เรื่องเล่าหลอน : ลองของบ้านร้าง
สวัสดีกันอีกครั้งครับ วันนี้เรื่องเล่าหลอน ตอนที่ 2 ขอเสนอตอนว่า "ลองของ...บ้านร้าง..."
ก่อนอื่นก็ขอเล่าคร่าว ๆ ก่อนนะครับ เรื่องเล่านี้นานมากแล้วสมัยเรียนมัธยม ซึ่งผมเชื่อว่าหลาย ๆ
คน น่าจะมีช่วงวัยหนึ่งที่อยากรู้ อยากเห็น อยากลอง อยากหาคำตอบโดยเฉพาะเรื่องลึกลับ เรื่องที่หาคำตอบไม่ได้ เรื่องที่เรารู้ว่ามันน่ากลัว แต่เราก็ยังอยากเอาตัวเข้าประสบพบเจอบ่อยครั้ง...
โดยเรื่องนี้ครับเป็นเรื่องสมัยที่ผมเรียนในระดับมัธยมช่วงประมาณ ม.5-ม.6 ผมและกลุ่มเพื่อนซึ่งมีกันหลายคน ชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ เรื่องผี จนถึงขั้นไปเสาะหาสถานที่ที่ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามีวิญญาณ มีสิ่งลี้ลับมากมาย ซึ่งก็มีโอกาสได้พบเจอ และก็มีหลาย ๆ ครั้งก็ไม่เจอสิ่งใด
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเรียนอยู่ชั้น ม.6 วันหนึ่งเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่ง ได้เล่าให้ฟังในขณะที่ว่างจากคาบเรียนว่า ในอำเภอหนึ่ง ของจังหวัดที่ผมเรียนอยู่นั้น (ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ) มีคนเล่ากันว่าเมื่อประมาณ 2-3 เดือนก่อนมีคนตายที่บ้านหลังหนึ่ง ผู้ตายเป็นผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอด โดยในตอนเช้ามืด มีคนในระแวกผ่านมาที่หน้าบ้านดังกล่าว เขาเหลือบมองไปตรงหน้าต่างบ้านที่เปิดอยู่ แล้วพบผู้หญิงวัยประมาณ20-30 ปี ผูกคอตายที่ชั้นสองของบ้านจึงโทรแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาที่เกิดเหตุจึงพบว่าผู้หญิงคนดังกล่าวนั้นท้องได้ 5-6 เดือนแล้ว และทำการสืบสวนจนทราบว่าผู้หญิงคนดังกล่าว ตรอมใจที่ถูกคนรักทอดทิ้งไปมีคนใหม่ จึงตัดสินใจจบชีวิตลง โดยหลังเกิดเหตุสลดนี้ มีชาวบ้านที่เดินผ่านบ้านดังกล่าวในยามค่ำคืน ได้ยินเสียงคนร้องไห้คร่ำครวญบ่อยครั้ง สร้างความหวาดกลัวให้ผู้ที่ผ่านไปมา ผู้คนเล่าลือกันหนาผู้ จึงวัยรุ่นหลายกลุ่มไปลองของกันแทบทุกวัน บ้างก็บอกว่าเจอ บ้างก็บอกว่าไม่มีอะไรเลย เพื่อนผมจึงชวนผมและเพื่อนอีกกลุ่มนึงไปลองของกันในคืนวันเสาร์ที่จะถึงนี้ แต่เนื่องจากอำเภอดังกล่าวห่างจากตัวเมืองที่พวกผมอาศัยอยู่ราวๆ 30 กิโลเมตร จึงตัดสินใจกันว่าจะให้น้าของเพื่อนเป็นคนพาไป
โดยในวันที่นัดหมายผมและเพื่อนคนอื่น ๆ ราว ๆ 8 คน มารวมตัวกันที่บ้านเพื่อนคน ตอนเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า โดยน้าของเพื่อนขับรถกระบะพาไป เพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่จะนั่งในรถ ส่วนผมและพวกผู้ชายจะนั่งกระบะหลังกันไป เราใช้เวลาเดินทางราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่หมาย สิ่งที่ได้พบคือบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้สองชั้น มีรั้วหน้าบ้านห่างจากตัวบ้านประมาณ 10 เมตร บรรยากาศตอนนั้นเงียบมาก ด้วยเพราะเป็นชนบท สองข้างทางเต็มจึงเต็มไปด้วยต้นไม้สูง พวกผมพากันลงจากรถ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่พอมีความกล้าก็ชวนกันเดินไปที่ประตูรั้วบ้าน ผมและเพื่อนลงจากรถแล้วเดินไปด้วยกัน โดยมีเพื่อนอีก 2 คนที่เห็นบรรยากาศแล้วเกิดกลัวขึ้นมา