ถ้าอยากมีความสุข ควรเลิกนิสัยแบบนี้
หากเราพูดเรื่องของความสุขใคร ๆ ก็อยากมีความสุขกันทั้งนั้น แต่ความสุขก็เป็นสิ่งที่น่าแปลก ยิ่งเราพยายามตามหามันมากเท่าไหร่ มันยิ่งถอยห่างเราออกไปมากขึ้นเท่านั้น และบางครั้งนิสัยบางอย่างของตัวเราเอง ที่ทำให้ความสุขไม่เข้ามาหาเรา บทความนี้จะบอกว่า ถ้าเลิกทำนิสัย 10 อย่างนี้ แล้วชีวิตของคุณจะมีความสุขมากขึ้น
1. นิสัยที่อยากให้ทุกเรื่องในชีวิตเป็นตามที่ใจต้องการ
นี่คือนิสัยอันดับต้นๆที่ทำให้คนเรานั้นเป็นทุกข์ใจ หลายคนมาหัวเสียกับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ทำให้จมทุกข์ เครียด บั่นทอนจิตใจ แต่เราควรทำความเข้าใจไว้เสมอว่า ไม่มีคิดสิ่งใดเรื่องใดบนโลกนี้ที่จะมีความแน่นอนตามที่เราคิด คาดหวังหรือวางแผนไว้เสมอไป บางครั้งความล้มเหลวก็เกิดขึ้น บางครั้งเราก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ บางครั้งผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ได้เป็นตามที่เราต้องการทุกสิ่งจึงแปรเปลี่ยนได้เสมอ แทนที่เราจะด่าตัวเองเมื่อทำอะไรบางอย่างผิดพลาดไป หงุดหงิดเสียอารมณ์กับผลลัพธ์บางอย่างที่ไม่ตรงตามใจเรา แม้เราจะไม่อาจควบคุมผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้ แต่ตัวเราควบคุมวิธีการที่เรามองชีวิตได้ แทนที่เราจะโกรธและใช้อารมณ์ ลองหาบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่จะด่าหรือโทษตัวเอง ลองมองที่พัฒนาการและกล่าวชมตัวเองบ้าง แทนที่จะเคลือบแคลงสงสัยด้อยค่าตัวเอง จงมีศรัทธาในตัวเอง เปลี่ยนนิสัยที่อยากให้ทุกเรื่องในชีวิตเป็นตามที่ใจของเราต้องการ เปลี่ยนมันให้เป็นความเข้าใจธรรมชาติของชีวิต เรื่องบางเรื่อง ผลลัพธ์บางอย่างไม่เป็นตามที่เราหวังเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อๆไปเราจะทำให้ดีกว่าเดิมไม่ได้ เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นและ move on ให้ได้
2. คิดมากกับเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้
คนที่เป็นทุกข์มักจะชอบคิดมากกับเรื่องที่ตัวเองไม่สามารถไปควบคุมมันได้ หากมีปัญหาใดๆหรือเรื่องราวใดๆเกิดขึ้น ก็มักจะโวยวาย งอแง โทษนั่นโทษนี่ โทษโชคชะตาบ้าง โทษสถานการณ์บ้านเมืองบ้าง โทษคนอื่นบ้าง ทำให้ไม่สามารถโฟกัสวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยสติปัญญา และมันก็ทำให้ไม่มีความสุข ลองเปลี่ยนตัวเองใหม่ รู้จักมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเอง และตระหนักรู้เสมอว่าเรื่องใดบ้างที่เราควบคุมได้ และเรื่องใดบ้างที่เราควบคุมไม่ได้ ให้เรานั้นมุ่งความสนใจไปกับสิ่งที่เราควบคุมมันได้ อย่างเช่น ถ้ามีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ชีวิตของเราในด้านลบ แทนที่เราจะเก็บมาทุกข์เป็นกังวลกับความคิดของคนอื่น อยากให้คนอื่นมองเราใหม่ อยากให้คนอื่นนั้นคิดดีกับเรา ซึ่งเรื่องนี้เราไม่สามารถไปควบคุมหรือบอกให้ใครมาคิดดีกับตัวเราได้ จะดีกว่าไหม หากเราเลือกสนใจในสิ่งที่เราควบคุมได้ นั่นก็คือการกระทำ พฤติกรรมและการตอบสนองของเรา เสียงคนรอบข้างไม่สำคัญเท่ากับเสียงที่อยู่ภายในใจของเรา เราควบคุมการกระทำของคนอื่นไม่ได้ แต่เราควบคุมการกระทำของเราได้ พยายามอย่าคิดมากกับสิ่งที่ตนเองนั้นไม่มีอำนาจไปควบคุมมัน และใส่ใจสิ่งที่เราควบคุมได้ แล้วเราจะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น
3. ยึดติดกับสิ่งที่เคยเป็น
