สัญญาณบอกโรคซึมเศร้าภัยเงียบ ทำลายชีวิต
โรคซึมเศร้า โรคร้าย ภัยเงียบ ทำลายชีวิต
หลังจากที่โลกโซเชี่ยล กำลังโจมตีบุคคลหนึ่งอยู่ในขณะนี้ ซึ่งส่งผลให้บุคคลนั้นเครียดและมีหลายคนกลัวว่าบุคคลนั้้นจะเป็นโรคซึมเศร้าและลุกลามไปถึงการฆ่าตัวตาย วันนี้เราจึงจะมาทำความรู้จักกับโรคซึมเศร้า ที่จัดว่าเป็นภัยร้าย ภัยเงียบที่พรากชีวิตคนไปไม่น้อยเลยทีเดียว
โรคซึมเศร้าคือ
คนที่มีอาการเศร้าอยู่ตลอดเวลา รู้สึกว่าไม่มีความสุข ไม่อยากทำอะไร มีอาการทางกาย เช่น นอนไม่หลับ ทานอาหารไม่ได้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีความคิดไปทางลบ เช่นการโทษตัวเอง อยากตาย คิดหาวิธี และอาจจะลงมือฆ่าตัวตาย ซึ่งคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามีอัตราการฆ่าตัวตายถึง 20-30 % เลยทีเดียว
สัญญาณบอกโรคซึมเศร้า
- อารมณ์ซึมเศร้า หงุดหงิด ก้าวร้าว
- ขาดความสนใจในสิ่งรอบข้าง
- สมาธิเสีย คือ ไม่ค่อยมีสมาธิเวลาทำสิ่งต่าง ๆ
- รู้สึกอ่อนเพลีย
- เชื่องช้า ทำอะไรก็เชื่องช้าไปหมด
- รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลง
- นอนมากขึ้นหรือน้อยลง
- ตำหนิตัวเอง
- ฆ่าตัวตาย
ถ้าเริ่มมีอาการจำพวกนี้ไม่ควรปล่อยไว้นาน ควรพบแพทย์ในทันที
ในของส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ นั้นคือ
การที่สมองเรามีการเปลี่ยนแปลงปรับตัวตามสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากเรามีความเครียดในระยะเวลาที่ยาวนาน สมองก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงเซลล์ประสาท และทำให้สารสื่อประสาทต่าง ๆแปรปรวนไป ทำให้อารมณ์ของเราออกไปในลักษณะซึมเศร้า ซึ่งมีผลต่อตัวเราและสมองส่งผลให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้า
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางพันธุกรรม ที่ถ้าหากมีคนในครอบครัว เป็นโรคซึมเศร้า ตัวเราก็มีความเสี่ยง ส่วนคนที่ไม่มีความเสี่ยงด้านนี้อาจจะเกิดจากการเจอความเครียดที่หนักหนา รุนแรง เป็นยาวนาน ซึ่งแต่ละคนมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน
ซึ่งวิธีการรักษามี 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ
- การรักษาแบบจิตบำบัด เป็นการรักษาในลักษณะของการประคับประคอง คือการที่รับฟังผู้ป่วย เข้าใจถึงสาเหตุที่เครียด หรือ ทุกข์ของเขาว่าเกิดมาจากอะไร นอกจากนี้ยังการทำจิตบำบัดแบบลึก คือการให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจกับตัวเองว่าทำไมตัวเขาถึงคิดในเชิงลบ จนมีความเสี่ยง ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ป่วยบ่อย ๆ
- การรักษาโดยยา ซึ่งตัวยาจะไปปรับสารเคมีหรือส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ให้มันกลับมาอยู่ในระดับปกติ หรือปรับให้อารมณ์สมดุล ซึ่งได้ผลดี และเห็นผลเร็ว แต่ทั้งนี้ต้องเป็นยาที่ได้รับจากแพทย์เท่านั้น ห้ามผู้ป่วยหรือคนใกล้ตัวไปซื้อยาเอง เพราะยาด้านจิตเวช จะมีผลข้างเคียงเยอะ เช่น คลื่นไส้ปวดหัว เวียนหัว จนอาจทำให้คนไข้ที่ไม่รู้ไม่ยอมกินยาอีกเลย
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนใกล้ตัวของเรามีจุดเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า วิธีสังเกตง่าย ๆ
ให้ดูจากหน้าตาหรือพฤติกรรมของผู้ป่วย จากคนที่ยิ้มแย้ม จากที่สนุก จะเปลี่ยนเป็นเศร้า ดูเบื่ออาหาร ซูบผอมไป เรื่องของอารมณ์และความคิดที่มองด้านลบตลอดเวลา
