The Line เมืองแนวตั้งแห่งแรกของโลกที่ปฏิวัติอารยธรรมมนุษย์
เมื่อเห็นภาพนี้ครั้งแรก บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นท้องเมืองในอนาคตที่ปรากฏในหนังแฟนตาซีหนึ่ง แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ภาพนี้เป็นภาพของเมืองจริง ๆ ที่ชื่อว่า 'The Line' ซึ่งเป็นเมืองใหม่ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายในประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่ได้รับการเปิดตัวเพื่อก่อสร้างในช่วงกลางปีที่ผ่านมา เมื่อมกุฏราชกุมาร 'โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน' เจ้าชายแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ประกาศความมุ่งมั่นที่จะสร้างเมืองใหม่ที่มีแนวคิดและวิสัยทัศน์แตกต่างกับที่มีมาโดยใช้คำถามว่าเมืองในอนาคตควรมีลักษณะอย่างไรเป็นจุดเริ่มต้น
ผลจากคำถามนี้คือ The Line เมืองแนวตั้งเพียงอันเดียวในทะเลทราย มีความยาวถึง 170 กิโลเมตร และสามารถรองรับประชากรมากถึง 9 ล้านคน
นำเสนอคอนเซ็ปต์การปฏิวัติทางอารยธรรมที่เน้นการให้ความสำคัญกับมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยมีการมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้คนพร้อมกับการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยรอบ โครงการนี้เรียกว่า "The Line" และมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจอย่างมาก เป็นเสมือนกำแพงที่มีเมืองอยู่ตรงกลาง โดยมีความกว้างถึง 200 เมตรและสูงถึง 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รวมถึงพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 34 ตารางกิโลเมตร โครงการนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ใกล้กับทะเลแดง
"The Line" ถูกออกแบบให้เป็นสถานที่อยู่อาศัยที่ทันสมัยและที่สร้างมาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและการออกแบบที่ยอดเยี่ยมเพื่อให้ผู้คนสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ในขณะเดียวกันก็รักษาความสมดุลกับธรรมชาติ โดยการอนุรักษ์และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในรอบตัว เช่น การใช้งานทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ให้มลพิษ
โครงการ "The Line" เป็นที่น่าทึ่งที่เน้นการกระจายพื้นที่ให้กับมนุษย์ในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และนำเสนอการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และยอดเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมของเราในกระบวนการ
"The Line" เป็นแนวคิดที่ท้าทายและน่าสนใจที่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตของเราและการรักษาโลกของเราให้ยั่งยืนขึ้น เป็นต้นแบบที่น่าติดตามและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ที่มุ่งหวังสร้างสังคมที่ยั่งยืนและมนุษย์ที่มีคุณค่าในอนาคตที่กำลังจะมา
รูปแบบของเมืองถือเป็นการออกแบบใหม่ คือจัดวางฟังก์ชั่นของเมืองในรูปแบบแนวตั้ง ให้ผู้คนสามารถเดินทางแบบ 3 มิติ (ขึ้น ลง หรือข้าม) ได้อย่างไร้รอยต่อ
ในยุคที่เราต้องเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงและความไม่สมดุลในการพัฒนาเมือง มาแนะนำแนวคิดใหม่ที่มีชื่อว่า "Zero Gravity Urbanism" ซึ่งนับว่าเป็นก้าวข้ามจากแนวคิดการสร้างอาคารสูงๆ แบบธรรมดาที่ครอบคลุมพื้นที่เพียงเล็กน้อย แทนที่จะเน้นการสร้างอาคารสูงเป็นส่วนใหญ่ เราจะมองไปที่การรวมสวนสาธารณะ พื้นที่ทางเท้า โรงเรียน บ้าน และสถานที่ทำงานให้อยู่ร่วมกันในองค์ประกอบเดียวของเมือง แนวคิดนี้นำเสนอแบบแผนการพัฒนาเมืองที่มุ่งเน้นความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ที่มีอยู่ และการลดโครงสร้างพื้นฐานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง อาทิเช่น การลดถนนให้มีขนาดเล็กลง แต่เพิ่มพื้นที่สีเขียว และการสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพเพื่อลดการใช้รถส่วนตัว ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชากรในเมืองได้เช่นกัน
