บทความวิชาการ ดร.ศิรวัฒน์ ครองบุญ เรื่อง ซีเอสอาร์วิถีพุทธ : แนวคิดเพื่อการจัดการวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมยุคใหม่
ซีเอสอาร์วิถีพุทธ : แนวคิดเพื่อการจัดการวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมยุคใหม่
CSR Buddhist approach : A Concept for Management Environment
crisis in the modern age
นายศิรวัฒน์ ครองบุญ Mr.Sirawat krongbun
บทคัดย่อ
วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมคือความเสื่อมโทรมในเชิงคุณภาพและปริมาณ ทั้งที่เป็นสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจหรือสังคม โดยมีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งกระตุ้นให้มนุษย์พัฒนาความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาการ ในการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างสะดวกสบายและง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งมีการพัฒนากระบวนการผลิตทางด้านอุตสาหกรรม เพื่อผลิตสินค้าทั้งที่เป็นสินค้าประเภททุน และสินค้าบริโภค ก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม มีผลกระทบถึงปัจจุบัน แม้ว่า จะมีการรณรงค์ด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมากมายก็ตาม ถึงอย่างนั้น การจัดการวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมก็ยังไม่มีประสิทธิผล เนื่องจากการออกกฎหมาย การจัดสรรงบประมาณ ที่จะช่วยให้เกิดการปฏิบัติได้จริง ยังไม่เกิดขึ้นนั่นเอง
ในอดีตที่ผ่านมา บริษัทธุรกิจ หรือภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีการบริหารจัดการองค์กร ที่ขาดการใส่ใจดูแลรักษาสังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อที่จะนำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน เพราะเหตุนี้ จึงเกิดกระแสผลักดันให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบันเป็นโลกยุคโลกาภิวัตน์ ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรมนุษย์ ผลกระทบจากการใช้วิทยาการและเทคโนโลยี และการพัฒนาเศรษฐกิจ เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงต้องสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ทั้งโดยทางสื่อสารมวลชน โดยระบบการศึกษาทุกระดับ และโดยสถาบันทางศาสนา เพื่อรักษา หวงแหน ปกป้อง พื้นฟูระบบนิเวศ ให้เป็นการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืนในอนาคต
ซีเอสอาร์วิถีพุทธ เป็นการนำเอาหลักธรรมมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิต โดยการฝึกอบรม เชิงปฏิบัติการ ใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาจิตใจ และปัญญา ให้มีความตระหนักรู้ เพื่อให้โลกรอดพ้นจากวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ที่บริหารจัดการอย่างขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ปราศจากธรรมาภิบาล ไม่มีคุณธรรมจริยธรรม อันเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นเหตุ เป็นผล เชื่อมโยงอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมจากยุคเดิมสู่ยุคใหม่ มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมต้องมีความสัมพันธ์กัน เกื้อกูลกันอย่างใกล้ชิด เชื่อมโยงหลักการบริหารจัดการตามหลักวิถีพุทธ ก็จะก่อให้เกิดดุลยภาพต่อสังคมโดยรวมได้อย่างแท้จริง
คำสำคัญ: ซีเอสอาร์วิถีพุทธ, การจัดการ, วิกฤติการณ์, สิ่งแวดล้อม
Abstract
Environmental crisis is the degradation in quality and quantity of both natural environment and business environment or social environment caused by human doing. Human has developed sciences to use natural resources easily. Moreover, human has developed manufacturing process to produce capital goods and consumer products. Such manufacturing processes have impacted environment. Although there are many campaigns against environmental problem, management environmental crisis is not effective. Because there are no legislation and budget to solve the environmental problem.
Previously the business company and government organization related to environmental problem lacked of social and environment responsibilities which support success and sustainable business. Currently the demand in social responsibilities increases.
Presently the world is in the era of globalization. Environmental problems such as increase in human population, impact from sciences, technology and economic development has seriously increased. It is necessary to motivate our people to have environmental awareness through public mass communication, all level of educational system and religious institution to protect and conserve ecological system and to create development which grows together with technology sustainably.
CSR Buddhist approach applies dhamma to our way of livings by doing workshop, being environment friendly, and improving wisdom and spiritual growth to motivate awareness. To keep the world safe from environmental crisis caused by lack of social responsibility in management, lack of good governmence, moral and ethics. To solve environmental crisis, we should apply principle of CSR Buddhist approach and mutually relate to environment to create sustainable social balance.
Keyword: CSR Buddhist approach, management, crisis, environment.
1.บทนำ
การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะในระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบกับปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหามลพิษ ปัญหาน้ำเน่าเสีย ปัญหาโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบต่อชุมชนในด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อาชีวอนามัย สุนทรียภาพ การพัฒนาในอดีตมักจะยึดต้นแบบ หรือจำลองมาจากประเทศที่มีการพัฒนามาก่อน จึงส่งผลกระทบต่อจารีตประเพณี วิถีชีวิต วัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคม ไม่สอดคล้องกับบริบทความเป็นจริงทางชีวภาพและกายภาพ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแต่ละสังคมมักจะแตกต่างกันไป นอกจากนี้ การพัฒนาที่มุ่งเน้นการผลิตและการบริโภค สะท้อนให้เห็นความไม่ใส่ใจ ไม่รับผิดชอบต่อสังคม ไม่คำนึงถึงอนาคตของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาโดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโยลีมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการด้านวัตถุนิยม จึงเป็นเหตุให้ทรัพยากรด้านธรรมชาติลดลง และมีการปล่อยมลพิษต่างๆ เข้าสู่สภาพแวดล้อมมากขึ้น
สภาพปัญหาทางด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม เริ่มทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น มาตรการสากลต่างๆที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือ ในการรับผิดชอบต่อสังคมนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอ ดังนั้น พระพุทธศาสนามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างสำคัญ คือ ส่วนที่เป็นพระวินัยก็เกี่ยวข้องกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ตัวทรรศนะเกี่ยวกับโลกและชีวิตที่ไม่มองเรื่องของมนุษย์โดดๆ แต่มองที่ความเกี่ยวข้องระหว่างมนุษย์กับ สรรพสิ่งต่างๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ก็เป็นไปเพื่อให้เกิดการปฏิบัติหรือพฤติกรรมในการดำรงชีวิตที่ต้องคำนึงถึงสรรพสิ่งทั้งหลาย อันเป็นเรื่องของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยไม่เบียดเบียนต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ พืช และบรรดาสิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลาย
ในการบริหารจัดการ ควรนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ เพื่อหาทิศทางและวิธีการฟื้นตัวจากวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม หลักธรรมนั้น คือ หลักสัปปายะ 7 คือ ธรรมที่เหมาะกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ได้แก่ (1) อาวาสสัปปายะ คือ ที่อยู่อาศัย หรือ วัด ราวป่า โคนต้นไม้ สำนักปฏิบัติธรรม กุฏิสงฆ์ อาราม เรือนว่างอันเป็นที่สบาย สงบ ปราศจากผู้คนสัญจรไปมา, (2) โคจรสัปปายะ คือ สถานที่แห่งนั้นต้องมีทางโคจร หรือ ทางเดิน ถนนหนทางไปมาได้สะดวก ไม่ใกล้นัก ไม่ไกลนัก, (3) ภัสสสัปปายะ คือ การสนทนา การฟัง พูดคุยกันแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์, (4) ปุคคลสัปปายะ คือ บุคคลที่อยู่ร่วมกัน บุคคลที่ติดต่อคบหา บุคคลที่ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญา สามารถเป็นที่ปรึกษาแก้ข้อขัดข้องต่างๆ ได้, (5) โภชนสัปปายะ คือ อาหารที่บริโภค ควรเป็นอาหารที่สบายต่อความเป็นอยู่ในอัตภาพ, (6) อุตุสัปปายะ คือ ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อม ที่เหมาะกัน ฤดูอันเป็นที่สบาย, (7) อิริยาปถสัปปายะ คือ อิริยาบถทั้ง ๔ อันเป็นที่สบาย และหลักจักร 4 คือ ธรรมที่นำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ช่วยขับเคลื่อนชีวิตให้ทำความดีสวนกระแสกิเลสได้อย่างเต็มที่ และเป็นอุปการะให้ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างยั่งยืน มี 4 ประการ ได้แก่ (1) ปฏิรูปเทสวาสะ คือ มีสิ่งแวดล้อมดี เลือกอยู่ถิ่นที่เหมาะสม, (2) สัปปุริสูสังเสวะ คือ คบคนดี เสวนาคนดี, (3) อัตตสัมมาปณิธิ คือ การตั้งตนไว้ชอบ ตั้งตนไว้ถูกวิถี, (4) ปุพเพกตปุญญตา คือ มีพื้นเดิมดี มีทุนดีได้เตรียมไว้แล้ว
ดังนั้น วิธีแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องบริหารจัดการโดยเริ่มจากการกำหนดนโยบาย เพื่อความเป็นระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม กำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาความสมดุลของธรรมชาติ และการให้การศึกษาสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกันนี้ หากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมไม่นำหลักพุทธธรรมมาบูรณาการ หรือประยุกต์ใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีแล้วไซร้ การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมนั้น ก็จะเป็นปัญหาวิกฤต ทำให้เกิดความไม่สมดุลของธรรมชาติ มีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ประชาชนไม่มีส่วนร่วม บริหารจัดการโดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนในอดีต
2.แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม
การจัดการสิ่งแวดล้อมให้สัมฤทธิ์ผลอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน ให้มีศักยภาพ มีความรู้ ความเข้าใจในแนวคิดทฤษฎีการจัดการ หรือการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยปลูกฝังให้เป็นคนมีคุณภาพ มีทัศนคติ มีจิตสำนึกและพฤติกรรมที่สนับสนุนการไม่ทำลาย พยายามรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติให้ยั่งยืน เพื่อที่จะให้ประชาชนเป็นแนวร่วมหรือให้ความร่วมมือในการจัดการสิ่งแวดล้อมไทยและสิ่งแวดล้อมโลกได้ผลดีอย่างยั่งยืน การจัดการจะต้องจัดให้ระบบธรรมชาติ มีองค์ประกอบภายในที่มีชนิด และปริมาณที่ได้สัดส่วนกัน การใช้ต้องใช้เฉพาะส่วนที่จำเป็น สามารถควบคุม และป้องกันฐานของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้นๆ ให้มีศักยภาพ หรือความสามารถในการให้ผลิตผล หรือส่วนเพิ่มพูนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งในการใช้ หรือการผลิตของทรัพยากรธรรมชาตินั้น จะต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และยึดหลักการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน
ด้วยประเทศไทยยังต้องเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่ผันผวน ซับซ้อน และคาดการณ์ผลกระทบของโลกได้ยาก แม้ว่าในภาพรวม สังคมไทยมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการบริหารงานภาครัฐที่อ่อนแอ มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่สามารถรองรับการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งความเสี่ยงจากความเสื่อมถอยของค่านิยมที่ดีงามในสังคมไทย ความเสื่อมโทรมของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศให้เข้มแข็งมากขึ้น ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเสริมสร้างทุนทางสังคม ทุนทางเศรษฐกิจ และทุนทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์แทบทั้งสิ้น ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรต้องเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว เกิดมลพิษขึ้นเกือบทุกด้าน ผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยก็คือ ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่ที่เกิดมลพิษนั้นๆ นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดการแย่งชิง เพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่เหลืออยู่ สร้างปัญหาความขัดแย้งขึ้นในสังคม ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ หากทุกคนในชุมชน ร่วมกันเข้ามามีส่วนร่วม ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นอย่างจริงจัง ทั้งที่ลงมือกระทำด้วยตนเอง ตลอดจนประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะสามารถฟื้นฟูบูรณะให้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในท้องถิ่นกลับคืนมาสู่สภาพอย่างเดิมได้
การสร้างโอกาสให้สมาชิกทุกคนของชุมชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือ และเข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการดำเนินกิจกรรมในการพัฒนา รวมถึงได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนานั้นอย่างเสมอภาค เกิดจากจิตใจที่ต้องการเข้าร่วมในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เพื่อให้เกิดผลต่อความต้องการ ของกลุ่มคนที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตทางสังคม ทั้งนี้ ในการที่จะให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงนั้น การจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมต้องคำนึงถึง วิถีการดำเนินชีวิต ค่านิยม ประเพณี ทัศนคติของบุคคล เพื่อให้เกิดความสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม เพราะกลุ่มคนในชุมชน มีความแตกต่างกันในลักษณะส่วนบุคคล ให้ความสำคัญโดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง โดยมีหน่วยงานภาครัฐคอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำหรืออำนวยความสะดวก
3.แนวคิดทฤษฎีการจัดการสิ่งแวดล้อม[1]
ทฤษฎีการบริหารงานอย่างมีคุณภาพหรือวงจรคุณภาพ (PDCA) จัดเป็นกิจกรรมปรับปรุงและพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย การวางแผน การดำเนินการตามแผน การตรวจสอบ และการปรับปรุงแก้ไข หรือที่เรียกว่า “วงจรเดมมิ่ง” ของ W. Edwards, Deming มีหลักพื้นฐานที่จะทำให้การจัดการสิ่งแวดล้อมมีประสิทธิภาพ และคุณภาพ เพราะการทำงานตามวงจร PDCA เป็นกิจกรรมพื้นฐานการพัฒนาประสิทธิภาพ และคุณภาพของการดำเนินงาน ซึ่งประกอบด้วย ๔ ขั้นตอน คือ วางแผน (Plan) ปฏิบัติ (Do) ตรวจสอบ (Check) ปรับปรุง (Act) การดำเนินกิจกรรม PDCA อย่างเป็นระบบครบวงจรอย่างต่อเนื่องหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ย่อมส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพเพิ่มขึ้น มีรายละเอียด ดังนี้
1) การวางแผน (Planing)
การวางแผนด้านสิ่งแวดล้อม คือ การทำให้สภาพแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ดีขึ้น มีการประสานกิจกรรม และเวลาที่เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นแนวทางให้คนในสังคมมีกิจกรรมที่ให้ความคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การวางแผนจะครอบคลุมในเรื่องการกําหนดวัตถุประสงค เปาหมาย วิธีการแกไข และจัดทําแผนดําเนินงาน ขั้นตอนการวางแผนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการจัดทําแผน จําเปนจะตองมีการระบุขอจํากัดของสิ่งแวดล้อมที่มีผลตอแผนงาน ดังนั้น การวางแผนการจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นการกำหนดวิธีการดำเนินงานเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และแนวทางการแก้ไขกับปัญหาที่จะเกิดในอนาคต
2) การดำเนินการหรือการปฏิบัติตามแผน (Doing)
การปฏิบัติตามแผน หมายถึง การปฏิบัติให้ดำเนินไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้อย่างเป็นระบบ และมีความต่อเนื่อง การปฏิบัติตามแผนด้านสิ่งแวดล้อม จะประสบความสำเร็จได้นั้น ขึ้นอยู่กับทักษะด้านการบริหารของผู้มีอำนาจ และผู้รับผิดชอบการบริหารแผนงาน ที่จะต้องดำเนินการไปตามแผน วิธีการ และขั้นตอนที่ได้กำหนดไว้ และจะต้องเก็บรวบรวมบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป
เพื่อให้การดำเนินงานตามนโยบายการดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นรูปธรรม และประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด จึงกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้ ดังนี้
- รับผิดชอบและยึดมั่นในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นที่องค์กรตั้งอยู่
- ปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกำหนด และระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดควบคู่ไปกับการพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่มีคุณภาพ ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของผู้ใช้บริการและประชาชน
- มุ่งพัฒนาระบบบริหารจัดการ และสร้างวัฒนธรรมองค์กร ในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างประหยัด คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ
- ให้ความสำคัญในการบริหารงานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างเหมาะสม และได้มาตรฐาน รวมทั้งการส่งเสริมและสร้างจิตสำนึกในการดูแลสุขภาพของพนักงานและครอบครัว
- ดำเนินกิจกรรมเพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ โดยมีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชุมชน พัฒนาองค์ความรู้ สร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งข้อมูล และองค์ความรู้ของประชาชน เพื่อยกระดับสังคมไทยสู่สังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้
- ร่วมมือและสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชน ในการป้องกันอุบัติเหตุ การเกิดภัยพิบัติ หรือ สาธารณภัยอย่างเต็มความสามารถ
แม้ว่า ตอนวางแผนจะมอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบงานโดยตรง หากไม่ได้ระบุให้ชัดเจนไปว่าใครเป็นเจ้าภาพหลัก จะทำให้ทีมงานเกี่ยงงานกันได้ ยิ่งหากมีความขัดแย้งกันมาก่อนจะทำให้การดำเนินงาน ไม่สามารถดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น ดังนั้น การแก้ปัญหาเหล่านี้ สิ่งที่ต้องทำในฐานะหัวหน้าทีมงานก็คือ การระมัดระวังในการนำทีม (Directing) ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง วิธีการสื่อสาร (Communication) การจูงใจให้ทีมงานอยากทำงาน (Motivation) และหัวหน้าทีมยังต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา (Consulting) ให้กับทีมงานด้วย รวมถึงต้องมีการจัดกำลังคน และจัดเตรียมทรัพยากรให้เพียงพอต่อการดำเนินงาน (Organizing) ให้ดี ก่อนที่จะดำเนินการลงมือทำ (Do) จึงกล่าวได้ว่า การดำเนินงานเป็นการบ่งบอกถึงองค์กร หรือบุคคลผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานนั้น ๆ ว่ามีหน้าที่อะไร การกำหนดกฎเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ และตามขั้นตอนและวิธีการที่ระบุไว้ในแผน
3) การตรวจสอบหรือการประเมินผล (Checking)
การตรวจสอบ (Check) การดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้รับรู้สภาพการณ์ของงานที่เป็นอยู่ เปรียบเทียบกับสิ่งที่วางแผน มีกระบวนการเกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบ การรวบรวมข้อมูล พิจารณากระบวนการเป็นตอนๆ เพื่อแสดงจำนวน และคุณภาพของผลงานที่ได้รับในแต่ละขั้นตอน เปรียบเทียบกับที่ได้วางแผนไว้ ซึ่งการรายงานจะเสนอผลการประเมินรวมทั้งมาตรการป้องกันความผิดพลาด
หรือความล้มเหลว
การตรวจสอบหรือการประเมินผลด้านสิ่งแวดล้อม เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อประเมินผล ว่า มีการปฏิบัติงานตามแผนหรือไม่ มีปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพ และคุณภาพของการทำงาน การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินปัญหา จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำควบคู่ไปกับการดำเนินงาน เพื่อจะได้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ในการปรับปรุงคุณภาพของการดำเนินงานต่อไป การตรวจสอบ และประเมินผล มีวัตถุประสงค์ เพื่อใหเกิดการบูรณาการ และเสริมสร้างความเขมแข็งของการกํากับดูแล และควบคุมตนเองที่ดี อันจะนําไปสูการบรรลุผลตามเจตนารมณ รวมทั้งเสริมสรางความ นาเชื่อถือและความมั่นใจแกสาธารณชนตอการดําเนินการตามนโยบาย การตรวจสอบนั้น จะต้องครอบคลุมถึงประสิทธิผล ความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ คุณภาพของการบริหารงาน ตลอดจนการยกระดับสมรรถนะ การเรียนรูและศักยภาพของการพัฒนาอยางยั่งยืน ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพราะการตรวจสอบนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลยุทธ์ที่ได้นำไปใช้
4) การทบทวน การปรับปรุงหรือการพัฒนา (Acting)
การปรับปรุงแก้ไขการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม เป็นกิจกรรมที่มีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ทำการตรวจสอบแล้ว การปรับปรุงอาจนำไปสู่การกำหนดมาตรฐานของวิธีการทำงานที่ต่างจากเดิม เมื่อมีการดำเนินงานตามวงจร PDCA ในรอบใหม่ ข้อมูลที่ได้จากการปรับปรุงจะช่วยให้การวางแผนมีความสมบูรณ์และมีคุณภาพเพิ่มขึ้นได้ด้วย ผลการตรวจสอบ หากพบว่า เกิดข้อบกพร่องขึ้น ทำให้งานที่ได้ไม่ตรงเป้าหมายหรือผลงานไม่ได้มาตรฐาน ให้ปฏิบัติการแก้ไขตามลักษณะปัญหาที่พบ ถ้าผลงานเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมาย ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ เพื่อให้ผลงานได้มาตรฐานอาจจะใช้มาตรการการย้ำนโยบาย การปรับปรุงระบบหรือวิธีการทำงาน
หลังจากประเมินผลการดําเนินงานแลว ควรนําผลการประเมินมาวิเคราะหหาจุดเดน จุดดอยในแตละมาตรฐาน และพิจารณาวาเกี่ยวของกับบุคลากรที่รับผิดชอบกลุมใด แล้วจัดการประชุมบุคลากร เพื่อแจง ผลการวิเคราะห รายงานการประเมินใหทราบ เพราะเมื่อผลการติดตามตรวจสอบและประเมินผลออกมาอย่างไร จะเป็นสิ่งที่ชี้ว่าจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือจะต้องพัฒนาอะไรต่อไปอีกหรือไม่ หากการประเมินผลออกมาในลักษณะที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ก็แปลว่า ประเด็นนั้น จะต้องถูกวางแผน เพื่อปรับปรุงพัฒนาในรอบปีต่อไป หรือมีกิจกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้มาตรฐานการปฏิบัติที่สูงขึ้นกว่าเดิม หรืออาจปรับเปลี่ยนแนวการปฏิบัติหรือตัวบุคคลก็ได้ และหากประเด็นใดที่ได้มาตรฐานสามารถปฏิบัติได้ตามแผนที่วางไว้ ก็ต้องเพิ่มความเข้มข้นของการปฏิบัติ เพื่อให้มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้นไป
กรอบแนวคิด P-D-C-A ของ W. Edwards, Deming เป็นการสร้างคุณภาพและประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติหน้าที่ ในการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเริ่มจากการวางแผนว่า จะต้องทำอะไรบ้าง ในแต่ละกิจกรรมรวมถึงแนวทางการปฏิบัติงานขององค์กร พนักงาน หรือประชาชนที่เกี่ยวข้อง หรือบางครั้งอาจจะเป็นการระดมความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาโดยระบุไว้ในการวางแผนนั้น ๆ การดำเนินงานเป็นการมอบหมายงาน แต่ต้องให้มีผู้รับผิดชอบหลักหรือเจ้าภาพหลักในการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อไม่ให้เกิดการแย่งงานหรือเกี่ยงงานกันทำ ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้น หากทุกภาคส่วน ได้มีการสร้างจิตสำนึกและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการจัดการสิ่งแวดล้อม ก็จะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- 4. CSR (Corporate Social Responsibility) หมายถึง ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร ซึ่งคือการดำเนินกิจการภายใต้หลักจริยธรรม และการจัดการที่ดี โดยรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับไกลและใกล้ อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสุดยอดของโลกว่าด้วยการพัฒนา และสิ่งแวดล้อม หรือ Earth Summit’92 เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2535 ณ กรุงริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล[2] ได้มีการรองรับแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda21) เพื่อให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ให้ความสำคัญถึงการมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่ มีรากฐานอยู่ในระดับท้องถิ่น รวมทั้งมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในฐานะที่เป็นหน่วยงาน ที่อยู่ใกล้ประชาชน เป็นกลไกในการบริหารจัดการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ตั้งแต่วันนั้น ถึงวันนี้ผ่านไป 23 ปี พบว่า พันธกิจด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้ถูกดำเนินการอย่างจริงจัง ประชาคมโลกจึงได้เรียกร้องใน “การประชุมสุดยอดของโลกว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2545 ณ นครโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งทุกประเทศกำหนดให้ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นวาระแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2546) ได้สรุปว่า การพัฒนาที่คำนึงถึงขีดจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่สนองต่อความต้องการในปัจจุบัน โดยไม่ส่งผลเสียต่อความต้องการในอนาคต คำนึงถึงความเป็นองค์รวม เนื่องจากการกระทำสิ่งใด จะส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ด้วย และยอมรับเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ และระลึกเสมอว่า คนและชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงต้องคำนึงถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และความต้องการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้น
ระดับของ CSR[3]
ระดับ 1 Mandatory Level: ข้อกำหนดตามกฎหมาย หมายถึง การที่ธุรกิจมีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค, กฎหมายเเรงงาน, การจ่ายภาษี เป็นต้น
ระดับ 2 Elementary Level: ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หมายถึง การที่ธุรกิจคำนึงถึงความสามารถในการอยู่รอด และให้ผลตอบเเทน แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งกำไรที่ได้นั้นต้องมิใช่กำไรซึ่งเกิดจากการเบียดเบียนสังคม
ระดับ 3 Preemptive Level: จรรยาบรรณทางธุรกิจ หมายถึง การที่ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรแก่
ผู้ถือหุ้นได้ ในอัตราที่เหมาะสม และผู้ประกอบธุรกิจได้ใส่ใจ เพื่อให้ประโยชน์ตอบแทนเเก่สังคมมากขึ้น โดยเฉพาะสังคมใกล้ที่อยู่รอบข้าง ที่มีความคาดหวังว่า จะได้รับการดูเเล หรือเอาใจใส่จากผู้ประกอบธุรกิจ
ระดับ 4 Voluntary Level: ความสมัครใจ หมายถึง การดำเนินธุรกิจควบคู่กับการปฏิบัติตาม เเนวทางของ CSR ด้วยความสมัครใจไม่ได้ถูกเรียกร้องจากสังคม ซึ่งการประกอบธุรกิจ อยู่บนพื้นฐานของการมุ่งประโยชน์ของสังคมเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ธุรกิจต้องดำเนินการตามเกณฑ์ในระดับ 1 เป็นอย่างน้อย ส่วนการดำเนินการในระดับต่อไป ให้ขึ้นกับความพร้อมของแต่ละองค์กร โดยหลักสำคัญของการปฏิบัติตามเเนวทาง CSR ควรอยู่บนหลัก พอประมาณ ที่ธุรกิจต้องไม่เบียดเบียนตนเอง และขณะเดียวกันก็ต้องไม่เบียดเบียนสังคม
ประเภทของ CSR
In process หมายถึง กิจกรรมเพื่อสังคม และสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสิ่งแวดล้อมขององค์กร เช่น การดูแลสวัสดิการพนักงาน, การผลิตที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม, ความรับผิดชอบต่อลูกค้า
After process หมายถึง กิจกรรมเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กรโดยตรง เช่น การปลูกป่า, การบริจาคทุนการศึกษา, การรณรงค์สร้างจิตสำนึก, การช่วยเหลือผู้ประสบภัย
As Process หมายถึง องค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยไม่มุ่งหวังผลกำไร เช่น มูลนิธิ หรือ สมาคมการกุศลต่างๆ
5. การมีส่วนร่วมเชิงพุทธบูรณาการ เป็นการบริหารจัดการที่ดี ต้องยึดหลักธรรมาภิบาล หลักภาคีเครือข่ายที่จะต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน วิถีชีวิตชุมชน ชุมชนที่ยึดหลักการเรียนรู้เรื่องสุขภาพ ในเขตพื้นที่ชุมชน หรือโรงงานอุตสาหกรรม และบทบาทของพระสงฆ์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่จะทำให้เกิดการประยุกต์หลักธรรมที่เกี่ยวกับการบูรณาการ หรือการทำ MOU ระหว่างโรงงาน ชุมชน องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ที่จะมีมติร่วมกันในการดูแลสิ่งแวดล้อม และรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน พุทธศาสนาเป็นองค์กรทางสังคม ที่ดำรงอยู่ในรูปแบบของความเป็นสถาบัน ซึ่งหยั่งรากลึกอย่างยาวนานในสังคมไทย มาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ มีความต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่มีขอบเขตฐานการสนับสนุนกว้างขวาง มีความเกี่ยวพันกับคนส่วนใหญ่ จึงทำให้เป็นสถาบันทางสังคมที่มีพลังสูง ในการควบคุมความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาอันเกิดจากปรัชญานุภาพ และพระธรรมวินัย ที่สามารถหล่อหลอมความรู้สึกและผูกขาดความนิยมเชื่อถือ ของพุทธศาสนิกชนให้เป็นเอกภาพ พระพุทธศาสนาสอนให้คนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะป่าไม้ เพราะป่าไม้เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์ที่คนไทยนับถือ พระสงฆ์มีบทบาทที่จะช่วยส่งเสริมให้คนเห็นคุณค่า เห็นความสำคัญของป่าไม้ และช่วยดูแลรักษาป่าไม้ ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ สามารถนำมาเป็นแนวทางอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าได้ ธรรมะช่วยสร้างการพัฒนาแบบยั่งยืน ช่วยชี้นำวิถีชีวิต รู้จักจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พัฒนาจิตวิญญาณ และส่งเสริมความสำนึกรับผิดชอบ ที่มีต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น เขาจะเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของสังคม เกิดการรวมกลุ่ม และเกิดความเมตตาต่อผู้อื่น
ประชาคมโลกเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางนิเวศวิทยาและทางสังคม ต้องการโลกที่มีความมั่นคง มีความยุติธรรม และเสมอภาคเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นความหวังของมนุษยชาติร่วมกัน แต่ในที่สุด การพัฒนาในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ละเลยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ฐานทรัพยากรที่รองรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจนั้น ขึ้นอยู่กับโครงสร้าง กระบวนการทำหน้าที่ และพลวัตของระบบนิเวศ[4] ซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ กับบริเวณสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ สร้างเป็นผลผลิตและบริการของระบบนิเวศ ตอบสนองความจำเป็นหรือความต้องการของมนุษย์ การใช้ฐานทรัพยากรอย่างขาดความรับผิดชอบเอาใจใส่ อาจจะลดผลผลิตและบริการ ที่จะได้รับในอนาคตก็เป็นได้ นั่นหมายความว่า ฐานทรัพยากรมีจำกัด และโลกมีขีดความสามารถในการรองรับที่จำกัด สังคมมนุษย์อาจมีความสามารถปรับกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจปกติ ให้พัฒนาไปเป็นระบบนิเวศเศรษฐกิจ สังคมมนุษย์จำเป็นต้องได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารและตระหนักว่า ความขาดแคลนของฐานทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม จะต้องเป็นประเด็นสำคัญของระบบเศรษฐกิจ เพราะระบบเศรษฐกิจ จะมีความยั่งยืนอยู่ได้ก็ต่อเมื่อระบบนิเวศ ซึ่งทำหน้าที่สนับสนุนการดำรงอยู่ของชีวิตยังคงมีความสามารถรักษาสถานะปกติเอาไว้ได้ ดังนั้น การกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม จะต้องเป็นไปในทิศทาง ที่จะดำรงความสามารถในการรักษาสถานปกติของระบบนิเวศไว้ แม้ว่า ขอบเขตจำกัดของธรรมชาติ และระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนก็ตาม เพราะว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมีความแปรผัน ไม่ใช่รูปแบบที่คงที่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับโครงสร้างองค์กรทางเศรษฐกิจ และนโยบายภาครัฐ ที่จะไม่ละเลยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ข้อตกลงทางภาษี และการค้าขององค์การการค้าโลก หรือข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างประเทศ เป็นต้น
ชีวิตและสังคมมนุษย์ จึงมีความซับซ้อนมากขึ้น ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน และถูกควบคุมโดยภาวการณ์เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ค่านิยม และวัฒนธรรม การอยู่รอดในสังคมเกิดจากการแข่งขัน และเอาชนะซึ่งกันและกัน เมื่อความอยู่รอดมีความสำคัญมากกว่าคุณธรรม และมนุษยธรรม จึงเกิดลัทธิล่าอาณานิคม เพื่อหาแหล่งทรัพยากร และแรงงานต่างๆ จนทำให้เกิดความขัดแย้ง เป็นเหตุทำให้มีการนำเอาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการทำสงคราม การใช้สารเคมีในสงคราม หรืออาวุธชีวภาพ และการนำเอาความรู้ด้านพลังงาน ซึ่งมีอานุภาพทำลายล้างมหาศาล ประเทศต่างๆกำลังประสบปัญหาที่เกิดขึ้นคล้ายๆกัน คือ เกิดผลกระทบจากความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยี มีผลทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เกิดปัญหาโลกร้อน ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ขาดแคลนน้ำจืดและพลังงาน ความเสื่อมโทรมของดิน และปัญหามลพิษ เป็นต้น การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) จึงมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมของคน สังคม และระบบเศรษฐกิจของประเทศ ให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนและสังคมไทย ให้มีคุณภาพ มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นธรรม รวมทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยฐานความรู้เทคโนโลยีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม[5]
การจัดการสิ่งแวดล้อม มีแนวความคิดหลักในการดำเนินงาน[6] ดังนี้คือ
- มุ่งหวังให้สิ่งแวดล้อมที่ประกอบกันอยู่ในระบบธรรมชาติ มีศักยภาพ ที่สามารถให้ผลิตผลได้อย่างยั่งยืน ถาวร และมั่นคง คือ มุ่งหวังให้เกิดความเพิ่มพูนภายในระบบ ที่จะนำมาใช้ได้ โดยไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้นๆ
- ต้องมีการจัดองค์ประกอบภายในระบบธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศให้มีชนิด ปริมาณ และสัดส่วนของสิ่งแวดล้อม แต่ละชนิดเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานตามธรรมชาติ เพื่อให้อยู่ในภาวะสมดุลของธรรมชาติ
- ต้องยึดหลักการของอนุรักษ์วิทยาเป็นพื้นฐาน โดยจะต้องมีการรักษา สงวน ปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ ในทุกสภาพ ทั้งในสภาพที่ดีตามธรรมชาติ ในสภาพที่กำลังมีการใช้ และในสภาพที่ทรุดโทรมร่อยหรอ
- กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการควบคุม และกำจัดของเสีย มิให้เกิดขึ้นภายในระบบธรรมชาติ รวมไปถึงการนำของเสียนั้นๆ กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
- ต้องกำหนดแนวทางในการจัดการ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น โดยพิจารณาถึงความเหมาะสม ในแต่ละสถานที่และแต่ละสถานการณ์
จากแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากสิ่งแวดล้อมมีหลายชนิด และแต่ละชนิด ก็มีคุณสมบัติ และเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว ดังนั้น เพื่อให้การจัดการสามารถบรรลุเป้าหมายของแนวคิด จึงควรกำหนดหลักการจัดการ หรือแนวทางการจัดการให้สอดคล้องกับชนิด คุณสมบัติ และเอกลักษณ์เฉพาะอย่างของสิ่งแวดล้อมนั้นๆ
6. หลักสัปปายะ 7 และหลักจักร 4 สำหรับการจัดการวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมยุคใหม่
พระสงฆ์มีบทบาทอย่างสำคัญ ในฐานะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในทุกๆ ด้าน เรียกได้ว่า เป็นองค์กรหนึ่งของสังคม ในการช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังดำเนินไปอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็ควรจะได้ทำความเข้าใจเรื่องความหมาย ขอบข่าย และสาเหตุของการทำลายสิ่งแวดล้อมเสียก่อน จึงแสวงหาจุดที่เหมาะสมการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กล่าวมานี้ ล้วนมีผลกระทบแก่การดำรงอยู่ของมนุษย์ในทุกๆด้าน มนุษย์ต้องการผืนดินในการผลิตอาหารธรรมชาติ แต่ขณะนี้ดินก็หมดประสิทธิภาพในการผลิต ทุกวันนี้ต้องสร้างปุ๋ยเคมี เพิ่มความอุดมให้แก่ดิน ซึ่งผิดธรรมชาติที่เคยเป็นมา ยิ่งเพิ่มปุ๋ยเคมีลงไปมากเท่าไรก็เป็นการทำลายดินมากเท่านั้น คงต้องใช้เวลานานต่อการย่อยสลายผลิตภัณฑ์สังเคราะห์ต่าง ๆ ที่ทับถมอยู่บนแผ่นดิน ในช่วงเวลาดังกล่าว ดินก็เสื่อมคุณภาพลงไปเรื่อย ๆ กว่าความอุดมสมบูรณ์จะกลับคืนมา ก็คงจะใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว ชีวิตมนุษย์ต้องการน้ำ เพื่อการดำรงชีวิตประจำวัน มนุษย์ต้องใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคประจำวัน เช่น อาบ ดื่ม ทำความสะอาดร่างกาย และสิ่งต่าง ๆ ใช้ในการผลิตผลทางการเกษตรในไร่นา ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ในทางคมนาคม ยานพาหนะบรรทุกคน บรรทุกสิ่งของไปมา ติดต่อกันโดยไม่ต้องลงทุนอะไร ใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่เมื่อเกิดมลพิษทางน้ำ ประโยชน์การใช้งานเหล่านี้ย่อมลดลงและหมดไปในที่สุด แต่ความต้องการใช้ประโยชน์จากน้ำ มิได้หมดไปด้วย เมื่อความต้องการมีมาก ปัจจัยตอบสนองความต้องการมีน้อย ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทะเลาะกันอย่างรุนแรงได้ ในยุคพุทธกาลศากยะตระกูล กับโกลิยะตระกูลอันเป็นตระกูลฝ่ายพุทธมารดาและพุทธบิดา ก็ทะเลาะกันเรื่องน้ำ พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปทรงห้าม น้ำจึงมีความสำคัญต่อชีวิตมาแก่โบราณกาล การขัดแย้งกันมีมานาน หากใช้ทรัพยากรน้ำไม่เป็น ในอนาคตจะมีการช่วงชิงจนเกิดความแตกแยกในสังคมขึ้นมาอีก
ในอดีตวิถีไทย คือวิถีแห่งธรรม เพราะธรรม คือแนวทางที่สอนให้มนุษย์สร้างดุลยภาพแห่งชีวิตระหว่างตน ชุมชน และธรรมชาติรอบตัว ว่า ควรจะดำเนินชีวิตให้สอดคล้องสมดุลอย่างไร ตามความเชื่อ ตามวิถีทางพระพุทธศาสนาของตนอย่างไร แต่ ณ ปัจจุบันนี้ ธรรมนั้น ได้ผันแปร เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เมื่อมนุษย์หันหลังที่จะเข้าใจธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ อันเป็นแม่บทแห่งธรรมมากขึ้น แล้วมุ่งหน้าตักตวงทำลายธรรมชาติ เมื่อมากเข้านานเข้า ก็ยากที่ธรรมชาติ จะมีเพียงพอกับความโลภ อันไร้ขีดจำกัดของมนุษย์ และยิ่งเมื่อวิถีชีวิตมนุษย์เดินทางห่างไปจากธรรมชาติ นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำลายสิ่งแวดล้อม ทำลายดุลยภาพวิถีชีวิต ที่กลมกลืนกับธรรมชาติ เพราะธรรมคือกรอบคิดหลักที่วางกระบวนการดำเนินชีวิต วางความหมาย แห่งคุณค่าให้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ อันสงบและเรียบง่าย เนื่องจากปัจจุบันป่าต้นน้ำ ถูกทำลาย ถูกบุกรุกแผ้วถางมากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนมาจากผลกระทบของการพัฒนาอย่างไม่ยั่งยืน อันขัดกับหลักปฏิบัติตามวิถีพุทธที่อยู่อย่างพอเพียงและเคารพธรรมชาติ
โดยหลักธรรมชาติทั่วไป ถือว่าสิ่งแวดล้อมต่างๆ มีอิทธิพลอย่างมากต่อความเป็นอยู่ของบุคคล ต่อความเสื่อม ความเจริญของบุคคล ถ้าบุคคลอาศัยอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี ก็จะก่อให้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก ในทางการประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน สิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม เรียกว่า สัปปายะ สิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการประพฤติปฏิบัติทางจิต เรียกว่า อสัปปายะ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค[7]ได้กล่าวถึง สิ่งแวดล้อมที่เป็น สัปปายะ และ อสัปปายะ สำหรับผู้ประพฤติวัตรและปฏิบัติกรรมฐาน ดังนี้
อาวาโส โคจโร ภสฺสํ ปุคฺคโล โภชนํ อุตุ
อิริยาปโถติ สตฺเต เต อสปฺปาเย วิวชฺชเย
สปฺปาเย สตฺต เสเวถ เอวณฺหิ ปฏิปชฺชโต
น จิเรเนว กาเลน โหติ กสฺสจิ อปฺปนา.
สัปปายะ 7 คือ สิ่งที่เหมาะกัน สิ่งที่เกื้อกูล[8] ช่วยสนับสนุนในการบำเพ็ญภาวนาให้ได้ผลดี ช่วยให้สมาธิตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย (suitable things; things favorable to mental development) สถานที่หรือบุคคลซึ่งเป็นที่สบายเหมาะสม เกื้อกูลแก่การบำเพ็ญสมาธิ ช่วยให้สติตั้งมั่น ไม่เสื่อมถอย เป็นการปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับวิถีธรรมชาติ มี 7 ประการ คือ
- อาวาสสัปปายะ (suitable abode) ได้แก่ ที่อยู่อาศัย หรือ วัด ราวป่า โคนต้นไม้ สำนักปฏิบัติธรรม กุฏิสงฆ์ อาราม เรือนว่าง อันเป็นที่สบาย สงบ ปราศจากผู้คนสัญจรไปมา ไม่ใกล้หนองน้ำ บ่อน้ำ หรือแหล่งชุมชนจนเกินไป อันอาจจะเกิดความรำคาญจากการไปมาของผู้คน มีรั้วรอบขอบชิด ปลอดภัยต่อความเป็นอยู่ สถานที่นั่นมีที่เหมาะสำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความเหมาะสม
- โคจรสัปปายะ (suitable resort) คือ สถานที่แห่งนั้นต้องมีทางโคจร หรือ ทางเดิน ถนนหนทางไปมาได้สะดวก ไม่ใกล้นัก ไม่ไกลนัก เหมาะแก่การเดินทาง อีกทั้งภายในสถานที่ก็ควรมีที่ที่เหมาะสมในการดำเนินกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน
- ภัสสสัปปายะ (suitable speech) ได้แก่ การสนทนา พูดคุย การฟัง คือ การสนทนา พูดคุยกันแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกิจกรรม เสวนากันแต่ในเรื่องมีสาระ หรือเรื่องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของชุมชน เข้าหาผู้รู้ ทรงภูมิปัญญา หรือปราชญ์ชาวบ้าน ได้ฟังสิ่งที่จะทำให้จิตใจเกิดสัทธา วิริยะ อุสาหะ ในการที่จะทำความสิ่งที่ดีมีประโยชน์ร่วมกัน
- ปุคคลสัปปายะ (suitable person) คือ บุคคลที่อยู่ร่วมกัน บุคคลที่ติดต่อคบหา บุคคลที่ทรงคุณธรรม ทรงภูมิปัญญา สามารถเป็นที่ปรึกษาแก้ข้อขัดข้องต่างๆ ในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม มีศรัทธาในตัวผู้นำ มีความสามัคคีเป็นเอกีภาพ พึงเว้นการคบหาสมาคมกับบุคคลที่มีจิตฟุ้งซ่าน บุคคลที่มากไปด้วยกามารมณ์ในทางโลกียะ หรือบุคคลผู้ที่มีอิทธิพล มุ่งทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- โภชนสัปปายะ (suitable food) ได้แก่ อาหารที่บริโภค ควรเป็นอาหารที่สบายต่อความเป็นอยู่ในอัตภาพแห่งตน เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วไม่ทำให้เกิดทุกขเวทนา เช่น ท้องอืด ท้องร่วง ท้องเดิน เป็นอาหารที่จะเป็นคุณประโยชน์แก่ร่างกายโดยประมาณ โดยไม่ต้องคำนึงถึงรสของอาหาร แม้รสจะดีแต่เมื่อทำให้ร่างกายเกิดทุกขเวทนาก็ควรงดเสีย เมื่อชุมชนมีวิถีชีวิตแบบพุทธ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว การแสวงหาอาหารก็เกี่ยวโยงกับธรรมชาติ เช่น เห็ด หน่อไม้ ที่เกิดขึ้นในป่า ซึ่งต่างจากสังคมเมืองในปัจจุบันที่จับจ่ายในทุกๆ เรื่อง
- อุตุสัปปายะ (suitable climate) ได้แก่ ดินฟ้าอากาศธรรมชาติแวดล้อมที่เหมาะกัน ฤดูกาลอันเป็นที่สบาย หมายถึง อากาศตามฤดูกาล ความร้อน ความเย็น ของอากาศ ซึ่งบางสถานบางฤดูอาจจะร้อนจัดเกินไป บางฤดูก็หนาวจัดเกินไป หรือกลางวันร้อนจัดกลางคืนหนาวจัด ซึ่งสภาพอากาศเช่นนี้ จะทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยแก่ร่างกาย จึงต้องเลือกให้เหมาะสมแก่สภาพร่างกายของตน แม้หากว่า มนุษย์ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ธรรมชาตินั่นเอง ก็จะให้โทษกลับคืนสู่มนุษย์เช่นกัน
- อิริยาปถสัปปายะ (suitable posture) ได้แก่ อิริยาบถอันเป็นที่สบาย หมายถึงอิริยาบถทั้ง ๔ หรือ การเคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถใด ที่ทำให้จิตไม่สงบระงับ ก็แสดงว่า อิริยาบถนั้น ไม่สบาย ไม่เหมาะสม จึงควรเว้นเสียจากการใช้อิริยาบถนั้น เมื่อมีการประเมินผลตามแผนงานที่ได้ลงมือปฏิบัติแล้ว หากมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข ก็ควรปรับเปลี่ยนรูปแบบ ตัวบุคคล หรือสถานที่ เช่น การศึกษาดูงานนอกสถานที่ด้านสิ่งแวดล้อมที่ปฏิบัติได้จริง เป็นรูปธรรม และลงมือปฏิบัติในภาคสนามจริง จะได้ปลูกจิตสำนึก ให้คนในองค์กร หรือเยาวชน ตระหนักรู้คุณค่าของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
จักร 4[9] คือ ธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุจล้อนำรถไปสู่ที่หมาย (virtues wheeling one to prosperity) มี 4 ประการ ดังนี้
- ปฏิรูปเทสวาสะ คือ การอยู่ในถิ่นที่ดี มีสิ่งแวดล้อมเหมาะสม (living in a suitable region; good or favourable environment) กล่าวคือ การอยู่ในท้องถิ่นที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ต้องกระทำ เช่น การศึกษา การประกอบอาชีพ การปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญสมณธรรม การมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นต้น ผู้ต้องการศึกษาวิชาการสาขาใด ควรอยู่ในท้องถิ่นที่มีความพร้อมทุกๆ ด้าน เช่น ครู อาจารย์ ตำราเรียน การคมนาคมสะดวก และสิ่งอื่นๆ ที่จะอำนวยให้การเรียนมีประสิทธิภาพ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ไปในที่อันเหมาะสม คือ ป่า โคนไม้ กระท่อมร้าง เป็นต้น
สรุปได้ว่า ปฏิรูปเทสวาสะ คือ การอยู่ในถิ่นฐานอันสมควร หรือมีสิ่งแวดล้อมดีนั้น จะต้องมีสัตบุรุษ คือ คนดี ประพฤติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีโอกาสได้ศึกษาปฏิบัติธรรมได้มาก มีทางศึกษาศิลปวิทยาได้ตามความปรารถนา มีทางประกอบสัมมาอาชีพได้ตามความปรารถนา มีสาธารณูปโภคเพียงพอแก่ความต้องการประชาชน และมีมาตรการป้องกันสาธารณภัยที่ดี เมื่อมีสภาพแวดล้อมที่ดีในทุกๆด้าน ก็จะก่อให้เกิดความรัก หวงแหน ปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย
- สัปปุริสูสังเสวะ คือ การเข้าไปคบหาคนดี หรือการสมาคมกับสัตบุรุษ (association with good people) เพราะผู้ที่เป็นสัตบุรุษ ย่อมมีสัปปุริสธรรม 7 ประการประจำตน ได้แก่ เป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน รู้บุคคล