นิสัยนี้บั่นทอนความสุขของเราอย่างมาก อย่างเช่น บางคนเคยทำงานดำรงตำแหน่งใหญ่โต พอเกษียณอายุมาหรือออกจากงานมาก็ยังวางไม่ลง ยังยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำหรือเคยเป็น พออำนาจหายไป ไม่มีใครมาเห็นหัวเลย จึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่มีค่ากลายเป็นคนจมทุกข์ไปวันๆ แต่โลกความเป็นจริง หากเราใช้สติและมองมันอย่างเป็นกลาง ไม่มีสิ่งใดที่จีรังยั่งยืน เช่นเดียวกับคนที่ชอบทำอะไรแบบเดิมๆ เชื่อเรื่องเดิมๆ ไม่ยอมเปลี่ยนการกระทำและความคิดบ้าง ทั้งๆที่ความคิดของตัวเองนั้นมันใช้ไม่ได้ในยุคปัจจุบันแล้ว ความคิดของตัวเองนั้นอาจจะไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นลองใช้วิจารณญาณในการดำเนินชีวิต อย่ายึดติดกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว หากตอนนี้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปจงยอมรับและปรับตัวให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตมีความหมายกับเราเสมอ เริ่มปรับที่ใจของเรา ปล่อยวางเรื่องบางอย่างลงแล้วใจจะเป็นสุขมากขึ้น
4. ไม่เรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเอง
คนเราไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนย่อมเคยทำสิ่งที่แย่ สิ่งที่ผิดพลาด หรือสิ่งที่ล้มเหลวมาทั้งนั้น แต่เราหลายคนก็มักจะจมกับความผิดพลาดของตนเองจนก้าวไปต่อไม่ได้ จงรู้ไว้เสมอว่า การจมอยู่ความผิดพลาดของตนเองนั้นไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย ชีวิตของเราจะก้าวไปต่อข้างหน้าได้ ไม่ใช่แค่คนรอบข้างหรือใครก็ตามที่มอบโอกาสและให้อภัยกับเรา แต่ตัวเราเองต้องมอบโอกาส และเรียนรู้ที่จะให้ภัยตัวเองให้ได้ ให้อภัยตัวเองเห็นความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น ให้ถือว่าเป็นประสบการณ์ พอเราเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเองได้แล้ว ก็จงเรียนรู้สิ่งที่เรานั้นทำผิดพลาดด้วย สิ่งที่เราผิดพลาดในชีวิตคือครูที่จะสอนและเตือนใจของเรา เรียนรู้จากเรื่องเรื่องเหล่านั้นเพื่อให้ตัวเราเป็นคนในแบบที่ดีขึ้น
5. จมอยู่กับสถานะที่เราเป็น
สถานะที่เราเป็นในที่นี้อาจจะเป็นความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีโอกาส ความรู้สึกด้อยค่าตัวเอง หรือน้อยใจในชีวิตของตัวเอง เช่น ฉันเกิดมายากจนไม่เหมือนคนอื่นเขา ฉันเป็นลูกคนที่ล้มเหลวเรื่องครอบครัว ฉันเป็นคนตกงานไม่มีงานทำ ฉันทำงานเป็นแค่แรงงานต่ำต้อย ความรู้สึกแบบนี้จะกัดกินใจเราแทบทุกวัน อย่าปล่อยสถานะทางสังคมมากดชีวิตของเราไว้ ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นอย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าเราเลือกเป็นคนที่ดีขึ้นได้เสมอ เลือกเปลี่ยนชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้ หากเราต้องการและตั้งใจกับมันจริงๆ เลิกนิสัยเอาความคิดลบๆมาบั่นทอนจิตใจเรา เริ่มที่การคิดดีกับตัวเองแล้วเริ่มปรับวิถีชีวิตใหม่ให้เป็นคนที่ดีขึ้นได้และมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
6. อยู่เฉยๆไปวันๆ
มนุษย์เราหากอยู่เฉยๆไปวันๆ แม้จะร่ำรวยมีเงินทองมากมายก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่า บางคนถึงขั้นป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แทนที่เราจะปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ ลองตั้งใจให้ตนเองนั้นพัฒนาชีวิตในเรื่องใดก็ได้ ลองพาตัวเองไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ การที่เราได้ปล่อยให้ตัวเองได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ ได้ลงมือทำอะไรเพื่อผู้อื่นบ้างอาจจะทำให้ชีวิตของเรานั้นมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น แล้วเราก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้นด้วย
7. แก้ปัญหาด้วยการแสวงหาความสุขแบบชั่วคราว
บางครั้งที่คนเรามีปัญหาบางอย่างที่อยู่ภายในใจ แต่เราก็เลือกแก้ปัญหาโดยการแสวงหาความสุขแบบชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เช่นการดื่มเหล้า สังสรรค์ปาร์ตี้ไปวันๆ หนีเที่ยวออกจากโลกความจริงไปบ้าง แต่เราก็จะพบว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆเลย สุดท้ายปัญหาก็ยังอยู่และอาจจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นอย่าเป็นคนที่หลีกหนีปัญหาไปเติมเต็มความสุขแบบปลอมๆ หากมีปัญหาใดที่ค้างคาใจอยู่ จงเปิดใจและแก้ไข บางทีเราก็อาจจะพบว่ามันเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เราคาดคิด เพราะเมื่อเราหนีปัญหาเราก็จะคิดเยอะ คิดไปเรื่อย คิดฟุ้งซ่าน ลองเปลี่ยนตัวเองใหม่ ลองค้นหาทางออกของปัญหานั้นแล้วสู้ไปกับมัน อาจจะยากหน่อยในตอนแรก แต่มันจะไม่ยากเกินกำลังและความสามารถของเราแน่นอน
8. สนใจเรื่องของคนอื่นมากเกินไป
การสนใจเรื่องของคนอื่นในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายความว่า เราเป็นคนที่ชอบไปยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เป็นในลักษณะที่ว่า เราชอบเก็บเรื่องของคนอื่นมาคิดมากจนเกินพอดี จนลืมไปว่าเรากำลังเอาเรื่องของคนอื่น มาทำให้เราและคนรอบข้างทุกข์หปด้วย ซึ่งการใช้ชีวิตเราสามารถใส่ใจคนอื่นได้ แต่เราต้องพอประมาณอย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นทุกข์เกินเหตุ เราช่วยเขาได้เท่าที่เราช่วยได้ เพราะแต่ละคนย่อมมีปัญหาของตนเอง เราก็มีปัญหาของเรา เขาก็มีปัญหาของเขาเช่นกัน ดังนั้น อย่าเก็บเเรื่องของคนอื่นมาบั่นทอนชีวิตมากเกินไป
9. เป็นคนขี้กังวลกับความล้มเหลว
ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบและเป็นไปตามที่เราต้องการเสมอไป ในความล้มเหลวก็เช่นกัน มันเป็ฯเรื่องธรรมดาของชีวิต บางคนจะลงมือทำอะไรก็กลัวไปหมดจนพลาดโอกาสดีๆไป มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า หากเราปฏิเสธความล้มเหลว ก็เท่ากับปฏิเสธความสำเร็จ ความล้มเหลวก็คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ดังนั้น ลองกล้าที่จะล้มเหลวบ้างเพราะสิ่งนี้จะทำให้เรานั้นเติบโตขึ้น
10. รอคอยวันที่ทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยลงมือทำ
บางคนมีนิสัยแบบนี้ จะรอให้ทุกอย่างลงตัวหน่อย รอให้ทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยทำ แต่ความเป็นจริงแล้วคำว่าพร้อมไม่เคยมีอยู่จริง ดังนั้น สำหรับเรื่องบางเรื่องเราอาจจะไม่จำเป็นต้องรอให้พร้อม 100% ก็ลงมือทำได้แล้ว เพราะบางครั้งยิ่งรอก็ยิ่งไม่สบายใจและกดดันตัวเอง อย่าปล่อยให้เวลามันผ่านไปโดยที่เราเอาแต่รอว่าเมื่อไหร่เราจะพร้อม เราอาจจะเริ่มทำในสิ่งเล็กๆที่สำคัญและพอเป็นไปได้เสียก่อน สนใจในสิ่งที่เราทำได้ ณ ตอนนี้ค่อยๆลงมือทำเพื่อเก็บเกี่ยวความพร้อมไปในตัว เวลามันหมุนไปเรื่อยๆ เวลาไม่เคยรอให้เราพร้อม เวลาไม่เคยรอเราและตอนนี้ สิ่งที่เรามีก็คือเวลา ดังนั้นควรเริ่มที่จะทำตอนนี้เลย อย่าปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อยๆพร้อมๆกับโอกาสที่ค่อยๆหายไป จนเราไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้แล้ว