หน้าแรก ตรวจหวย เว็บบอร์ด ควิซ Pic Post แชร์ลิ้ง หาเพื่อน Chat หาเพื่อน Line หาเพื่อน Skype Page อัลบั้ม คำคม Glitter เกมถอดรหัสภาพ คำนวณ การเงิน
ติดต่อเว็บไซต์ลงโฆษณาลงข่าวประชาสัมพันธ์แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสมเงื่อนไขการให้บริการ
เว็บบอร์ด บอร์ดต่างๆค้นหาตั้งกระทู้

คืนพระจันทร์เต็มดวง

เนื้อหาโดย หนามดอกงิ้ว

 

      ในคืนที่พระจันทร์ทอแสงสาดทั่วผิวแม่น้ำ หลังจากชีวิตที่ต่างดิ้นรนต่อสู้กับวิถีที่เลือกเดินนั้นเริ่มหลับใหล แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังดำเนินชีวิตอยู่กับแสงสีที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกลบกลางคืนที่เงียบงันนั้น  

     ไม่มีผู้ใดได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่มีอำนาจพอที่จะแปรเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง ที่อาศัยอยู่ใต้ผิวน้ำให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่

     สายลมอ่อนๆ ที่พัดผิวน้ำให้มีคลื่นกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลานั้น ทำให้ปอยผมยาวสลวยของหญิงสาวคลี่คลายเป็นอิสระ ราวต้องการจะหยอกเหย้ากับสายลมหลังเที่ยงคืน เธอยืนนิ่งอยู่ริมตลิ่งของท่าเรือที่ไร้ร่างผู้คน เฝ้ามองคลื่นน้ำที่กระทบฝั่งอย่างสม่ำเสมอ ด้วยสายตาที่อ่อนล้าและท่าทางอ่อนแรง

     คงไม่มีใครรับรู้ถึงความโศกตรมที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ทุกคืนที่เธอได้ยินเสียงสะอื้นไห้และโหยหวน เธอก็ทำได้เพียงแต่รับฟังและทอดสายตามองโดยไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ 

     หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางขยับผ้าคลุมไหล่ที่ถักทอขึ้นด้วยไหมสีขาวพิสุทธิ์ มุมหนึ่งของผ้ามีลูกกระพรวนสีทองอร่ามห้อยอยู่คู่หนึ่ง เสียงใสๆ จะกังวานทุกครั้งที่เธอขยับผ้าผืนนั้นขึ้นคลุมไหล่ปิดผิวกายสีขาวซีดคล้ายคนป่วยไข้ที่โผล่พ้นขอบเสื้อแขนกุดลายลูกไม้ที่เป็นสีเดียวกับผ้าคลุมไหล่ และนุ่งผ้าถุงสีเดียวกับกลางคืนที่ปักลายระยิบระยับด้วยไหมสีทองที่ชายผ้า เท้าทั้งคู่ของเธอเปลือยเปล่า

      หญิงสาวแหงนหน้ามองผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ส่วนสูงสุดของสะพาน

           เป็นเวลานานที่เด็กหนุ่มยืนพิงราวสะพานที่กั้นความเวิ้งว้างตรงหน้ากับตัวเขาเอาไว้ แต่เจ้าตัวเหมือนจะไม่รับรู้ถึงเวลาที่ล่วงเลยผ่าน เขานิ่งมองสายน้ำที่อยู่ต่ำลงลงไป 

     มองแทบไม่เห็นอะไร นอกจากแสงนวลของพระจันทร์ที่สาดส่องราวจะไต่ถามคนที่ยืนนิ่งอยู่บนสะพานว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

     เด็กหนุ่มถอดแว่นกรอบหนา แล้วซุกหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง เขานิ่งมองแม่น้ำอยู่อย่างนั้น   โดยไม่ได้นึกชื่นชมผิวน้ำระยิบระยับตรงหน้าเบื้องหน้าแม้สักน้อย แต่กลับนึกถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา นึกถึงใบหน้าของพ่อและแม่ยามรู้ถึงผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเขาที่ประกาศเมื่อสองสามวันก่อน  