น้าของเพื่อนที่ขับรถมาให้ก็เลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนบนรถ ผมและเพื่อนอีก 6 คน พากันเดินเข้าไปในบ้าน บรรยากาศตอนนั้นจำได้แม่นยำเลยว่าน่ากลัวมาก ๆ ขาสั่นเบา ๆ ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจก็อยากรู้ เพื่อนคนที่กล้าก็เดินนำหน้าไป ที่ประตูบ้านซึ่งเป็นประตูไม้แต่เป็นกลอนบิด เพื่อนผมเปิดประตูออกช้า ๆ ใจนี่เต้นรัวกันทุกคน พอเปิดประตูออก เพื่อนอีกคนก็หันมาบอกว่าอย่างเพิ่งเข้า จุดธูปขอขมาก่อน เพื่อนจริงหยิบธูปกับไฟแช็คมาจุดธูปให้คนละดอก และพากันไหว้ขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมชมบ้าน และปักธูปไว้บนพื้นดินหน้าบ้าน แล้วจึงพากันเดินเข้าไป... ในบ้านมืดสนิทไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทุกคนรู้สึกได้เหมือนกันคือ เย็นมาก เย็นจนขนลุก พวกเราพากันเดินสำรวจชั้นที่หนึ่งทั้งห้องแรกสุดที่ดูเหมือนจะเป็นห้องกว้าง ในห้องว่างเปล่าไม่มีของใด ๆ อยู่แล้ว จึงพากันสำรวจห้องต่าง ๆ ทั้งห้องที่เหมือนจะเป็นห้องครัว และห้องน้ำ แต่ก็ไม่พบเจอสิ่งใด คิดว่าตำรวจกับพวกญาติผู้ตายน่าจะเอาของออกไปหมดแล้ว จึงตัดสินใจขึ้นกันไปที่ชั้น 2 ของบ้านซึ่งเป็นจุดไคลแมกซ์ จึงตรงไปที่บันไดไม้ที่จะพาขึ้นไปชั้นสอง ตอนที่พากันเดินขึ้นไปก็ลุ้นว่าบนไดจะดังแอ๊ด แอ๊ดเหมือนในหนังหรือเปล่า แต่ก็ไม่ดัง เพราะบันไดค่อนข้างแข็งแรง น่าจะทำจากไม้ดี เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสองก็พากันเดินสำรวจจนทั่ว บนชั้นห้องมีห้องแยกออกเป็นสองห้องโดยทั้งสองห้องประตูเปิดไว้เห็นด้านใน พวกเราจึงพากันเดินสำรวจห้องแรกด้านหลังก่อน ในห้องว่างโล่งไม่มีสิ่งใดแล้วเหมือนเดิม มีเพียงคราบฝุ่นและบรรยากาศที่รู้สึกได้ว่าหนาวขึ้นกว่าชั้นล่าง จึงตัดสินใจลองไปสำรวจห้องด้านหน้าที่เป็นจึงที่เกิดการตายขึ้น พวกเราเดินเข้าไปแทบจะพร้อม ๆ กัน และมองไปด้านรอบที่ว่างเปล่า แต่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นหนาเตอะ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มหันมองไปด้านบนขื่อบ้านบริเวณที่คาดว่าจะเคยมีเชือกที่ใช้ผูกอยู่ เห็นเพียงรอยจาง ๆ เท่านั้น พวกเราจึงพากันสำรวจรอบ ๆ ห้องไม่พบอะไร แต่ก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิมคือ เย็นมาก เย็นจนหนาวสั่นได้เลย... ท้ายที่สุดจึงพากันเดินออกมาจากห้อง แล้วลงบันไดมาที่ชั้นล่าง ก่อนจะพากันออกจากประตูบ้าน โดยก่อนออกก็หันมองเข้าไปในบ้าน แล้วไหว้ขอขมาอีกครั้งจึงพากันขึ้นรถ พวกเราก็พากันขึ้นกระบะพร้อมใจที่สั่นระรัวไม่หยุด ขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวออกไปนั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตัวสั่นแรงมาก น้ำหูน้ำตาไหลพราก จึงหันไปถามว่าเป็นอะไร แต่มันก็ไม่ยอมตอบนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นไปตลอดทาง จนเดินทางกลับบ้าน จึงถามเพื่อนคนนี้อีกครั้ง มันจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนที่รถกำลังจะขับออกพ้นตัวบ้าน มันเหลือบไปมองที่หน้าต่างบ้านอีกครั้ง มันบอกพบผู้หญิงใส่ชุดสีแดงยืนมองจากตรงหน้าต่างชั้นสอง ดวงตาสีแดงกล่ำ... วันรุ่งขึ้นจึงพากันไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลและขอขมาที่วัดกันทั้งกลุ่ม...