ถนนนี้..ผีโคตรเฮี้ยน
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวของ "บาส" รุ่นน้องของผมที่มหาลัย ซึ่งเมื่อได้เรียนจบออกมา บาสก็ได้ประกอบอาชีพเป็นเซลล์ ทำให้ต้องจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปทั่วประเทศ โดยวิธีการเดินทางก็เหมือนเซลล์ทั่ว ๆ ไป ก็คือใช้รถยนต์ส่วนตัว และการเดินทางทั่วประเทศนั้นเองทำให้บาสต้องอยู่บนถนนตลอดเวลาก็ว่าได้ ทำให้ได้พบเจอประสบการณ์ที่น่ากลัวอยู่หลายครั้ง
เรื่องราวเรื่องนี้เกิดขึ้นในงาน ๆ หนึ่ง งานนั้นบาสได้เล่าให้ฟังว่าเขาต้องไปเจอลูกค้าที่จังหวัดเชียงราย บาสจะต้องขับรถออกจากกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาประมาณ 9 โมงเช้า และเดินทางไปถึงจังหวัดเชียงรายประมาณ 6 โมงเย็น เมื่อไปถึงบาสก็ได้พบกับทีมงานที่หน้างานกว่าจะจัดการงานเอกสารรวมถึงเคลียร์ทุกอย่าง เวลาก็ล่วงเลยไปถึงประมาณทุ่มครึ่ง ทางบริษัทตอนนั้นก็ไม่ได้จัดแจงรวมถึงจองที่พักไว้ให้ซึ่งบาสเองก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เพราะว่าบาสเองเป็นคนที่ชอบขับรถกลางคืนอยู่แล้ว บาสจึงวางแผนว่าจะขับรถกลับมายังจังหวัดอุตรดิตถ์ และตั้งใจว่าจะไปนอนพักที่บ้านของเพื่อน ในตอนนั้นรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่เป็นช่างที่หน้างานได้ทักบาสว่า จะขับรถกลับเลยหรอ ? จะกลับเส้นไหนล่ะ ? บาสก็เลยบอกไปว่าจะใช้เส้นทางที่เลี่ยงจังหวัดลำปาง และตรงเข้าจังหวัดอุตรดิตถ์เลย เมื่อรุ่นพี่คนนี้ได้ยินแบบนั้นก็ได้บอกกับบาสว่า ถ้าจะขับรถกลับเส้นนี้ มีเรื่องที่จะต้องรู้อยู่สองอย่าง คือ ถ้าเจอคนโบกอย่าจอดรับ และถ้ามีอะไรมาขวางให้ขับชน ซึ่งที่่รุ่นพี่คนนั้นได้เตือนก็เพราะว่าตัวรุ่นพี่คนนั้นเป็นคนอุตรดิตถ์ และใช้เส้นนี้เป็นประจำ ตอนนั้นบาสก็ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ไม่ค่อยที่จะกลัวเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ และที่สำคัญบาสก็ไม่ได้ขับรถไปคนเดียว แต่ขับรถไปกับรุ่นน้องอีกหนึ่งคน
หลังจากที่เดินทางออกจากหน้างาน บาสก็มาถึงถนนเส้นนี้ในช่วงเวลาประมาณสามทุ่ม ในยุคสมัยนั้นถนนเส้นนี้ค่อนข้างที่จะมืดมากๆ ยังไม่มีไฟทางและค่อนข้างจะเปลี่ยวมากพอสมควร เมื่อขับเลี้ยวเข้ามาถนนเส้นนี้ สิ่งแรกที่บาสสังเกตุได้ทันทีก็คือ ตรงหน้ามีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แต่ที่หน้าแปลกใจ คือตอนที่บาสและรุ่นน้องได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งโผล่ออกมาครึ่งตัวจากต้นไม้ ทั้งคู่เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะในยุคสมัยนั้นค่อนข้างจะแคบมาก และต้นไม้ต้นนี้ก็อยู่ติดกับถนนเลย เพราะว่าในยุคสมัยนั้นไม่มีไหล่ทาง ผู้ชายคนนั้นได้ใช้มือซ้ายโบกรถอยู่ เห็นแบบนั้นรุ่นน้องที่นั่งมาด้วย ก็เริ่มกลัว เพราะด้านที่รุ่นน้องนั่งอยู่ จะอยู่ติดกับต้นไม้มาก ๆ บาสก็รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคืออะไร แต่ก็ยังพยายามปลอบใจรุ่นน้องว่า น่าจะเป็นคนแหล่ะอย่าคิดมาก ทั้งคู่ก็ขับรถออกจากจุดนั้นมา
หลังจากที่ขับมาเรื่อย ๆ ประมาณ 5 กิโล อยู่ๆ ก็มีรถกระบะคันหนึ่ง เป็นรถกระบะแต่งซิ่ง ขับแซงขึ้นมาทางด้านขวา และได้กดแตรให้รถบาสสองครั้งด้วยกัน แต่ในจังหวะที่รถคันนั้นแซงขึ้นมา ไฟในห้องโดยสารของรถคันนั้น ซึ่งบาสคิดว่าน่าจะเป็นไฟที่มาจากเครื่องเสียงทำให้บาสพอที่จะเห็นปฏิกริยาของผู้ชายคนนั้น และบาสก็ค่อนข้างที่จะแปลกใจมาก ๆ เพราะผู้ชายคนนั้นได้แต่นั่งจ้องไปด้านหน้า นั่งตัวแข็ง ทำหน้านิ่งๆ ไม่มีปฏิกริยาใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเห็นแบบนั้นบาสก็ได้เร่งรถทันที ขับตามรถกระบะนั้นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ขับตามกันมาประมาณ 6 กิโลได้ พอถึงโค้ง ๆ หนึ่ง รถกระบะคันนั้นก็เลี้ยวเข้าโค้งไปก่อน พอรถบาสขับตามไปก็ต้องตกใจ เพราะด้านหน้าของตัวเองในตอนนี้พบว่าเป็นนายตำรวจท่านหนึ่งกำลังยืนขวางถนน เพื่อให้รถชะลอความเร็ว เมื่อเห็นแบบนั้นบาสจำคำที่รุ่นพี่ได้พูดไว้ทันทีว่า เจออะไรให้ขับชนไปเลย แต่ตอนนั้นก็ยังสองจิตสองใจ เพราะไฟจากไฟฉายของตำรวจท่านนั้นได้โบก เพื่อให้รถของบาสชะลอความเร็วลง ในนาทีนั้นไม่รู้จะทำยังไงจึงได้ตัดสินใจเบรครถ และไปหยุดตรงหน้าตำรวจคนนั้น
หลังจากที่จอดรถ บาสก็ได้สังเกตุว่าที่บริเวณกลางถนนพบรถบรรทุกข้าวเปลือกพลิกคว่ำอยู่ และมีข้าวเปลือกบางส่วนกองอยู่เต็มพื้นถนน พอรถหยุดนิ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นก็ได้เดินมาหาบาสที่รถ และก็ได้ถามบาสว่า ทำไมขับเร็วจะรีบไปไหน แต่บาสก็บอกไปตรงๆ ว่า ผมนึกว่าพี่เป็นผี แต่ตอนนั้นบาสก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่งว่า ก่อนหน้านี้มีรถกระบะขับนำหน้ามานี่หน่า แต่ทำไมตอนนี้ไม่เห็นแล้ว บาสก็เลยถามกลับเจ้าหน้าที่คนนั้นไปว่า ก่อนหน้านี้มีรถกระบะคันหนึ่งขับรถนำหน้าผมอยู่ แต่คุณตำรวจปิดถนน แล้วรถคันนั้นหายไปไหน คุณตำรวจคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ตอบกลับมาว่า รถกระบะยี่ห้อนี้ใช่มั๊ย บาสก็ยืนยันครับว่าเป็นตามที่ตำรวจท่านนี้บอก แต่ก็ยังพยายามสอบถามว่า ทำไมถึงปล่อยให้รถกระบะคันนั้นเลยไปได้ แต่คุณตำรวจก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่บอกกับบาสว่า คืนนี้น้องไม่ต้องขับไปไหนต่อน่ะ น้องต้องนอนกับพี่ที่ป้อม เมื่อได้ยินแบบนั้นรู้สึกตกใจเลย คิดว่าตัวเองจะถูกโดนจับหรือเปล่า แล้วคุณตำรวจก็ได้พูดต่อว่า ถ้าน้องขับไปต่อ น้องอาจจะไม่รอด เมื่อได้ยินแบบนั้น บาสเองก็งงว่าทำไมตำรวจคนนี้ถึงพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อมากมายจนเมื่อเคลียร์รถที่เกิดอุบัติเหตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนก็ไปที่ป้อมตำรวจบริเวณใกล้เคียง พอไปถึงคุณตำรวจก็นำแฟ้มอะไรบางอย่างมาให้บาสดู และเมื่อบาสได้เปิดแฟ้มดู ก็ต้องขนลุกไปทั้งตัว เพราะภาพในแฟ้มนั้นคือ รถกระบะคันนั้นซึ่งสภาพรถพังยับ รถได้เกิดอุบัติเหตุหลุดโค้ง จนมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 4 ราย ซึ่งที่จุดเกิดเหตุนั้นก็คือ โค้งๆ นั้น โค้งที่บาสตามไม่ทันนั่นเอง คืนนั้นบาสก็เลยไม่เดินทางต่อ และอยู่ที่ป้อมตำรวจจนถึงเช้า
เช้าวันต่อมา บาสก็ได้เดินทางไปหาเพื่อนที่อุตรดิตถ์ตามปกติ แต่ในวันนั้นมีลูกค้าต้องการตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่จังหวัดปราจีนบุรีบาสก็เลยต้องตีรถต่อไปยังจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อไปรับตัวอย่างผลิตภัณฑ์ก่อน หลังจากที่ออกเดินทางจากอุตรดิตถ์ในช่วงเที่ยง บาสก็เดินทางมาถึงจังหวัดนครสวรรค์ในช่วงเย็น โดยแผนในตอนแรกก็คือ หลังจากแวะเอาของเสร็จในช่วงเย็น ก็จะตีรถต่อไปจังหวัดปราจีนบุรีเลย แต่ทุกอย่างมันก็ผิดแผน เพราะกว่าที่บาสจะได้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว บาสก็เลยขับรถเข้าเส้นตากฟ้า เพื่อมุ่งหน้าจะเข้าเส้นสายเอเซีย ในยุคนั้นเส้นนี้ค่อนข้างที่จะน่ากลัวมาก ๆ เป็นถนนสวนเลนและสองข้างทางก็มีแต่ป่า
หลังจากที่วิ่งเส้นนี้มาเรื่อย ๆ อยู่ ๆ ก็มีรถกระบะคันหนึ่ง ซึ่งเป็นรถกระบะส่งของ รถคันนั้นได้ขับแซงรถของบาสไป แต่ที่น่าสังเกตุและเป็นที่เตะตามากๆ ก็คือ รถกระบะคันนี้คันที่แซงไป ทางด้านขวาของตัวรถมีผ้าใบสีขาวได้กระพือตีกับลม สะบัดไม่หยุดเลย เมื่อเห็นแบบนั้นบาสกลัวว่าเจ้าของรถอาจจะไม่ทราบหรือเปล่าว่าตอนนี้ผ้าใบตัวเองปิดไม่สนิท ก็เลยตีไฟเพื่อส่งสัญญาณให้รถคันนั้นได้รับรู้ แต่กลับกลายเป็นว่า อยู่ๆ รถกระบะคันนั้นก็ได้เริ่มเร่งความเร็ว ในใจบาสคิดว่า รถคันนี้บรรทุกของมาเต็มหลังรถแถมยังขับเร็วอีก ถ้าเกิดยางระเบิดขึ้นมาจะไม่ปลอดภัยกับเขาเอง บาสก็เลยทิ้งระยะห่างจากรถคันนี้มากขึ้น และก็เริ่มสังเกตุว่าที่หลังรถคันนี้ได้มีลักษณะท่อนคล้ายกับไม้ไผ่ติดกับผ้าใบสีขาวที่สะบัดอยู่ด้วย บาสเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ก็เลยสะกิดรุ่นน้องที่นั่งมาด้วยกัน ซึ่งตอนนี้รุ่นน้องก็มีอาการหลับๆ ตื่นๆ ว่าให้รุ่นน้องตื่นขึ้นมาดูว่า รถกระบะคันนั้นมันมีอะไรแปลกๆ หรือเปล่า รถคันนั้นดูท่าทางจะหนักมาก ๆ แต่เขาก็ยังเร่งความเร็วไม่หยุด บาสเห็นท่าไม่ดีเลยคิดว่าน่าจะขับรถแซงรถคันนี้ไปดีกว่า ก็เลยค่อย ๆ เบี่ยงขวา เพื่อหาจังหวะแซง แต่หลังจากเบี่ยงขวาแล้วบาสก็ต้องขนลุกไปทั้งตัว เพราะตกใจกับภาพที่เห็นที่เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งกำลังเกาะอยู่ที่ข้างรถ ช่วงแขนและศีรษะของผู้หญิงคนนั้นเกาะอยู่ประตูกระจกข้างๆ คนขับ และลำตัวก็พาดยาวมาทางด้านข้างของตัวรถ ส่วนไม้ไผ่ที่บาสเห็นความจริงแล้วไม่ใช่ไม้ไผ่ครับ แต่มันคือขาของผู้หญิงคนนั้นได้ยืดยาวออกมาถึงท้ายรถ ด้วยอาการตกใจ บาสรีบดึงรถกลับเข้ามาในเลน แล้วทิ้งช่วงเว้นระยะห่างจากรถคันนั้นทันที บาสก็ขับตามรถคันนั้นอยู่อีกเป็น 10 กิโล จนสุดท้ายรถของทั้งคู่ก็ขับเข้ามาถึงสายเอเซียจนได้ หลังจากนั้นรถกระบะคันนั้นก็เลี้ยวเข้าปั๊มทันที บาสที่อยู่ในอาการตกใจก็เลี้ยวเข้าไปแล้วก็ไปจอดอยู่ไม่ไกลกันมาก เมื่อจอดรถเสร็จ คนขับรถคันนั้นก็เปิดประตูลงมาพร้อมกับหน้าตาที่ตื่นกลัว พร้อมปัสสาวะรดเต็มกางเกง คนขับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นทันที บาสก็เลยเดินเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น แล้วถามว่า พี่ครับ ทำไมไม่คลุมผ้าใบดี ๆ ผู้ชายคนนั้นได้แต่เงยหน้าขึ้นมาตอบว่า น้องไม่เห็นจริงๆ หรอ บาสก็เลยบอกไปว่า เขาก็เห็นเหมือนกัน แต่สั่นจนขับต่อไม่ได้เหมือนกัน
ในคืนนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ ได้แยกย้ายกันนอนอยู่ที่ปั๊มจนถึงเช้า หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บาสก็พอได้ทราบและรับรู้มาว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้น ไม่ได้มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่เจอ คนขับรถที่ใช้เส้นทางนี้อยู่เป็นประจำมักจะบอกเล่าเรื่องราวว่า มีคนพบเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเธอคนนี้เป็นใคร มาจากไหนกันแน่