วัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ V.2
อุกาบาต
สะเก็ดดาว (Meteoroids) เป็นวัตถุจากดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดเล็กกว่า 1 กิโลเมตร หลังจากนั้นเมื่อสะเก็ดดาวเข้าสู่บรรยากาศโลกและเสียดสีกับอากาศ มันจะถูกเรียกว่า "ดาวตก" หรือ "ผีพุ่งใต้" (Meteor หรือ Shooting star) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สามารถมองเห็นได้ในเวลากลางคืน เป็นทางยาว ดาวตกมีขนาดเล็กๆ เหมือนเม็ดทราย แต่มีความเร็วสูงประมาณ 40 - 70 กิโลเมตรต่อวินาที ทำให้มันเสียดสีกับอากาศและร้อนมากจนเผาไหม้ก่อนที่จะตกลงมาถึงพื้นผิวโลกได้.
แต่ถ้าสะเก็ดดาวขนาดใหญ่กว่า 1 กิโลเมตรตกลงมา, มันอาจจะไม่เผาไหม้หมดในบรรยากาศ และจะเหลือชิ้นส่วนบางส่วนตกลงมาบนพื้นผิวโลก ชิ้นส่วนเหลือนี้ที่ตกลงมาเรียกว่า "อุกกาบาต" (Meteorite) และอาจทำให้เกิดหลุมที่เรียกว่า "หลุมอุกกาบาต" (Meteor crater) หากมีการพุ่งชนอย่างมีปริมาณของสะเก็ดดาวใหญ่. การศึกษาและการสำรวจหลุมอุกกาบาตที่เกิดขึ้นจากการชนของสะเก็ดดาวนี้ช่วยให้เข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและสมัยก่อนของโลกและระบบสุริยะ.
นอกจากอุกกาบาตจากสะเก็ดดาวเคราะห์น้อยแล้ว ยังมีอุกกาบาตบนพื้นโลกที่มาจากดวงจันทร์และดาวอังคาร ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อมีดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่พุ่งชนดวงจันทร์ของดาวอังคาร การชนกันนี้จะสร้างแรงระเบิดที่ทำให้สะเก็ดดาวกระเด็นขึ้นสู่อวกาศ โดยทำให้สะเก็ดดาวลอยออกจากดวงจันทร์และดาวอังคารและเข้าสู่อวกาศ ในช่วงนี้เมื่อโลกโคจรผ่านในทิศทางเดียวกัน แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงดูดสะเก็ดดาวนั้นมาที่พื้นโลก และถ้าสะเก็ดดาวลงบนพื้นผิวที่มีสีขาวเช่นแผ่นน้ำแข็ง นักวิทยาศาสตร์สามารถเก็บรวบรวมได้ง่าย
เสริมเกร็ดความรู้
- 4,600 ล้านปีมาแล้ว ฝุ่นและแก๊สรวมตัวกันกำเนิดเป็นดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ ดวงจันทร์ และวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ
- 65 ล้านปีมาแล้ว อุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลกที่ ชิคซูลูบ (Chicxulub) คาบสมุทรยูคาทาน ประเทศเม็กซิโก ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกร้อยละ 75 ของโลกสูญพันธุ์
- 50,000 ปีมาแล้ว เกิดหลุมอุกกาบาตบาร์ริงเจอร์ ในทวีปอเมริกาเหนือ
- ปี พ.ศ.2441 อุกกาบาตระเบิดกลางอากาศ ทำให้ต้นไม้ในป่าทังกูสก้าในไซบีเรีย ล้มตายเป็นอาณาบริเวณกว้าง
- ปี พ.ศ.2539 มีการค้นพบอุกกาบาต ALH84001 ซึ่งเป็นสะเก็ดดาวอังคารตกลงบนแผ่นน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติก ภายในมีฟอสซิลจุลินทรีย์ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
ฝนดาวตก
ฝนดาวตกหมายถึง ปรากฏการณ์ท้องฟ้าที่น่าทึ่ง เมื่อดาวตกจำนวนมากพร้อมกันจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อดาวหางโคจรรอบดวงอาทิตย์และปล่อยออกอนุภาคเป็นทางยาวในวงโคจร เราเรียกว่า "ธารอุกกาบาต" (Meteor stream) ดาวหางที่ใหญ่และกำลังคุกรุ่นจะสร้างธารอุกกาบาตใหญ่ที่มีอนุภาคจำนวนมาก ในทางกลับกัน ดาวหางที่เล็กและเก่าแก่จะสร้างธารอุกกาบาตเล็กที่มีอนุภาคน้อยมาก
สิ่งสำคัญกับธารอุกกาบาตคือการป้องกัน
มีความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของดาวหางและผลกระทบที่เกิดขึ้นบนโลก ดาวหางบางดวง เช่น ดาวหางฮัลเลย์ มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลก ถ้าดาวหางผ่านมาพร้อมกับที่โลกโคจรเข้าไปพอไป ดาวหางจะชนโลกทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก ดังเมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว ฝุ่นและแก๊สที่เกิดจากการระเบิดจะปกคลุมพื้นผิวของโลกนานหลายเดือนและทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ ส่งผลให้ระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากโลกโคจรผ่านธารอุกกาบาตขณะที่ดาวหางผ่านไปเร็ว ฝนดาวตกจะมีจำนวนน้อยลงเพราะอนุภาคไม่มีเวลาเตรียมตัวเต็มที่ ดังนั้นการศึกษาและคาดการณ์ธารอุกกาบาตนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปรากฏการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อโลกในอนาคต
ฝนดาว เป็นปรากฏการณ์ทางฟ้าที่น่าทึ่งและน่าตื่นเต้นที่ผู้คนทั่วโลกเคยพบเห็นอย่างน้อยครั้งในชีวิต แต่ความรู้เกี่ยวกับมันอาจยังไม่ค่อยเข้าใจในระดับลึกลับมากนัก ในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับฝนดาวและวิธีการเรียกชื่อฝนดาวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนฟ้าโดยให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างฝนดาวและดาวตกทั่วไป คำว่า "ฝนดาว" นั้นอาจจะเป็นคำที่คุ้นเคยกันดี แต่มีความแตกต่างสำคัญจากดาวตกทั่วไป ดาวตกทั่วไปมักจะมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับฝนดาว โดยทั่วไปแล้ว ในแต่ละคืนเราอาจจะมองเห็นดาวตกไม่กี่ดวงเท่านั้น และดาวตกเหล่านี้ไม่ได้ตกลงมาจากจุดเดียวกันบนฟ้า คือมีดาวตกเราจะเห็นว่าแต่ละดาวตกลงมาในทิศทางที่แตกต่างกัน.
แต่ในกรณีของฝนดาวตก จะพบว่ามีการตกลงมาของดาวที่หลายดวงในคืนเดียว อาจมีสิบดวง หรือแม้กระทั่งหลายหมื่นดวง ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของธารอุกกาบาต (Meteoroid Stream) ที่เกี่ยวข้อง. เมื่อดาวตกแต่ละดวงตกลงมาจากฟ้า เราสามารถลากเส้นย้อนกลับไปยังทิศทางที่ดาวตกแต่ละดวงตกลงมา และจะพบว่าเส้นทางเหล่านี้จะตัดกันที่บริเวณบางแห่งบนฟ้า ส่วนบริเวณที่เส้นทางเหล่านี้ตัดกันก็ถือเป็น "เรเดียนท์" (Radiant).
นอกจากนี้ ฝนดาวตกยังมักถูกตั้งชื่อตามตำแหน่งของเรเดียนท์ในกลุ่มดาว ตัวอย่างเช่น ฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) มีเรเดียนท์อยู่ในกลุ่มดาวสิงห์โต (Leo), ฝนดาวตกเจมินิดส์ (Geminids) มีเรเดียนท์อยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ (Gemini), และฝนดาวตกโอไรออนิดส์ (Orionids) มีเรเดียนอยู่ในกลุ่มดาวนายพราน (Orion) ดังนั้น การตั้งชื่อของฝนดาวไม่เพียงแค่อ้างอิงถึงชื่อของดาวตกแต่ละดวง แต่ยังคำนึงถึงตำแหน่งของเรเดียนท์ในกลุ่มดาวด้วย เรื่องนี้ทำให้การตั้งชื่อเป็นสิ่งที่น่าสนใจและสื่อความหมายในทางทฤษฎีและทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย.
สรุป
ฝนดาวตกเกิดจากการดาวหางโคจรรอบดวงอาทิตย์และปล่อยออกอนุภาคเป็นทางยาวในวงโคจร ขนาดของดาวหางมีความสัมพันธ์กับจำนวนอนุภาคที่เกิดขึ้น การส่งผลกระทบบนโลกขึ้นอยู่กับการเข้าถึงของดาวหางและเวลาที่เกิดขึ้น การศึกษาและการคาดการณ์ธารอุกกาบาตเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันผลกระทบต่อโลกในอนาคต เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลกและการเตรียมความพร้อมในกรณีของฝนดาวตกที่อาจมีผลกระทบที่มากขึ้นในอนาคตที่ไม่ใช่เพียงแค่สถานการณ์ท้องฟ้าที่น่าทึ่งแต่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตบนโลกได้อย่างน่าสงสาร