โศกนาฏกรรมเมื่อกองทัพอังกฤษปลดปล่อยค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซินของนาซีในปี 2488
ค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซินก่อตั้งขึ้นโดยกองทัพเยอรมันในปี พ.ศ. 2483 ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเบอร์เกนและเบลเซิน ห่างจากเซลเลอ ประเทศเยอรมนีไปทางเหนือประมาณ 11 ไมล์ ค่ายกักกันประกอบด้วยค่ายหลายแห่งที่จัดตั้งขึ้นในเวลาต่างกัน ค่ายหลักสามแห่งคือค่ายเชลยศึก "ค่ายที่อยู่อาศัย" และค่าย "เชลย" ก่อนปี 1943 เบอร์เกน-เบลเซินเป็นเพียงค่ายกักกันเชลยศึก ตลอดประวัติศาสตร์ ค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซนเป็นที่กักขังชาวยิว เชลยศึก นักโทษการเมือง ชาวโรมานี (ยิปซี) อาชญากร และคนรักร่วมเพศ
การปลดปล่อยค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซิน:
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2488 กองทัพอังกฤษได้ปลดปล่อยค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซิน กองทัพอังกฤษพบนักโทษประมาณ 60,000 คนในค่าย ซึ่งส่วนใหญ่ป่วยหนัก ศพนับพันกองอยู่บนพื้นในค่ายโดยไม่ได้ฝัง หลังการปลดปล่อย นักโทษมากกว่า 13,000 คนเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยหนัก
กองทัพอังกฤษเข้าเคลียร์ค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซินและเผาทำลายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้รากสาดใหญ่ ตลอดประวัติศาสตร์ของค่ายกักกันมีผู้เสียชีวิตประมาณ 50,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวยิว หลังการปลดปล่อย หน่วยงานที่ยึดครองอังกฤษได้สร้างค่ายกักกันในบริเวณใกล้เคียงเพื่อรองรับผู้รอดชีวิตกว่า 12,000 คนที่ไม่มีที่อยู่อาศัย
ภาพที่น่าสลดใจของการปลดปล่อย:
ค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซินเป็นสถานที่สยองขวัญและโศกนาฏกรรมที่คาดไม่ถึง ภาพของค่ายหลังจากการปลดปล่อยโดยกองทัพอังกฤษเป็นข้อพิสูจน์ถึงความโหดร้ายที่กระทำโดยพวกนาซี ภาพแสดงให้เห็นกองศพ นักโทษที่ผอมแห้ง และสภาพที่น่าสยดสยองที่พวกเขาถูกขังไว้
ในปี 2021 NetEase ได้ตีพิมพ์บทความที่รวมภาพที่น่าสลดใจของค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซินหลังจากการปลดปล่อยโดยกองทัพอังกฤษ บทความอธิบายว่าค่ายนี้ก่อตั้งขึ้นโดยนาซีเยอรมนีในโลเวอร์แซกโซนี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างไร ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 1943 ถึง 1945 มีผู้เสียชีวิตประมาณ 50,000 คนในค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซิน รวมทั้งแอนน์ แฟรงค์ คนตายส่วนใหญ่เป็นชาวยิว
การปลดปล่อยค่ายกักกันเบอร์เกน-เบลเซินโดยกองทัพอังกฤษในปี 2488 เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ภาพของค่ายหลังการปลดปล่อยเป็นเครื่องเตือนใจที่ชัดเจนถึงความโหดร้ายที่กระทำโดยพวกนาซี การค้นพบค่ายของกองทัพอังกฤษและความน่าสะพรึงกลัวที่มีอยู่ช่วยให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สิ้นสุดลงและนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม