เวียดนาม 2 : เริ่มด้วยเฝอ

แล้วก็หาทางเดินมา ทะเลสาบคืนดาบ Hoan Kiem จนได้ ที่นี่เป็นทะเลสาบกลางกรุงฮานอย มีตำนานว่า ครั้งหนึ่งแม่ทัพผู้กล้าหาญของเวียดนามพ่ายแพ้แก่ศัตรูในยุทธภูมิสำคัญ จึงหนีกลับมายังริมทะเลสาบ ด้วยความหมดหวังจึงโยนดาบคู่ศึกลงกลางทะเลสาบนั้น แต่ปรากฏว่าได้มีเทพเจ้าแปลงตัวมาเป็นเต่า คาบดาบเล่มนั้นขึ้นสู่ผิวน้ำ และนำดาบคืนให้แก่แม่ทัพอย่างเดิม เมื่อแม่ทัพได้ดาบคืนมาแล้ว ก็เกิดความฮึกเหิมมั่นใจในชัยชนะ และออกทำศึกด้วยความมีชัยสามารถปราบศัตรูให้พ้นจากแผ่นดินไปได้
ทะเลสาบแห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญของผู้คนในย่านนี้ มีทั้งมานั่งเล่น พูดคุย พบปะสังสรรค์ และออกกำลังกาย สวนสาธารณะที่ล้อมรอบทะเลสาบร่มรื่นด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับการจัดแต่งพื้นที่ให้รองรับกิจกรรมการพักผ่อนต่างๆ ด้วยม้านั่งใหญ่เล็ก สลับกับลานโล่งและสวนไม้ประดับขนาดต่างกันไป ผู้คนสลับผลัดเปลี่ยนกันมาใช้พื้นที่อยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมมานั่งเล่นหรือนั่งอ่านหนังสือกันที่นี่ และคนท้องถิ่นเอง ทั้งหมดล้วนช่วยสร้างบรรยากาศให้รอบทะเลสาบแห่งนี้น่ามาใช้ประโยชน์มาก อิจฉาคนที่นี่จัง มีพื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ล้อมผืนน้ำอยู่กลางเมือง
เดินวนไปมาสักพัก เริ่มรู้สึกหิว จึงออกจากทะเลสาบคืนดาบมาหยุดที่ร้านเฝอ (ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม) เล็กๆร้านหนึ่งหน้าโบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph’s Cathedral) หน้าตาของเฝอ ที่นี่ไม่ต่างไปจากก๋วยเตี๋ยวบ้านเรามากนัก ผิดกันก็ตรงที่เส้นก๋วยเตี๋ยวของเค้าคล้ายเส้นขนมจีนของเรา มีผักเป็นเครื่องเคียงมาให้ด้วยหนึ่งกระจาดใหญ่ เครื่องปรุงมีเยอะมาก ทั้งพริก น้ำส้ม น้ำปลา แล้วก็น้ำอะไรก็ไม่รู้อีกหลายอย่าง งงๆดีเหมือนกัน ไม่นาน มีนักท่องเที่ยวฝรั่งหนุ่มน้อยคนหนึ่งทำท่าด้อมๆมองๆ อยู่หน้าร้าน ท้ายสุดก็เข้ามานั่งโต๊ะข้างๆ แล้วสั่งอาหารโดยชี้มาที่ฉัน เดาเอาว่าน่าจะบอกไปว่าเอาเหมือนกัน เห็นนั่งจ้องเฝอที่ทางร้านยกมาให้อยู่นาน แล้วก็หันมาถามฉันว่า “ขอโทษครับ กินอย่างไร?”... จึงได้เพื่อนใหม่นั่งกินเฝอมื้อแรกในเวียดนามอย่างเอร็ดอร่อย เค้าบอกว่า เดาเอาว่าฉันน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับเค้า และกำลังหิวมาก จึงลองเสี่ยงกินตาม ฉันกลายเป็นเครื่องหมายทางการค้าของร้านนี้ไปซะแล้วหรือนี่? เห็นทำหน้าแปลกๆ หลังจากถามไปว่า แล้วตกลงอร่อยมั๊ย?... เราเดินออกจากร้านไปด้วยกัน แล้วก็แยกกันที่ถนนใหญ่ เนี่ยแหละเดินทางคนเดียว “เพื่อน” จึงต้องไปหาเอาข้างหน้า
รีบเดินกลับโรงแรมก่อนฟ้ามืด ตามกฎข้อแรกที่ตั้งไว้ให้ตัวเองในการเดินทางตามลำพังทุกครั้ง ก่อนขึ้นห้อง แวะคุยกับเจ้าของโรงแรมครู่ใหญ่ เธออัธยาศัยดีมาก พูดไปยิ้มไปตลอดเวลา พอรู้ว่าเป็นคนไทย เธอก็พยายามพูดคำว่า “สวัสดี” ให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นปฏิกิริยาที่เจอตลอดเมื่อมิตรใหม่ต่างชาติตรงหน้าพยายามยื่นไมตรีให้ ฉันจึงตอบกลับด้วยภาษาของเธอว่า “ซิน จ่าว” ซึ่งมีความหมายเดียวกัน
กลับถึงห้อง พักผ่อนและแอบวางแผนคร่าวๆถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะทำอะไรบ้าง พลิกข้อมูลหลายหน้าอยู่พักหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่า ทริปนี้มีเวลาพอสมควรให้ดำเนินไปอย่างไม่รีบเร่งมากนัก ไม่อยากกะเกณฑ์จนเกินไป ค่อยๆปล่อยไปตามสถานการณ์ เวลา และความรู้สึก ณ เวลานั้นดีกว่า จึงปิดหนังสือพร้อมจบความกังวลถึงวันพรุ่งนี้และดูทีวี ก่อนหลับไป
วันที่สอง เป็นการทำความรู้จักกับเมืองฮานอยเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน เริ่มจากการกลับไปเป็นเครื่องหมายการค้าที่ร้านเฝอร้านเดิมก่อนเพื่อเติมพลังงาน ยังไม่อยากทำใจตั้งรับอะไรใหม่ๆในเช้าตรู่ฝนพร่ำๆลมเอื่อยเย็นๆสบายๆอย่างนี้...
เอาละ! เริ่มที่โบสถ์โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph’s Cathedral) ฝั่งตรงข้ามนี่แหละ ด้วยความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป ทำให้โบสถ์คาทอลิคแห่งนี้ถูกบรรจุอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองฮานอย เมื่อจักรวรรดิฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนามและได้จัดการเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ให้ทันสมัย ทำให้ความเชื่อและสิ่งก่อสร้างอันเป็นเอกลักษณ์ได้ถูกทำลายทิ้งไปพอสมควร รวมถึงที่นี่ซึ่งเดิมเคยเป็นเจดีย์ด้วย ทำให้ที่นี่เป็นโบสถ์เก่าที่สุดในฮานอย เช้าตรู่อย่างนี้โบสถ์ยังไม่เปิด จึงนั่งเล่นบนบันไดหน้าโบสถ์ก่อนที่จะหาข้อมูลว่าจะทำความรู้จักกับฮานอยต่อได้อย่างไร
จากข้อมูลและแผนที่ที่มีอยู่บอกให้รู้ว่าสามารถเดินเที่ยวชมย่านนี้ซึ่งมีประวัติศาสตร์มากว่าหนึ่งพันปีได้ด้วยตัวเอง เพื่อจะได้สามารถชมวิถีชีวิต กิจกรรม ร้านค้า ตลาด รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆได้อย่างใกล้ชิด ฉันว่าการเดินนี่แหละเป็นวิธีเรียนรู้และทำความรู้จักที่ดีที่สุด เท้าเดิน ตามอง หูฟัง แวะพูดคุยทักทายกับผู้คนที่นี่บ้าง สะดุดใจตรงไหนก็หยุดดู หยุดถ่ายรูป หยุดจดข้อมูลที่อยากจดมันตรงนั้นแหละ หรืออาจเลี้ยวเข้าไปนั่งแช่อยู่ที่นั่นนานๆได้เท่าที่ต้องการ บางครั้ง ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับเพิ่มความน่าสนใจขึ้นอีกหลายเท่า เพียงแค่ขยับตัวมองภาพนั้นจากอีกมุมหนึ่ง
เริ่ม Walking Tour จากวัดที่เป็นเกาะกลางทะเลสาบคืนดาบ (Hoan Kiem) ชื่อวัดง็อก เซิน Ngoc Son Temple วัดนี้ถือว่าเป็นสถานที่บังคับยอดฮิตของทุกคนที่มาเยือนเมืองฮานอยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะพานไม้ The Huc Bridge สีแดงตัดกับพื้นน้ำข้ามไปยังตัววัด ซึ่งไม่เคยห่างหายจากผู้คนที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเก็บภาพเป็นที่ระลึก วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ภายในมีเรื่องราวและความสำคัญของประเทศเวียดนามให้ศึกษามากมาย เวียดนามเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนมายาวนาน ก่อนที่จะแยกประเทศเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ แล้วจึงผจญศึกสงครามระลอกแล้วระลอกเล่า วัฒนธรรมรวมทั้งสถาปัตยกรรมของเวียดนามจึงถูกถ่ายทอดมาจากจีนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัดวาอารามส่วนมาก แทบจะถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนเลยทีเดียว
พบเครื่องบิน "โบอิ้ง 737" ที่หายไป 13 ปี ถูกจอดทิ้งกลางสนามบิน
2569 ตรงกับเป็นปีนักษัตรอะไร สีนำโชค พร้อมปีชง
พืชที่มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าพิษงูเห่า
'ฮุนเซน' ควันออกหู หลังลาวฉวยโอกาสขายของตัดหน้า แย่งสัมปทานจีน
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
10 อันดับเมืองที่มีมลพิษสูงสุดกรุงเทพฯ
‘ดร.ธรณ์’ แนะนำ ถ้าจะย้ายที่อยู่ จังหวัดไหนเหมาะที่สุด ที่ไม่มีมลพิษของฝุ่นและภัยพิบัติทางธรรมชาติ
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
ชาวนาเขมรยกมือไหว้วอนคนไทย “เปิดด่านช่วยด้วย” หลังราคาข้าวทรุดหนัก สวนทางคำพูดในอดีตที่เคยดูแคลนไทย
นิทานเพื่อนรัก 3 คนสู่โศกนาฏกรรมปริศนา! สั่งระงับเผาศพ-พบ "ไซยาไนด์" ในร่างผู้เสียชีวิต
เปิดโผสุดปัง! 10 อันดับ ละคร/ซีรีส์ไทย ที่คนไทยค้นหามากที่สุดบน Google ปี 2568
แบงก์เขมรปิด ฮุน โต! เผ่นหนี ลูกค้าถอนเงินไม่ได้
เพื่อนสนิทเปิดใจหลังเกิดเหตุ! เผย 'ณัฐวุฒิ ปงลังกา' หลับไม่ตื่น-ไม่ขอตอบปมทะเลาะในวงเหล้า ขณะผลชันสูตรชี้ชัดพบ "ไซยาไนด์"
ชาว เกษตรกร เขมร กดดันไทยเปิดด่าน ควบรถไถเหยียบนาข้าวทิ้ง ราคาตกต่ำสุดขีด
นิทานเพื่อนรัก 3 คนสู่โศกนาฏกรรมปริศนา! สั่งระงับเผาศพ-พบ "ไซยาไนด์" ในร่างผู้เสียชีวิต
วิธีป้องกันตะขาบในบ้าน ลดเสี่ยงโดนกัด
เลขเด็ด "แพนแพนพารวย" งวดวันที่ 16 ธันวาคม 68..สูตรหวยเด็ด รวยก่อนใคร!
ไวรัลอีกครั้ง! “I Promise I Will Comeback” รีรันคืนจอ






