำลดระดับลงเท่านั้น