คนเฒ่าคนแก่ในสมัยก่อน ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”?
ที่มาของคำ “ปั้นน้ำเป็นตัว”
น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”
มีเอกสารบันทึกเอาไว้ว่า
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเรือ กลไฟชื่อ "เจ้าพระยา" เดินเมล์รับส่งสินค้าระหว่างสิงคโปร์กับกรุงเทพฯ ใช้เวลา 15 วัน ใน บรรดาสินค้าจากสิงคโปร์ยามนั้นมีของแปลกอย่างหนึ่ง คือ "น้ำแข็ง" บรรจุหีบกลบด้วยขี้ เลื่อยส่งเข้ามาถวาย จากนั้นก็แพร่หลายในหมู่เจ้านาย และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
โดยผู้ที่สั่งน้ำแข็งเข้าเมืองไทยยุคนั้น คือ พระยาพิสนธ์สมบัติบริบูรณ์ (ยิ้ม พิศลยบุตร) ครั้งยังมีบรรดาศักดิ์เป็น พระภาษีสมบัติบริบูรณ์ เจ้าของเรือเจ้าพระยา นำเข้าน้ำแข็งเช่นเดียวกับ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศ สินค้าหรูหราจากยุโรป
พ.ศ.2411 มีสุริยุปราคาเต็มดวงที่หว้ากอ
รัชกาลที่ 4 ทรงเชิญนักปราชญ์จากยุโรป พร้อม เซอร์แฮรี่อ็อต ผู้ว่าการเมืองสิงคโปร์ เป็นพระราชอาคันตุกะมาดสุริยุปราคา โดยจัดการที่พัก อาหารการกิน ตามแบบอย่าง อารยประเทศสมบูรณ์แบบทุกประการ
เป็นการแสดงให้เห็นว่าสยามไม่ได้เป็นเมืองป่าเถื่อนอย่างที่ฝรั่งเข้าใจกัน การรับรองครั้งนั้น น้ำแข็ง มีส่วนเสริมสร้างการดื่มของพระราชอาคันตุกะอย่างสําคัญ ถึงกับเซอร์แฮรีอ็อด บันทึกความประทับใจไว้ความว่า
" พระภาษีสมบัติบริบูรณ์ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้จัดอาหารเลี้ยงแขกเมือง น่าเอาพ่อครัวฝรั่งเศสเข้า มาให้รู้จักพร้อมด้วยชาวอิตาลีหนึ่งคน และลูกมือชาวเมืองอีกหลายคน จัดการเลี้ยงดูอย่าง ฟุ่มเฟือยบริบูรณ์ ของอร่อยที่หาไม่ได้ในแถบนี้ก็จัดหามาจากสิงคโปร์ การทำกับข้าวก็ท่าอย่าง ประณีต มีทั้งเหล้าและไวน์ต่างๆ น้ำแข็งก็บริบูรณ์ อาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องการอีก"
ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 สมัยรัชกาลที่ 5 นายเลิศ เศรษฐบุตร (คนเดียวกับที่ทำรถเมล์คนแรก)ได้ตั้งโรงน้ำแข็งในไทยแห่งแรกที่สะพานเหล็กล่าง ตรงถนนเจริญกรุง ชื่อว่า"น้ำแข็งสยาม"แต่ชาวบ้านเรียกว่าโรงน้ำแข็งนายเลิศ
ที่ นิยมที่สุดก็เอาน้ำแข็งมาทำให้เป็นเกล็ดมาอัดเป็นแท่งเสียบไม้แล้วราดด้วย น้ำหวาน เป็นที่ถูกใจคนไทยสมัยนั้นและช่วยคลายร้อนได้ที่สุดในสมัยนั้นเลย