     ความเจ็บปวดและเสียใจที่ลูกชายคนเดียวไม่สามารถผ่านสนามสอบเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยตามที่พ่อแม่คาดหวังไว้เป็นเรื่องผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดกับตัวเขา ในเมื่อที่ผ่านมาเขามีผลการเรียนเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนมาตลอด แต่กลับไม่สามารถผ่านสนามสอบครั้งนี้ได้ตามที่ใครๆ คาดคิด

      เด็กหนุ่มกลืนน้ำตาแห่งความผิดหวัง  กลั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง รอบตัวมีเพียงความรู้สึกเคว้งคว้าง สับสน วิ่งวนอยู่ในสมองที่บอกตัวเองเสมอว่า…เหนื่อยเหลือเกิน…

     เขาเงยหน้าขึ้น ยื่นมือข้างที่กุมแว่นตาออกไปสุดแขน แต่แล้วแว่นอันนั้นก็หลุดมือ ทิ้งตัวลงสู่ท้องน้ำที่ดำมืด เด็กหนุ่มชะโงกตัวมองตาม จนมองเห็นเลือนๆ ว่าแว่นจมลงตรงจุดไหน และกระแสน้ำก็ได้กลืนแว่นสายตาของเขาไปแล้ว

      สายลมเย็นปะทะร่างเขาอีกระลอก เป็นความหนาวเย็นที่แทรกเข้าถึงหัวใจที่เจ็บปวดของเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเด็กหนุ่มรู้สึกว่ามันเข้าใจความเจ็บช้ำในใจเขา 

     ถ้าจมลงไปในน้ำตอนนี้คงดี ดีกว่าที่อยู่กับความเสียใจ ดีกว่าอยู่กับสิ่งผิดหวัง ให้กระแสน้ำได้พัดพาไปไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีความเจ็บปวดอีก 

      รถคันหนึ่งผ่านไปและบนสะพานก็มืด เด็กหนุ่มเอนตัวลง เขาปิดเปลือกตาไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไป 

      “นั้นกำลังจะทำอะไรเหรอ”

      ประโยคคำถามนั้นทำเอาเขาสะดุ้ง  จึงดึงตัวเองขึ้นมองไปยังที่มาของต้นเสียง ก็เห็นว่ากำลังเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับเสียงลูกกระพรวนดังกรุ๋งกริ๋ง แสงไฟจากรถคันหนึ่งที่วิ่งสวนมาทำให้เขามองเห็นเจ้าของเสียงดังกล่าว เธอเป็นหญิงสาวมวยผมหลวมๆ สวมเสื้อลูกไม้สีขาวและนุ่งผ้าถุงสีดำ เขารู้สึกแปลกตา ไม่บ่อยเลยที่จะเห็นผู้หญิงสมัยนี้นุ่งผ้าถุง แต่ผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามาคนนี้ เธอดูเหมาะสมกับมันราวกับเป็นเครื่องแต่งกายประจำตัวของเธอ 

 “จะโดดน้ำตายเหรอ”

      เธอยังคงตั้งคำถามเมื่อเขาไม่ตอบ หญิงสาวยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เดินเลยเด็กหนุ่มไปนิดหนึ่ง ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นไปนั่งบนราวสะพานเหล็ก 

     แสงสว่างจากพระจันทร์ทำให้เขาพอสังเกตเห็นใบหน้าและแววตาที่มีความโศกเศร้าอยู่ลึกๆ ของอีกฝ่าย ที่ถูกฉาบด้วยรอยยิ้ม ชั่วขณะหนึ่ง... เขาคล้ายเห็นแววเยาะหยันปนอยู่ด้วย 

     เธอมองดูเขา เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน แต่ดวงตาคู่นั้นดูสนใจในตัวเธอไม่น้อย เด็กหนุ่มที่ตัดผมสั้นเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวขุ่น  กางเกงสีครีมและรองเท้าหนังอย่างดี  ดูไม่ต่างจากลูกผู้ดีมีเงินที่ผ่านเข้ามาในสายตาเธอจำนวนมากมาย  

     แต่เขา…เป็นคนที่เธอเลือก…หากว่าเขา…

      “ไม่โดดแล้วเหรอ”  เธอถามอีกครั้งแล้วหัวเราะสนุก เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้เด็กหนุ่มเดือดดาลขึ้นมาทันที

      “มันเกี่ยวอะไรกับคุณ ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม” เขาตวาดเสียงดัง แต่คนตรงหน้าไม่ได้แสดงท่าทีกลัวเขาแม้แต่น้อย

      “งั้น คุณอยากทำอะไรก็ทำซิ”  

      ประโยคของเธอท้าทายและเหมือนจะย้ำในสิ่งที่เขาจะทำ  เด็กหนุ่มอึกอักทำอะไรไม่ถูก  แต่เมื่อสบตากับหญิงสาวแปลกหน้าก็พบดวงตาคู่เศร้าที่ทอดมองใบหน้าเขาอยู่  เลยได้แต่ถอนหายใจหนักๆ  เสยเส้นผมยุ่งๆ ก่อนทิ้งตัวนั่งเหยียดขาลงบนพื้นแข็งๆ

      “แค่อยากไปไหนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่มีคนใส่ใจ สนใจอีกแล้ว พอแล้ว พอกันที ทำไมถึงมีแต่คนซ้ำเติม ในส่วนที่เราพลาดและเจ็บ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว อยากให้สายน้ำกลืนชีวิตไปที…”

      “คุณก็ไม่ต่างจากคนอื่นเท่าไหร่หรอก”

      น้ำเสียงของเธอทำให้เขาหันกลับไปมอง

      “คุณเห็นแก่ตัว เหมือนคนอื่น ฉันดูคนผิดไป”

      หญิงสาวหยัดตัวลงจากราวสะพานที่นั่งอยู่ เสียงกระพรวนดังหวานใส เธอหันหลังให้เขาและก้าวจากไป 

      แต่เด็กหนุ่มกลับเหมือนได้ยินประโยคเดิมที่เธอพูดเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาสงสัยประโยคสุดท้ายของเธอ จึงเดินตามเจ้าของเสียงกรุ๋งกริ๋งของกระพรวนไปเรื่อยๆ  จนถึงท่าน้ำ เห็นเธอเดินลงไปนั่งหย่อนเท้าแช่น้ำ

      เด็กหนุ่มห่อไหล่อย่างลืมตัวเมื่อสัมผัสถึงความหนาวเย็นซึ่งไม่รู้ถึงทิศทางที่มาของมัน แต่เธอคนนั้นกลับเหมือนไม่รู้สึกอะไร เขาขยับตัวลงไปนั่งใกล้ๆ  มองดูกอผักตบชวาที่อวดดอกสีม่วงอ่อนซ่อนเศร้าอยู่ริมน้ำในความมืด

      “ที่ว่าเห็นแก่ตัวน่ะ หมายความว่าไง”  เขาถาม เมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบคล้ายไม่รับรู้ว่ามีคนมานั่งข้างๆ 

      “รึว่าไม่จริงล่ะ”  หญิงสาวย้อนกลับปรายตามองเด็กหนุ่ม ก่อนจะเหลือบแลกลับไปที่กอผักตบชวาที่เลื่อนไหลบนผิวน้ำเข้ามาใกล้ๆ

      “ถ้าผมโดดน้ำตายจริงๆ ก็คือตัวผมคนเดียวมันไปทำให้ใครให้เดือดร้อนเหรอ”

      “นั่นแหละที่ฉันว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัว” เธอย้ำทั้งน้ำเสียงและสีหน้า รอยยิ้มเหมือนเย้ยหยันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด

      “ผมไม่เข้าใจ” เด็กหนุ่มกระแทกเสียงเสียง แต่หญิงสาวกลับหัวเราะเบาๆ 

      “มีแต่คนนึกถึงตัวเอง จะไม่เรียกคนเห็นแก่ตัวจะให้เรียกว่าอะไร ไม่เคยมีใครนึกถึงแม่น้ำที่ต้องรองรับสิ่งเน่าเหม็นของชีวิตอีกไม่รู้กี่รายต่อกี่ราย อะไรๆ ก็โยนลงแม่น้ำ ฉันไม่เคยเห็นใครบูชาแม่คงคาอย่างที่ปากว่าจริงๆ ซักคน”

      “ลอยกระทงไงคุณ  สวยอย่างคุณไม่น่าโง่” เขาแดกดันเธอกลับด้วยถ้อยคำรุนแรง หวังจะเห็นเธอโกรธ แต่ผู้หญิงตรงหน้ากลับทอดสายตามองเขาอย่างสมเพช

      “สมัยก่อนนะใช่  แต่เดี๋ยวนี้คุณลอยขยะแล้วเรียกว่าบูชาแม่คงคางั้นเรอะ!  ไหนจะชีวิตพวกเห็นแก่ตัวอย่างคุณไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ที่นอนอยู่ก้นแม่น้ำ”

      ถ้อยคำของหญิงสาวแปลกหน้า ทำเอาเด็กหนุ่มพูดไม่ออก  ก็ดูเหมือนจะจริงของเธอ เขาลอบถอนหายใจอีกครั้งมองดูกอผักตบชวาที่กระแสน้ำพัดพามาอยู่ตรงหน้าเขาและเธอ

      “มนุษย์น่ะเห็นแก่ตัว คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของทุกสิ่งบนโลก จะใช้อย่างไรก็ได้ ไม่ได้คิดถึงชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ด้วยมัวแต่ทุกข์เศร้าอยู่กับเรื่องของตัวเองจนไม่สังเกตอะไรรอบตัว ไม่รู้ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป”

      หญิงสาวปรายตามองเด็กหนุ่มก่อนลุกขึ้นยืนหันหลังให้ เขาเลยลุกขึ้นตามเธอบ้าง แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างกระโดดเข้าตะปบที่แขนของเขา เด็กหนุ่มส่งเสียงอย่างตกใจ เรียกสายตาของหญิงสาวให้หันกลับมา

      คล้ายตกใจ…แต่เมื่อเห็นโคลนสีดำเหนียวเหนอะที่เกาะอยู่บนตัวของอีกฝ่าย เธอกลับนิ่งเฉย

      “โอ๊ย…อะไรกัน ทำไมโคลนนี่มันแสบร้อนอย่างนี้”

      เด็กหนุ่มเพ่งสายตาที่ไร้แว่นไปบริเวณแขนข้างหนึ่งที่ถูกเจ้าโคลนประหลาดเกาะอยู่  เขาปัดมันออกอย่างง่ายดาย  แต่เลือดสีสดของเขาก็ไหลตามออกมาด้วย แสงจันทร์ที่ทอดแสงยามค่ำคืนทำให้เห็นภาพน่าขยะแขยงตรงหน้าอย่างชัดเจน

      โคลนสีดำกระโจนลงน้ำ แล้วแหวกว่ายไปที่กอผักตบชวาริมตลิ่ง หนูตัวใหญ่ถูกจู่โจมโดยไม่รู้ตัวโดยโคลนประหลาดนั่น ร่างของหนูจมดิ่งลงใต้ผิวน้ำคล้ายมีบางอย่างใต้น้ำฉุดลงไป เด็กหนุ่มสบตากับผู้หญิงแปลกหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัวอย่างที่สุด แววตาเต็มไปด้วยแห่งคำถาม แต่เธอกลับมองดูเขาอย่างชาเฉย ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เป็นเรื่องปกติ

      “นี่มันอะไรกัน นั่นมันตัวอะไร”

      “ฉันไม่รู้ พวกคุณเป็นคนสร้างไม่รู้เหรอ” 

      เธอถามกลับ พร้อมเดินเข้ามาใกล้ ความรู้สึกหนาวเหน็บโอบร่างเด็กหนุ่มให้เนื้อตัวหนาวสั่นราวคนป่วยไข ้  เขาก้าวถอยหลัง พยายามหลบผู้หญิงผิวสีขาวซีดคนนี้ แต่ด้านหลังเขาก็เป็นแม่น้ำ คลื่นที่เคยกระเพื่อมเพียงเล็กน้อย ค่อยๆ ถาโถมจนคล้ายเกลียวคลื่นยักษ์ แม่น้ำปั่นป่วนเหมือนจิตใจของเขาในเวลานี้   มันเกิดอะไรขึ้น แต่สายตาของผู้หญิงตรงหน้าก็ยังคงชาเฉย 

      “ถ้าอยากรู้ ทำไมไม่ลงไปอยู่ที่ใต้ผิวน้ำดูล่ะ” เธอบอกเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

      “ใต้นั้น คุณจะรู้คำตอบทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากรู้ ลงไปสิ” เสียงนั้นเหมือนขู่ตะคอก พร้อมๆ กลิ่นสาบสางชวนสะอิดสะเอียนโชยมา เด็กหนุ่มถอยผงะออกมาอย่างไม่รู้ตัว

      “ฉันไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่ คุณเข้าใจมั้ย ฉันไม่ต้องการอยู่...” เธอหวีดร้องเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณราวเก็บกดมาเนิ่นนาน

      ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะตั้งตัวทัน เธอก็ผลักเขาตกลงไป

      แม่น้ำที่กำลังปั่นป่วน ที่กระแสน้ำคล้ายทะเลเดือด เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมา แต่เท้าทั้งคู่ก็ถูกฉุดกระชากรุนแรง  ลากร่างเขาให้จมดิ่งลงใต้ผิวน้ำ 

      โคลนมรณะคืบเข้าเกาะกุมตามตัวของเขาชวนขยะแขยง  เด็กหนุ่มออกแรงสะบัดก้อนเหนียวเหนอะที่เริ่มไต่ยุบยับไปตามตัวเขา ถีบตัวขึ้นมาเหนือผิวน้ำอีกครั้ง ทันเห็นแววตาคู่โศกที่จ้องมองเขาอยู่อย่างสมเพชเวทนา  เขาเอื้อมมือดึงผ้าคลุมไหล่ของเธอไว้ ละล่ำละลักไม่เป็นภาษา ด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต

      “อย่า…ผมยังไม่อยากตาย ช่วยผมด้วย ผมยังไม่อยากตาย…!!”

      “ตรงนี้แหละลูกที่มีคนมาเจอลูกนอนสลบอยู่

      เสียงผู้หญิงวัยกลางเอ่ยขึ้น ขณะพาเด็กหนุ่มใบหน้าซูบซีดเดินมาบริเวณท่าน้ำ เธอพยุงลูกชายอย่างเป็นห่วงเพราะเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล 

     เด็กหนุ่มขยับแว่นสายตาอันใหม่ให้กระชับใบหน้ามองไปรอบๆ บริเวณดังกล่าว นึกถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับตนในคืนพระจันทร์เต็มดวง 

 “แม่ค้าที่จะไปซื้อผักผ่านมาเจอเข้า อยากไปขอบคุณเขาหน่อยมั้ย” ผู้เป็นพ่อถามน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างเข้าใจสภาพจิตใจของลูกชายคนเดียวในเวลานี้  

     เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างช้าๆ มองดูที่แขนซ้ายที่เขาจำได้ว่ามีโคลนประหลาดมาสูบเลือดเขาไป  แต่เวลานี้ไม่มีแผลอะไรอยู่บนตัวเขาเลย ขยับเท้าจะก้าวเดินแต่สายตาก็ไปสะดุดกับแสงวาววับตรงหน้า เขาก้มลงเก็บขึ้นมาดูใกล้ๆ แล้วก็รู้สึกเย็นวูบที่สันหลัง

      มันคือลูกกระพรวนสีทองสลักลายอย่างงดงามที่มีพู่ไหมสีขาวห้อยติดอยู่ในลักษณะคล้ายถูกกระชากให้ขาด เหมือนลูกกระพรวนที่ห้อยอยู่ชายผ้าคลุมไหล่ของหญิงสาวที่เกล้าผมมวยในค่ำคืนนั้น  

     สายลมอ่อนเบาพัดที่ริมใบหู คล้ายเสียงกระซิบ เป็นเสียงที่เขาจำได้แม่นยำ แม้จะได้ยินเพียงแผ่วเบา อยู่ไม่ไกลแต่ก็ไม่รู้ทิศทางที่มาของเสียง 

     เสียงลูกกระพรวนของผู้หญิงคนนั้น… 

     เขากำลูกกระพรวนไว้แน่นในมือที่ชุ่มเหงื่อ แล้วรีบเดินไป โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งเฝ้ามองอยู่ 

     ผู้หญิงคนนั้นขยับผ้าคลุมไหล่สีขาวเจิดจ้า มันเป็นสีขาวที่มนุษย์คนเคยเห็นมาก่อน ตรงชายผ้าเหลือลูกกระพรวนสีทองอร่ามเพียงอันเดียว.   

เนื้อหาโดย: หนามดอกงิ้ว
⚠ แจ้งเนื้อหาไม่เหมาะสม 
หนามดอกงิ้ว's profile


โพสท์โดย: หนามดอกงิ้ว
เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้โดยการ VOTE และ SHARE
10 VOTES (5/5 จาก 2 คน)
VOTED: minibuskhonnang, หนามดอกงิ้ว
Hot Topic ที่น่าสนใจอื่นๆ
เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 มาแน่! คนทั่วไปรับผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568เพจดังเปิดภาพพระสงฆ์ ควงแขนผู้ชาย ชาว เน็ตวิจารณ์ยับคนดูยังท้อ!! หนุ่มทำคอนเทนต์ตามล่า “ ช็อกโกแลตดูไบ” ในเซเว่น หาทั้งจังหวัด 23 สาขา ก็ยังไม่มี แต่สุดท้ายได้ลองสมใจสั่งพักงานยกชุด! 18 ตำรวจจราจร ปมตั้งโต๊ะจับปรับ 'เจอจ่ายจบ'"โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบชาวต่างด้าวข้ามฝั่งมาคลอดฟรี คนไทยเสียงแตก งานนี้ใครได้ ใครเสียคลิปไวรัล คุณยายวัย 95 ปี หัวเราะจนหงายหลัง ชาวเน็ตเเห่ถามคุณยายเป็นอะไรเชน ธนา การเงินวิกฤตหนัก ตัดใจประกาศขายออฟฟิศ 3 ตึก ราคารวมเกือบร้อยล้านน้ำใจยิ่งใหญ่! หนุ่มไร้เงินขอติดรถกลับบ้าน เจอผู้ให้เต็มคันสุดอบอุ่นBaby V.O.X เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานของเกาหลี คัมแบ๊กในรอบ 14 ปี นำโดย 'ยุนอึนเฮ'ฮือฮาเหนือท้องฟ้าประเทศไทยหลายพื้นที่! แห่สงสัย มนุษย์ต่างดาว?ชั่วขณะสุดท้ายของชีวิต หากถูกประหารด้วยกิโยติน เราจะรู้สึกอย่างไร?
Hot Topic ที่มีผู้ตอบล่าสุด
อย่าท้าทายระบบ! "สารวัตรแจ๊ะ" เผยสาเหตุที่ต้องใส่แมสก์ และสวมหมวกตลอดเวลาสั่งพักงานยกชุด! 18 ตำรวจจราจร ปมตั้งโต๊ะจับปรับ 'เจอจ่ายจบ'"ร่วมส่งใจ อาเป็ด เชิญยิ้ม แอดมิตด่วน เจอพิษ “โนโรไวรัส” ยังไม่มียา-วัคซีน ชวนป้องกัน กินสุกลดเสี่ยง ล้างมือบ่อย #ลดเสี่ยงโรคโบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบชาวต่างด้าวข้ามฝั่งมาคลอดฟรี คนไทยเสียงแตก งานนี้ใครได้ ใครเสีย
กระทู้อื่นๆในบอร์ด นิยาย เรื่องเล่า
โบราณสถานอายุกว่า 1,300 ปี แห่งไซบีเรีย ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาที่รอคำตอบโบสถ์เซนต์แมรี่แห่งไซออน, เอธิโอเปียเขาพระวิหาร: สัญลักษณ์แห่งความงดงามและความขัดแย้งภาพสุดท้าย
ตั้งกระทู้ใหม่