แนวคิด "Zero Gravity Urbanism" ไม่ใช่เพียงการสร้างโครงสร้างที่น่าสนใจภายในเมืองเท่านั้น แต่ยังเน้นการสร้างชุมชนที่มีความเชื่อมโยงและเป็นมิตรกัน ที่ผู้คนสามารถมีชีวิตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ สิ่งนี้สามารถทำได้โดยการเตรียมความพร้อมของพื้นที่สาธารณะให้เป็นสถานที่เพื่อการพักผ่อน การเรียนรู้ และการสร้างสรรค์ รวมทั้งการสร้างโอกาสให้กับการเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อผู้เดินทาง ในที่สุด "Zero Gravity Urbanism" คือแนวคิดที่ตอบโจทย์ปัญหาการเจริญเติบโตของเมืองในยุคที่เราต้องรักษาสิ่งแวดล้อมและความเป็นมนุษย์ให้มีชีวิตอย่างยั่งยืนในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
การเลิกพึ่งพากับโมเดิร์นที่เน้นการใช้รถยนต์ส่วนตัวมากเกินไป และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในเมืองเพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน แนวคิด "Zero Gravity Urbanism" ไม่เพียงเป็นแนวคิด แต่เป็นแนวทางที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาเมืองในอนาคตที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างการพัฒนาและสิ่งแวดล้อมของเรา และเน้นการสร้างเมืองที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยคุณค่าและสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม
ซึ่งอ่านแล้วให้เข้าใจก็คือ เมืองนี้ไม่มีถนน ไม่ใช้รถยนต์ ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% โดย 95% ของที่ดินก็สงวนไว้เพื่อธรรมชาติ จึงอาจเรียกได้ว่าเมืองนี้สร้างขึ้นเพื่อให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มากกว่าการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน
ในเมืองที่ไม่มีรถและถนน แต่มีรถไฟความเร็วสูงบริการประชาชน การเดินทางจากต้นทางไปยังปลายทางเสร็จสิ้นในเพียง 20 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ สิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันก็สามารถเข้าถึงได้ภายใน 5 นาทีเท่านั้น
NEOM บริษัทที่ออกแบบแนวคิดนี้ เชื่อว่าการลดการใช้งบประมาณในการเดินทางจะช่วยเพิ่มเวลาพักผ่อนของผู้คนอย่างมาก และยิ่งลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองรถ เช่น ค่าประกันภัยรถยนต์ ค่าน้ำมัน และค่าที่จอดรถ ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีเงินเหลือเก็บมากขึ้นจากเดิม แนวคิดนี้อาจจะเป็นเส้นทางสำคัญในการพัฒนาเมืองให้เป็นสถานที่ที่สะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไปในอนาคตของ NEOM
The Line ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างติดตามอย่างตั้งใจ เนื่องจากมันไม่เพียงแค่เป็นโครงการอาคารที่มีอาคารสูงและที่อยู่อาศัยที่ดี แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานระหว่างความเป็นเมืองและความเป็นธรรมชาติอย่างลงตัว เพียงแค่ 2 นาทีเดินเท้า คุณสามารถออกมาพบกับสวนและพื้นที่เปิดโล่งที่มีอยู่ในชั้นต่างๆ ของโครงการ ที่นี่ทุกคนสามารถเข้าถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของภูมิทัศน์ ภูเขา และท้องฟ้าโดยรอบได้อย่างเท่าเทียมกัน นี่คือการผสมผสานระหว่างการอยู่ในเมืองและความสุขในการติดต่อกับธรรมชาติ
นอกจากนี้ การดำเนินงานของอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในเมืองยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างอากาศบริสุทธิ์ ที่ทำให้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยในเมืองเป็นมิตรและสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะพักอาศัย ทำงาน หรือท่องเที่ยวในเมือง เรามั่นใจว่าคุณจะพบความสมดุลที่ยากจะหาในที่อื่น ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คุณได้สัมผัสความสุขและความสงบในทุกช่วงเวลาของชีวิตของคุณที่ "The Line" ได้มอบให้
สภาพแวดล้อมของ The Line ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เกิดความสมดุลของแสงแดด ร่มเงา และการระบายอากาศตามธรรมชาติ เรียกได้ว่ามีสภาพอากาศแบบในอุดมคติตลอดทั้งปี
NEOM บอกไว้ว่า โครงการแนวตั้งนี้จะสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับมนุษย์ รวมไปโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยคาดว่าจะเกิดการสร้างงานมากกว่า 380,000 ตำแหน่งภายในปี 2030
สำหรับโครงการนี้เริ่มก่อสร้างแล้ว โดยคาดว่าจะสร้างเสร็จในปี 2030 ใช้เม็ดเงินในการก่อสร้างที่สูงถึง 1-2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และสามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้มากถึง 9 ล้านคนในปี 2045