พระคู่หมั้นของรัชกาลที่ 6 "พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี"
“พระคู่หมั้นพระองค์แรก” ของร.6 กับความขัดข้องพระราชหฤทัยใน “พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี”
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระนามเดิมคือ หม่อมเจ้าหญิงวรรณวิมล อีกชื่อหนึ่ง “ท่านหญิงขาว” ทรงเป็นสตรีที่มีวิถีชีวิตแบบสมัยใหม่ในยุคนั้น มีความคิดเห็นแบบสตรีนิยม ทรงมีพระประสงค์ให้บุรุษเข้าใจและเคารพในสถานภาพของสตรี
ทรงเป็นพระธิดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทั้งสองพระองค์ทรงมีรสนิยมต้องกัน ชมชอบในศิลปะ วรรณกรรม การแสดง มีปฏิภาณไหวพริบ คารมคมคาย หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีข่าวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับหม่อมเจ้าหญิงวรรณวิมล โปรดพระราชทานนามใหม่ว่า วัลลภาเทวี และโปรดสถาปานาเป็นพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี
พระองค์ทรงเป็นพี่น้องร่วมกันกับ พระนางเธอลักษมีลาวัณ (มเหสีของรัชการที่ 6) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าทรงคบหากับหม่อมเจ้าลักษมีลาวัณ พระขนิษฐาของพระวรกัญญาปทานอย่างเปิดเผยในระหว่างที่ยังทรงหมั้นอยู่ด้วย
จนเรื่องราวขัดข้องหมองใจกับพระคู่หมั้น (พระวรกัญญาปทาน) มาถึงจุดแตกหัก โดยมีพระราชนิพนธ์ปรากฏอยู่ในหนังสือ "ดุสิตสมิต" หลังทรงถอนหมั้นกับ พระวรกัญญาปทาน
ความว่า
“อย่าทะนงอวดองค์ว่างามเลิศ
สวยประเสริฐยากที่จะเปรียบได้
อย่าทะนงอวดองค์ว่าวิไล
อันสุรางค์นางในยังมากมี
อย่าทะนงอวดองค์ว่าทรงศักดิ์
จะใฝ่รักแต่องค์พระทรงศรี
นั่งรถยนต์โอ่อ่าวางท่าที
เป็นผู้ดีแต่ใจไพล่เป็นกา
อย่าดูถูกลูกผู้ชายที่เจียมตน
อย่าดูถูกฝูงชนที่ต่ำกว่า
อย่าทะนงอวดองค์ว่าโสภา
อันชายใดฤาจะกล้าง้องอน”
พระราชนิพนธ์บทนี้มีแนวโน้มแสดงถึงความขัดข้องพระทัยในพระอัธยาศัยและความทะนงตัวของพระวรกัญญาปทาน ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการประกาศถอนหมั้น จบชีวิตรัก 8 เดือนของทั้งสองพระองค์
พระวรกัญญาปทาน จึงทรงถูกขังในพระบรมมหาราชวังนับแต่นั้นจนสิ้นรัชกาล (ภายหลัง ร.7 ได้พระราชทานอภัยโทษ ท่านจึงออกจากวังหลวงมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่วังพระกรุณานิวาสน์) ทรงสิ้นพระชนม์ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2494 พระชันษาได้ 58 ปี 5 เดือน
บทพระราชนิพนธ์บทสุดท้ายของ พระวรกัญญาปทาน ที่มีถ้อยคำตัดพ้อแต่ก็ยังแสดงให้ปรากฏชัดถึงความแข็งข้อของพระอัธยาศัยและพระทัยของพระองค์ ก็คือ
ทรงภพผู้ปิ่นโปรดฦๅสาย
พระองค์เองสิไม่มียางอาย
พูดง่ายย้อนยอกกรอกคำ
มาหลอกลวงชมเล่นเสียเปล่าเปล่า
ทิ้งให้คอยสร้อยเศร้าทุกเช้าค่ำ
เด็ดดอกไม้มาดมชมจนช้ำ
ไม่ต้องจดจำนำพา
เหมือนผู้ร้ายย่องเบาเข้าลักทรัพย์
กลัวเขาจับวิ่งปร๋อไม่รอหน้า
จงทรงพระเจริญเถิดราชา
ข้าขอลาแต่บัดนี้