สรุปได้ว่า สัปปุริสูสังเสวะ คือ การเข้าไปสนทนาไต่ถาม มอบตัวเป็นศิษย์ รับโอวาทของสัตบุรุษ เมื่ออยู่ในท้องถิ่นที่มีสัตบุรุษ คือ คนดีตามจักรข้อ 1 แล้ว ก็เข้าไปคบหาสมาคมกับสัตบุรุษนั้น เป็นจักรข้อที่ 2 สัตบุรุษย่อมแนะนำสิ่งที่ควรแนะนำ ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ให้รู้จักเว้นชั่วประพฤติดี ละสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ กระทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว เพราะเหตุว่า ธรรมดาสัตบุรุษนั้น ท่านมีความสงบเสงี่ยมเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมทุกแง่ทุกมุม มีปกติทำดี พูดดี คิดดี และชักนำผู้อื่นให้ทำพูดคิดดีด้วย ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันงาม ย่อมกึกก้องหอมฟุ้งปรากฏไปในที่ไกลและทั่วทุกทิศ สมด้วยพระพุทธภาษิต ว่า สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ สัตบุรุษ ย่อมขจรไปทุกทิศ, สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ กลิ่นของสัตบุรุษ ย่อมไปได้ทวนลม และว่า ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ สัตบุรุษ ย่อมปรากฏได้ในที่ไกล ดังนี้เป็นต้น อนึ่ง สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่แนะนำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือในเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตน แต่ทว่า ท่านจะแนะนำให้เห็นคุณค่าของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม
- 3. อัตตสัมมาปณิธิ คือ การตั้งตนไว้ชอบ, ตั้งจิตคิดมุ่งหมาย นำตนไปถูกทาง (setting oneself in the right course; aspiring and directing oneself in the right way) การตั้งตนไว้ชอบนั้น คือ การตั้งอยู่ในสุจริต 3 คือ (1) กายสุจริต ได้แก่ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม, (2) วจีสุจริต ได้แก่ การไม่พูดเท็จ การไม่พูดส่อเสียด การไม่พูดคำหยาบ การไม่พูดเพ้อเจ้อ และ (3) มโนสุจริต ได้แก่ การไม่อยากได้ของผู้อื่น การไม่คิดพยาบาทผู้อื่น การเห็นชอบตามคลองธรรม
สรุปได้ว่า อัตตสัมมาปณิธิ คือ การตั้งตนไว้ชอบ อันหมายถึง ตั้งกายและจิตให้ถูกต้องตามคลองธรรม เช่น ตั้งตนไว้ในศีล ในศรัทธา ในจาคะ ในสุจริต ในกุศลกรรมบถ ในความเพียร ในความซื่อตรงต่อเวลา หน้าที่บุคคล ในความเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง และเมื่อกล่าวโดยรวมยอดก็คือ วางตนให้เหมาะสมแก่ฐานะ ภาวะ เพศ ภูมิ ไม่ให้เกินหรือต่ำกว่านี้ไปนั่นเอง หรือเรียกว่า ตั้งตนให้ถูกวิถี ไม่มีอคติ ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน ตระหนักเสมอว่า ธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
- ปุพเพกตปุญญตา คือ ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ก่อนแล้ว, มีพื้นเดิมดี, ได้สร้างสมคุณความดีเตรียมพร้อมไว้แต่ต้น (having formerly done meritorious deeds; to have prepared oneself with good background) เป็นผู้ที่เคยได้ทำบุญไว้ในอดีต บุญนั้น กล่าวโดยเหตุ ได้แก่ กุศลกรรมหรือความดี กล่าวโดยผล ได้แก่ ความสุข
สรุปได้ว่า ปุพเพกตปุญญตา คือ ความเป็นผู้มีบุญได้ทำไว้แล้วในปางก่อน ความเป็นคนที่เคยได้สร้างคุณงามความดี เช่น ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้นไว้ ในวันก่อน เดือนก่อน ปีก่อน หรือชาติก่อน เช่นเดียวกัน หากวันนี้ พวกเราหวงแหน ปกป้อง และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก็จะส่งผลที่ดี แก่ลูกหลานในอนาคตด้วย
การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมทั้ง 2 หัวข้อธรรม ดังกล่าวมานี้ ก็สอดคล้องกับวิถีชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว และสอดคล้องกับหลักของการดูแลสุขภาพ ตามวิถีธรรมชาติ และตรงกับวิถีชีวิตของมนุษย์ จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าและพระสาวกล้วนใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ไม่ทำลายระบบนิเวศวิทยา ทั้งยังบัญญัติพระวินัยให้เกื้อกูลต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหลักสัปปายะ 7 ที่เป็นสิ่งเกื้อกูล ปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับวิถีธรรมชาติ และหลักจักร 4 คือ ธรรมนำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ดุจล้อนำรถไปสู่ที่หมาย
แม้ประชาชนเองต่างก็มองเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงกับเชื่อว่าแผ่นดินและต้นไม้มีชีวิต มีเทวดาสิงสถิตย์อยู่ ใครทำลายจะต้องถูกครหาหรือถูกลงโทษ ปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างย่อยยับ จนเกิดวิกฤตการณ์สภาวะแวดล้อมเป็นพิษทั่วโลก ทำให้กลุ่มนักอนุรักษ์ธรรมชาติต้องออกมารณรงค์ และต้องช่วยกันทุกภาคส่วน มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์ เกื้อกูลกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงควรเชื่อมโยงหลักการบริหารจัดการวิถีพุทธ เพื่อให้สิ่งแวดล้อมเกิดดุลยภาพต่อสังคม และมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคม
7. สรุป ซีเอสอาร์วิถีพุทธ : เพื่อการจัดการวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมยุคใหม่
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันนี้ เช่น ปัญหาการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ปัญหาการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ก็เกิดจากฝีมือของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัว หวังเพื่อประโยชน์ส่วนตนทั้งสิ้น โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของบุคคลอื่น เห็นความเดือดร้อนของบุคคลอื่นเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าเราแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ ปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน จึงไม่ควรเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน มีวินัย มีจิตสำนึกที่ดี หวังได้โดยมั่นใจว่า ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ะเลือนหายไปในที่สุด เพราะเหตุว่า กระแสความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และอิทธิพลของ โลกาภิวัตน์ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนและบุคคลในสังคม ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และค่านิยม จึงควรที่ทุกฝ่าย ทั้งอาณาจักรและศาสนจักร ต้องประสานร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาในระบบสังคม ค่านิยม อุดมการณ์ รวมทั้งคุณธรรม จริยธรรม และร่วมกันปลูกจิตสำนึกของบุคคล ในสังคม ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมมากยิ่งขึ้น
การจัดการวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมวิถีพุทธนั้น เป็นการสร้างจิตสำนึกให้คนมีคุณธรรม จริยธรรมให้เห็นถึงดุลยภาพของสิ่งแวดล้อมกับการดำเนินชีวิต โดยมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม และนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้อย่างสอดคล้อง เป็นเหตุ เป็นผล เชื่อมโยงอาศัยซึ่งกันและกัน ปัญหาทุกปัญหาที่สังคมโลกกำลังเผชิญอยู่นั้น สาเหตุที่แท้จริงของทุกปัญหามาจากเหตุเพียงประการเดียว คือ ความด้อยคุณภาพของประชากร ทั้งระดับครอบครัว ระดับสังคม ระดับชาติ จำนวนประชากรที่มีคุณภาพต่ำเป็นจำนวนมากในสังคมเหล่านั้น ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะสร้างคุณภาพที่สูงขึ้นไปแก่ประชาชนในสังคมไทย
การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์เข้ากับการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ควบคู่กับการสร้างคุณภาพชีวิตเยาวชน ผู้เป็นประชากรใหม่ของสังคมในยุคต่อๆ ไป โดยสถาบันครอบครัว มีอิทธิพลต่อเยาวชนเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถาบันแรกที่ให้การอบรมทางด้านจิตใจ ให้ความรัก ความอบอุ่น เอาใจใส่ดูแล ทะนุถนอม ปกครองดูแลอย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถทำให้เยาวชนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ และคุณธรรมได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาให้กับสังคม ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข เพราะเยาวชนในวันนี้ก็คือ ผู้นำและผู้พัฒนาสังคมประเทศชาติในวันข้างหน้า
ปัจจุบันผู้คนในประเทศต่างๆ ตระหนักรู้ถึงวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อม เช่น ป่าไม้ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว อันเป็นการทำลายพันธุ์พืชและสัตว์ป่านานาชนิด ทำให้ธรรมชาติขาดความอุดมและเสียสมดุล ทำให้เกิดความแห้งแล้ง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ การปล่อยแก๊สพิษ และวัตถุมีพิษต่างๆ ออกสู่อากาศ น้ำ ดิน ทำให้มีฝนเป็นกรด ทำให้อาหารเป็นพิษ ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นที่เรียกว่า สภาวะเรือนกระจก (green house effect) ทำให้โอโซนในชั้นบรรยากาศแหว่งไป ซึ่งทำให้แสงอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ตกต้องผิวโลก และมนุษย์มากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบกายภาพและชีวภาพของโลก รวมทั้งการที่มนุษย์จะเป็นมะเร็งเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย
ในการประชุมสุดยอดครั้งแรกที่เรโอดิจาเนโร (RIO Summit) ในปี พ.ศ.2535 ได้ยอมรับกระแสสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่จะต้องร่วมกันรับผิดชอบ และบริหารจัดการที่ใส่ใจผลกำไรสิ่งแวดล้อมและสังคม ไปพร้อมๆ กัน องค์กรธุรกิจ ต้องหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสังคมมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การทำความรับผิดชอบต่อสังคม (เอสอาร์ SR) ต้องตระหนักถึงหลักการ กล่าวคือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจ การยอมรับการถูกตรวจสอบ รับผิดชอบในการดำเนินการตามผลการตรวจสอบ มีความโปร่งใสในการตัดสินใจและกิจกรรมที่ดำเนินการ มีคุณธรรม จริยธรรม คำนึงถึงความสนใจของผู้มีส่วนได้เสีย การปฏิบัติตามกฎหมาย ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน เมื่อธุรกิจมีเสรีภาพมากเท่าไหร่ องค์กรภาคธุรกิจยิ่งจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมเท่านั้น เพราะเสรีคู่กับความรู้สึกรับผิดชอบที่เป็นดุลยภาพ
วิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมเกิดจากมนุษย์ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีการนำเอาวิทยาการด้านเทคโนโลยีมาใช้กับกระบวนการผลิต เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ โดยขาดดุลยภาพ และความรับผิดชอบต่อสังคม และมีพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่ทำลายสิ่งแวดล้อม ขณะนี้ มีการพูดถึงการพัฒนาสิ่งแวดล้อมกันมาก อันหมายถึงว่า ในการพัฒนาต่างๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงการอนุรักษ์และความงอกงามของสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย คงจะต้องมีการกระทำหลายอย่างที่จะแก้ปัญหาวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อม อย่างหนึ่งก็คือ การสร้างจิตสำนึกในเรื่องสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นอย่างทั่วถึง ทั้งโดยทางสื่อสารมวลชน โดยระบบการศึกษาทุกระดับ และโดยสถาบันทางศาสนา สมควรที่พุทธศาสนิกชน จะได้นำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ ให้เกิดการบูรณาการ รอดพ้นจากวิกฤติการณ์สิ่งแวดล้อมแบบเดิมๆ ที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ทว่า การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในยุคใหม่ ไม่ได้มุ่งหวังกำไรจนเกินตัว ดำเนินธุรกิจไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า การผลิตการบริโภคไม่ใช่จุดมุ่งหมายหลัก แต่เป็นหนทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

เจ้าของบริษัทขายกิจการ แจกโบนัสพนักงานคนละ 443,000 ดอลลาร์
ปิดตำนานรถ EV ราคาถูก ทิ้งลูกค้า, ดีลเลอร์ หอบเงินจากภาครัฐฯ กลับจีนหน้าตาเฉย
รู้มั๊ยว่าใครใหญ่! เข้าห้องน้ำชายวัดใจ..เดี๋ยวก็ได้รู้เอง
“ฆๅตกรเด็กวัด ลากศwใส่กระเป๋าเผากลางดึก ลบชีวิตปลิดชีพกะlทย
เขาพระวิหารในวันที่เหลือแต่ซาก หลังถูก BM-21 ถล่มย่อยยับ โซเชียลไทยตั้งคำถาม “ถ้ารักจริง ทำไมใช้เป็นฐานรบ”
10 พรรณไม้สวยพิษร้าย: ความงดงามที่ต้องแลกด้วยอันตรายถึงชีวิต
เขมรขอถก JBC ด่วน ยันไม่รับเส้นเขตแดน จากการใช้กำลังของไทย
กระแสหูฟังแบบมีสายกำลังกลับมาอีกครั้ง
"โรเซ่ BLACKPINK" คว้าอันดับสาวหน้าสวยที่สุดในโลก ปี 2025..ส่วนสาวไทยก็ไม่น้อยหน้า คว้าอันดับ 3 มาครอง
นายกเขมรยัน "การหยุดยิงไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้"
เดือดปลายปี! จีนเปิดฉากซ้อมรบกระสุนจริง โอบล้อมไต้หวัน
เด็กชายวัย 5 ขวบเสียชีวิต หลังจากแขนติดอยู่ในทางเลื่อน
เขมรขอถก JBC ด่วน ยันไม่รับเส้นเขตแดน จากการใช้กำลังของไทย
ดับ 16 ราย หลังเกิดเหตุไฟไหม้บ้านพักคนชรา
ที่เมือง Portofino ของอิตาลี หากใครจะติดเครื่องปรับอากาศ ต้องขออณุญาตจากเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นอาจถูกปรับสูงถึง 1.9 ล้านบาท
เหตุน้ำท่วมใหญ่ในเมืองหาดใหญ่ เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง?
New Year Journey
รู้มั๊ยว่าใครใหญ่! เข้าห้องน้ำชายวัดใจ..เดี๋ยวก็ได้รู้เอง
ทึ่งทั่วโลก : "เดโกโทระ" รถสิบล้อแต่งศิลป์ งานศิลปะสไตล์ญี่ปุ่น อลังการงานสร้างเหมือนกันนะเนี่ย
พืชพรรณไม้น่าสนใจ : จินโจโรยักษ์ "ซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิต" หนึ่งในพืชที่ดูแปลกตาและน่าทึ่งที่สุดในโลก
ทึ่งทั่วไทย : "วัดช้างรอบ" วัดเก่าแก่มีความสำคัญแห่ง จ.กําแพงเพชร
เรื่องของผู้ชายที่ควรรู้เกี่ยวกับการช่วยตัวเองบ่อยๆ ว่าจะทำให้ระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงหรือไม่