เวีนดนาม16:หยุดเวลาที่ฮอยอัน
กว่าจะเรียกเรี่ยวแรงกลับคืนมาเพื่อออกไปยลโฉมเมืองมรดกโลกแห่งนี้ได้อีกครั้งก็เกือบเย็น ความเหนื่อยล้าและความกังวลนี่ เป็นตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งในการรับอรรถรสจากการเดินทาง ภาพและความรู้สึกของเมืองฮอยอันที่รับรู้ได้ในตอนนี้ต่างกับเมื่อตอนบ่ายที่ต้องแบกเป้หนักอึ้งอาบเหงื่อหันมองซ้ายขวาหน้าหลังสลับกับก้มดูแผนที่ในมือราวฟ้ากับดิน ทั้งๆ ที่แสงแดดและความร้อนยังคงระดับความอบอ้าวอยู่เช่นเดิม แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอาคารทรงสถาปัตยกรรรมท้องถิ่นหลังเดิมดูน่ามองกว่าเมื่อบ่ายเยอะ ผู้คนก็ยิ้มแย้มเป็นมิตรขึ้น สีสันสดใสของสินค้าก็ดึงดูดสายตาให้หยุดมองได้นานขึ้น ไม่แน่ใจ ว่าเป็นเพราะปัจจัยแรงกดดันต่างๆภายในตัวเราเอง หรือจากปัจจัยภายนอก แต่จะด้วยเหตุใด ก็อยู่กับสิ่งตรงหน้า ณ นาทีนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า
เดินซึมซับถึงความเปลี่ยนแปลงรอบข้างมาเรื่อยจนมานั่งเล่นริมแม่น้ำทูโบน สิ่งที่ส่งผลต่อความแตกต่างในการรับรู้เหล่านั้นคืออารมณ์ของเราต่างหาก บางทีเราก็ลืมคิดลืมหันกลับมามองตัวเราเองเสียสนิท อารมณ์นี่มีอิทธิพลไม่น้อยเลย... ตอนนี้ลมเอื่อยเย็นที่โชยมาจากแม่น้ำทำให้อารมณ์แช่มชื่นขึ้นมามากทีเดียว ไม่นานบรรดาอารมณ์ไม่สู้จะดีนักทั้งหลายก็คงจะแวะเวียนมาทักทายอีก มันก็สลับกันไปมาอยู่เท่านี้แหละ ที่สำคัญ เราต้องรู้ทันและตั้งรับได้อย่างมั่นคงเวลาสลับเปลี่ยนฉากกันมาเยือน…กลับไปพักผ่อนตั้งรับสิ่งที่จะมาเยือนในวันพรุ่งนี้ดีกว่า ผจญภัยระทึกขวัญมาตั้งแต่เช้าแล้ว มันส์ดีจริงๆ
ตลอดระยะเวลา 5 วันที่ดำรงชีวิตอยู่ที่เมืองฮอยอัน เป็นช่วงที่ได้ปล่อยให้เวลาในการเดินทางที่เหลืออยู่ผ่านไปเรื่อยตามจังหวะเดินของเข็มนาฬิกาด้วยอารมณ์เรียบๆและการดำเนินไปของสิ่งแวดล้อมรอบข้างตามครรลองของมันเอง หลังจากคำนวณงบประมาณที่เหลืออยู่ในกระเป๋าและระยะเวลาจนถึงวันที่ต้องกลับเมืองไทยแล้ว ต้องบอกตัวเองเชิงปลอบใจว่า การไปเยือนเมืองโฮจิมินห์ซิตี้คงต้องนำไปรวมกับการมาเยือนประเทศเวียดนามคราวหน้า ถึงแม้ว่าจะพยายามสร้างทางเลือกอื่นให้ตัวเองโดยการลองคำนวณลดค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆลง แต่ก็ยังไม่พอให้พาตัวเองกลับมาขึ้นเครื่องบินกลับที่เมืองฮานอยอย่างสบายใจได้อยู่ดี... เวียดนามใกล้แค่นี้เอง เอาไว้พร้อมกว่านี้ค่อยมาอีกก็ได้ มองในแง่ดี ใช้เวลาที่เหลืออยู่รื่นรมย์สบายๆที่นี่ดีกว่า หากประสบกับปัญหาเรื่องเงินในต่างถิ่นขึ้นมาจริงๆ ต้องระทึกขวัญอีกไม่รู้เท่าไหร่
เมืองฮอยอันเป็นเมืองท่าการค้ามาตั้งแต่ตศตวรรษที่ 17 และมีความรุ่งเรืองมาก เพราะมีทั้งชาวญี่ปุ่น ชาวจีน ชาวดัชท์มาตั้งสถานีการค้าของจนที่นี่ แต่เมื่อดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำขยายตัว อันเนื่องมาจากการพัดพาตะกอนมาทับถมจากพื้นที่ตอนในตามธรรมชาติ ทำให้เมืองฮอยอันที่เคยติดทะเล ตั้งอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดิน เมืองท่าการค้าจึงได้ย้ายไปตั้งยังเมืองดานังในที่สุด ปัจจุบันที่นี่ยังมีชุมชนชาวจีนอาศัยอยู่ส่วนหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโก้ประกาศให้ ฮอยอัน เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นเมืองท่าโบราณที่รอดพ้นภัยสงครามและยังคงรักษารูปลักษณ์และบรรยากาศในอดีตเอาไว้ ดังนั้นจึงมีกฎเกณฑ์ในการซ่อมแซมต่อเติมอาคารให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่กำหนดไว้
ลักษณะสถาปัตยกรรมของที่นี่เป็นแบบเวียดนามดั้งเดิม ด้วยโทนสีครีมถึงเหลืองของอาคารที่ค่อนข้างใหม่จากการบูรณะ เรียงรายลดหลั่นกันสลับเป็นจังหวะจะโคน ทำให้การเดินชมเมืองเพลิดเพลินบันเทิงใจไม่น้อย สินค้าหลากหลายและการตกแต่งสไตล์ท้องถิ่นภายในอาคารแข่งกันอวดสีสันให้อยากเดินเข้าไปแวะชมแทบทุกร้าน ทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า โคมไฟ ของที่ระลึก เฟอร์นิเจอร์ ภาพวาดด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น สีน้ำ สีอะคริลิค สีน้ำมัน พู่กันจีนโบราณ โปสการ์ด ฯลฯ เสมือนกับพร้อมใจกันส่งเสียงเชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านและชายตามองมา ให้เข้าไปชม
ชาวบ้านท้องถิ่นสวมหมวกโนนลา (หมวกเวียดนาม) ขี่รถจักรยานแทรกกลุ่มนักท่องเที่ยวตามท้องถนน เพิ่มเอกลักษณ์ประจำถิ่นให้เด่นชัดขึ้น
เวลาส่วนใหญ่ของฉันจึงหายไปกับการเดินเล่น นั่งเล่นแช่อยู่ในย่านเมืองเก่านี้จนสิ้นแสงตะวันฉายแทบทุกวัน ไม่ต้องมีกิจกรรมตื่นเต้นแปลกใหม่อะไรมาก แค่มานั่งเล่นมองผู้คนผ่านไปมาตามมุมน่านั่งต่างๆ ก็ทำให้อยากยืดเวลาที่อยู่ที่ฮอยอันให้ยาวออกไป
ฉันเลือกทอดน่องเรื่อยเปื่อยไปตามซอกซอยน้อยใหญ่ ชมสินค้าและพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะคติกับเจ้าของร้านอัธยาศัยดีหลายแห่ง ข้ามสะพานญี่ปุ่น (Japanese Covered Bridge) อันเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นในพุทธศตวรรษที่ 23 ด้วยรูปทรงโค้งของตัวสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นลูกคลื่น แวะชมตลาดสด ชิมเฝออาหารประจำถิ่นที่ร้านเล็กๆข้างถนน ข้ามสะพาน Cam Nam Bridge ที่ทอดผ่านแม่น้ำทูโบนไปยังอีกฝั่งเมือง แวะไหว้พระขอพรตามวัดต่างๆ รับลมเย็นยามพลบค่ำริมแม่น้ำ พร้อมๆกับพูดคุยกับผู้คนที่เข้ามาทักทายบ้าง กิจกรรมเหล่านี้สลับผลัดเปลี่ยนกันไปอย่างไม่รู้เบื่อในทุกวันที่อยู่ที่นี่ รู้สึกว่าเมืองนี้สวยขึ้นทุกวัน...ทุกวัน จังหวะของกิจกรรมผู้คน บนฉากหลังของวิวเมืองที่สะกดสายตาทุกเมื่อ เติมด้วยแสงยามเช้า สาย บ่าย เย็น และพลบค่ำ สลับกันไป ยิ่งทำให้หลงฮอยอันมากขึ้นทุกวัน หรือเราอารมณ์ดีผ่อนคลายขึ้นกันแน่?
*ติดตามเรื่องราวทริปและงานเขียนอื่นได้ที่ https://tenlavenders.blogspot.com/
และเว็บไซต์ส่วนตัว https://tenlavenders.softr.app/