รีวิวหลังดู “สัปเหร่อ” กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล #สัปเหร่อ
รีวิวหลังดู “สัปเหร่อ” กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล #สัปเหร่อ
สวัสดีครับคอหนังทุก ๆ ท่าน ด้วยกระแสที่กำลังมาแรงในตอนนี้ของภาพยนตร์เรื่อง “สัปเหร่อ” โดยผู้กำกับ “ต้องเต - ธิติ ศรีนวล”
เชื่อว่าในตอนนี้หนังได้ถูกตีแผ่ไปทั่วประเทศและหลายคนก็ต่างพูดถึง ซึ่งเมื่อประมาณสิบวันที่ผ่านมานี้ ตัวผมเองเพิ่งได้ไปดูมาครับ(18/10/66) ถึงแม้หนังจะเข้าโรงตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมแล้ว แต่ผมเพิ่งจะว่างไปดูมาครับ ฮ่า ฮ่า ถึงจะไปดูช้า แต่ก็ยังคงอยากมารีวิว แล้วก็เขียนรีวิวช้าด้วย
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหนังเรื่องนี้เสียก่อนครับ เพราะ ณ ปัจจุบันนี้ “สัปเหร่อ” ได้มียอดพุ่งทะลุถึง 500 ล้านบาทแล้วครับ!! ถือเป็นภาพยนตร์ของไทยอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จและได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ซึ่งยังคงทำรายได้อยู่เรื่อย ๆ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง และขอบคุณสำหรับหนังที่มีคุณภาพและเข้าถึงผู้ชมครับ
ต้องบอกเลยว่าถึงผมจะได้ไปดูช้า (ถึงจะมาเขียนรีวิวช้าอีกก็ตาม ฮ่า ฮ่า) แต่ที่ยังคงอยากมารีวิวเพราะหนังเรื่องนี้ดีมากเลยครับ เข้าถึงอารมณ์ได้สุด ๆ เลยล่ะ ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยที่ผมดูหนังแล้วมีน้ำตา มันเข้าถึงคนดูอย่างเราได้ลึกซึ้งมาก ๆ ... เอาล่ะเข้าเรื่องเลย
ทุกคนคงจะรู้จักแล้วล่ะครับ “สัปเหร่อ” เป็นหนังไทยบ้านเราเองครับ เป็นหนังแนวสยองขวัญ - ตลก ที่ความตลกจะค่อย ๆ หายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือแต่ความเศร้า เข้าโรงตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2566 แต่ก็นั่นแหละครับ ผมเพิ่งไปดูมา กำกับโดย ต้องเต ธิติ ศรีนวล ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคแยกจากซีรีส์เรื่อง ไทบ้านเดอะซีรีส์ครับ
เรื่องราวของเซียงนะครับ จะเกี่ยวกับความรัก ซึ่งคนที่เขารักได้ตายไป เซียงเลยทำทุกทางที่จะได้ไปอีกโลกหนึ่ง สุดท้ายทุกอย่างมีเวลาของมัน เวลาคือสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ครับ นี่คือสิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้นั้นสอนเรา ซึ่งก็คือเรื่องความรักและความตาย คนตายกับคนเป็นนั้นอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถึงแม้ตอนมีชีวิตอยู่จะเคยรักกันมากแค่ไหนก็ตาม ตรงส่วนนี้นี่ผมเข้าใจมาก ๆ เลยล่ะครับ
เจิด ที่เรียนจบกฎหมาย มีพ่อทำอาชีพสัปเหร่อ ในส่วนนี้ต้องบอกเลยว่ามันได้เห็นหลายมุมมองมากครับ ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของเจิดที่เรียนจบแล้วและกำลังจะไปด้านกฎหมาย มุมมองของพ่อที่ต้องทำงานหนัก มุมมองของเจิดเองที่อยากจะช่วยพ่อ มุมมองของพ่อที่ต้องทำหน้าที่ตรงนี้เพราะไม่มีใครมาทำแทน มุมมองของเจิดที่ได้ทำหน้าที่แทนพ่อเพราะพ่อป่วย สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความเศร้า เพราะ “พ่อไม่ได้อยู่ในวันที่เจิดรับปริญญา”
“ความตาย” มันฆ่าเราได้ “ครั้งเดียว”
แต่ “ความรัก” มันจะฆ่าเราไปเรื่อยๆๆๆ “จนกว่าเราจะตาย”
ในมุมมองของเซียง เราจะเห็นได้ว่าเขาไม่กลัวเลยที่จะไปหาคนที่รัก ถึงแม้คนที่เขารักนั้นจะจากไปแล้วก็ตาม เซียงก็ยังคงกล้าที่จะถอดจิตและไปหาใบข้าวอย่างไม่ลังเล สุดท้ายแล้ว ใบข้าวก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ตรงจุดนี้หนังคงจะสื่อให้เรารู้ว่าถ้าเราได้อยู่กันต่างภพแล้ว เราก็คงจะไม่ได้เจอกันอีก ถึงแม้ว่าจะมีวิธีไหนก็ตาม แต่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นไปตามธรรมชาติ มีเกิดก็ย่อมมีดับไป เราไม่สามารถฝืนธรรมชาติได้และนาฬิกาก็ไม่เคยจะหยุดเดิน
ก่อนหน้านี้ที่เซียงต้องออกจากการถอดจิตเพราะหมดเวลา รวมถึงใบข้าวที่กำลังจะหายไป ทำให้เซียงควบคุมตัวเองไม่อยู่และอารมณ์พุ่งพล่านครับ จนทำกิริยาอะไรที่ไม่ดีใส่ยาย ตรงจุดนี้แหละครับทำให้ผมน้ำตาไหลเลย เพราะในตอนที่เซียงเริ่มคิดได้ ยายก็ไม่ได้โกรธอะไรเซียงเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ยังเอาข้าวมาให้อีก ซึ้งสุด ๆ เลยครับ
สิ่งที่หนังจะสื่อคงเกี่ยวกับเรื่องที่ใกล้เรามากที่สุด ซึ่งก็คือความตายครับ ใช้ชีวิตกับคนที่เรารักในตอนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ให้มีความสุข ดีกว่ามาคิดเสียใจทีหลังว่าทำไมเราไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ไปตั้งแต่แรก สุดท้ายนี้ ดูหนังให้สนุกกันนะครับผม ขอบคุณครับ