คดีดัง โจมตีรถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียวด้วยแก๊สพิษซารีน!!!
ในชั่วโมงเร่งด่วน ( 8 โมงเช้า ) ที่สถานีใกล้สถานที่สำคัญของรัฐบาล 5 แห่ง เกิดเหตุการณ์การโจมตีรถไฟใต้ดินของกรุงโตเกียวด้วยแก๊สพิษซารีนความเข้มข้น 30% ซารีนเป็นแก๊สพิษที่ไร้สี ไร้กลิ่น แต่มีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทอย่างรุนแรง ทำให้มีผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์นั้นมากถึง 6,300 คน และมีผู้เสียชีวิต 14 คน
การโจมตีนี้เป็นฝีมือของผู้ก่อการร้าย ลัทธิ โอมชินริเกียว หรือ โอม ปรมัตถ์สัจจะ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “โอม” โดยมี " โชโกะ อาซาฮาระ " เป็นเจ้าลัทธิ ( โชโกะมีชื่อจริงว่า ชิซูโอะ มัตสึโมโตะ ) โชโกะ เกิดเมื่อปี 1955 ที่คิวชู ครอบครัวของเขาค่อนข้างยากจน เขาตาบอดเกือบสนิท แต่ตาข้างขวายังพอมองเห็นเลือนราง เขาเปิดคลินิกรักษาโรคด้วยวิธีฝังเข็ม โยคะ และสมุนไพร ฯลฯ โดยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากภรรยาคือ “โทโมโกะ” เขามักอวดอ้างบรรยายสรรพคุณ ความสามารถของตัวเองเกินจริงเพื่อหลอกลวงผู้คน ( เหมือนพวกหมอบ้าน หมอยาผีบอกในไทยนั่นแหละ )
โชโกะ ก่อตั้งลัทธิ โอมชินริเกียวในปี 1984 หลังจากถูกตำรวจจับเพราะหลอกลวงจนหากินในอาชีพเดิมไม่ได้อีกแล้ว เขาเอาคำสอนจากหลายๆ ศาสนามาประยุกต์รวมกันเพื่อเป็นแนวทางในลัทธิของตัวเอง เป็นการยำรวมมิตรแบบงงๆ เดิมทีในลัทธิ เน้นการฝึกจิต ฝึกสมาธิ แต่ต่อมาก็หันเหแนวทางมาเชื่อในเรื่องวันสิ้นโลก ที่จะเกิดเหตุภัยพิบัตินาๆ หรือแม้แต่เชื่อว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ผู้คนจะเข่นฆ่ากันมากมายจนตายเป็นเบือ แผ่นดินจะนองไปด้วยเลือด มนุษย์แทบสูญสิ้น จะมีเพียงแค่สาวกผู้เชื่อในลัทธิเท่านั้นที่จะรอด
โชโกะ ยังใช้กลอุบาย แอบอ้างอุตริเหนือธรรมชาติว่าตนเองลอยตัวได้มั่ง หายตัวได้มั่ง มีโทรจิต มีกายทิพย์ ฯลฯ เขาทำตัวให้ดูน่าเลื่อมใส ไว้หนวดไว้เครา ใส่เสื้อคลุม คอยทำนายเหตุการณ์ต่างๆนาๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำนายถูกหรือใกล้เคียงก็จะมีผู้คนที่ไร้ที่ยึดเหนี่ยวที่พึ่งทางจิตใจหลงเข้ามา ยุคที่เฟื่องฟูที่สุดเขามีสาวกเป็นหมื่นๆ คนทั่วโลก
ฐานลับของลัทธิโอมชินริเกียวตั้งอยู่ใกล้กับภูเขาฟูจิ ที่นี่มีทั้งสำนักงาน อาคาร แผนกวิทยาศาสตร์ โรงพิมพ์ คลินิก สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ เรียกว่าเป็นอาณาจักรแบบครบวงจรเลยก็ว่าได้ และแก๊สพิษซารีนที่ลัทธิเอามาโจมตีผู้คนก็ถูกผลิตขึ้นในฐานลับ โดยสาวกนักวิทยาศาสตร์ของลัทธิ
ในวันที่ 20 มีนา 1995 สมาชิกลัทธิ 5 คน ได้นำถุงใส่ซารินขึ้นไปในรถไฟใต้ดิน 5 สาย ได้แก่
1. อิกุโอะ ฮายาชิ :: รถไฟสายชิโยดะ
2. มาซาโตะ โยโกยาม่า :: รถไฟสายฮิบิยะ
3. โตรุ โตโยดะ :: รถไฟสายฮิบิยะ
4. เคนิชิ ฮิโรเซ่ :: รถไฟสายมารุโนอุชิ
ทั้ง 5 คนไม่ใช่คนไก่กา แต่มีทั้งหมอ วิศวกร นักฟิสิกส์ นักศึกษาปริญญาโท พวกนั้นห่อถุงซารีนเอาไว้ด้วยหนังสือพิมพ์ และนำไปวางไว้ในขบวนรถไฟ ก่อนจะใช้ของแหลมทิ่มถุงให้ทะลุ ซารินเป็นของเหลว มันไหลเจิ่งนองไปทั่วรถไฟแต่ไม่มีใครสงสัย บางคนเดินย่ำเหยียบมันไปมาอย่างไม่ใส่ใจ จนกระทั่งมันค่อยๆออกฤทธิ์ ซารินมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท เมื่อสูดดมจะทำให้น้ำมูกน้ำลายไหล แน่นหน้าอก ม่านตาหดเล็กเท่าหัวเข็มหมุด ตาพร่า กล้ามเนื้อเกร็ง เหงื่อออก หายใจติดขัด ปวดหัว อาเจียน ธาตุแตก จากนั้นจะเริ่มชักกระตุกรุนแรง เป็นอัมพาต นั่นคือเข้าสู่โคม่าแล้ว และก็จะเสียชีวิตในเวลาต่อมาเนื่องจากซารินไปทำลายระบบหายใจ
ผู้คนที่นั่นตอนนั้น บ้างอาเจียนออกมาเป็นเลือด บ้างนั่งนอนเกลือกกลิ้งข้างทาง มีเลือดไหลออกจากปากและจมูก บางคนทั้งอึทั้งฉี่ออกมา แต่แทบไม่มีเสียงร้องโอดโอยให้ได้ยิน เพราะซารีนได้เข้าไปทำลายระบบภายในจนเป็นอัมพาต ทำให้เปล่งเสียงออกมาไม่ได้
ช่วงแรกตำรวจยังไม่รู้ว่ากลุ่มใดอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ก็สงสัยลัทธิใดลัทธิหนึ่ง จึงส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไล่ตรวจสอบตามลัทธิต่างๆ ทั่วประเทศ รวมทั้ง โอมชินริเกียวด้วย
ตำรวจเข้าค้นฐานลับของลัทธิ แล้วก็ต้องตกตะลึง เพราะที่นี่เหมือนแดนสนธยา มีทั้งเงินสดจำนวนมหาศาลอยู่ตามที่ต่างๆ มีสารเคมีต่างๆ นับพันๆ ถัง ทั้งยังก็มีเรื่องน่ากลัวๆ ต่างๆ อีกมากมาย ทั้งการลักพาตัวผู้คน พยายามฆ่า ผลิตยาและสารพิษต้องห้าม มีห้องขัง มีห้องเผาศพ ฯลฯ
ตำรวจควบคุมตัวสาวกลัทธิไปหลายร้อยค้นเพื่อทำการสอบสวน เรื่องน่ากลัวที่เกิดขึ้นในฐานลับ นำไปสู่การเชื่อมโยงการโจมตีรถไฟ สาวกบางคนถูกตั้งข้อกล่าวหา แต่บางคนก็ได้รับการปล่อยตัว และมีสาวก 13 คน รวมถึงโชโกะ ถูกตัดสินประหารชีวิต เนื่องจากเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์แก๊ซพิษซารีน
โชโกะเพิ่งถูกประหารชีวิตไปเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือตายก็ไม่สามารถชดใช้ให้กับเหยื่อในเหตุการณ์ ที่แม้บางคนจะไม่เสียชีวิตแต่ก็มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเพราะฤทธ์ของซารีนที่เข้าทำลายระบบประสาทและร่างกายภายใน บางคนเป็นอัมพาต บางคนเจ็บป่วยไม่สามารถฟื้นฟูได้ เป็นความเสียหายที่เชื่อมโยงมาจนปัจจุบันนี้
แม้กระทั่งวันนี้ ตอนนี้ ก็ยังคงมีผู้ศรัทธาคำสอนของลัทธินี้ และยังคงเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่นรวมถึงในยุโรป ภายใต้ชื่อ " ลัทธิอเลป (Aleph) "