วิธีรับมือเมื่อมีภาวะซึมเศร้า
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยกิจกรรมที่ชอบ หรืองานอดิเรกที่ชอบทำ
- พยายามพูดคุยกับคนใกล้ชิดหรือคนที่ไว้วางใจ แสดงความรู้สึกให้คนอื่นได้รับรู้ หลีกเลี่ยงการปิดบังความรู้สึก หรือเก็บกดความรู้สึก เพราะอาจทำให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลง
- ออกกำลังกาย 30-45 นาที อย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์
- ช่วงมีภาวะซึมเศร้าให้หลีกเลี่ยงการตัดสินใจเรื่องที่สำคัญๆ ในชีวิต เพราะเป็นช่วงที่ใช้ความคิดต่างๆ ได้ไม่ตรงความเป็นจริงอาจมีทัศนคติเชิงลบมากกว่าปกติ ที่ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ถูกต้อง
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์ (มีผลวิจัยในต่างประเทศว่า สุรา แอลกอฮอล์ มีผลให้ผู้มีภาวะซึมเศร้ามีอาการรุนแรงมากขึ้น เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากขึ้น)
การรักษาโรคซึมเศร้า
การรัก
ษาด้วยยา
- ปัจจุบันมียารักษาโรคซึมเศร้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพ ตามลักษณะเฉพาะของผู้มีภาวะซึมเศร้า โดยยาเหล่านี้จะทำหน้าที่ปรับสารสื่อประสาทที่ควบคุมเรื่องอารมณ์ในสมอง ให้กลับมาทำงานปกติ (มีการค้นพบว่าโรคซึมเศร้าเกิดจากสารสื่อประสาทในสมองบางตัวทำงานน้อยเกินไป ยาจึงไปช่วยปรับให้สารสื่อประสาทนี้กลับมาทำงานตามปกติ)
- ยารักษาโรคซึมเศร้าจะออกฤทธิ์ค่อนข้างช้า จะต้องทานต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ จึงจะเริ่มเห็นว่าอารมณ์แจ่มใส และมักต้องใช้เวลา 4-6 สัปดาห์ ยาจึงออกฤทธิ์เต็มที่
- เมื่ออาการเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ แพทย์จะแนะนำให้ทานยาต่ออีกอย่างน้อย 6 เดือน หรือนานกว่านั้น ตามลักษณะอาการผู้ป่วย
การรักษาด้วยวิธีจิตบำบัด
มักใช้วิธีนี้ในรายที่เป็นซึมเศร้าระดับน้อยๆ ที่ไม่รุนแรง หรือจิตแพทย์ประเมินแล้วว่ายังไม่รุนแรงถึงขั้นใช้ยา วิธีนี้ต้องใช้เวลานาน โอกาสสำเร็จจะต่ำกว่าวิธีการรักษาด้วยยา
บทบาทของญาติ
- ใส่ใจ ให้กำลังใจผู้ป่วย
- รับฟังความคิดผู้ป่วย เข้าใจในสภาวะความรู้สึกของผู้ที่เป็นซึมเศร้ามองว่าเป็นสิ่งที่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ไม่ควรคิดว่าโรคซึมเศร้าเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยเลือกจะเป็นเอง หรือมองว่าจะหายได้เองโดยไม่รักษา
- ในรายที่มีความเสี่ยงสูง มีความคิดฆ่าตัวตาย ญาติจะต้องดูแลใกล้ชิด 24 ชม. ไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวจนกว่าจิตแพทย์จะประเมินแล้วว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้น ความเสี่ยงลดลง พึงตระหนักว่าโรคซึมเศร้าและภาวะคิดฆ่าตัวตาย เป็นสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ว่าอาการจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไร สามารถเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเสี้ยววินาที จึงจำเป็นต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด ตลอดเวลาในช่วงที่ยังมีอาการ
อ้างอิงจาก: ข้อมูลจากhttps://thainakarin.co.th/deperssion-tnh/
https://www.rama.mahidol.ac.th/
รศ. ร.อ. นพ.ศิริไชย หงษ์สงวนศรี
สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิด