ตรอกรักปั๋นใจ๋ ตอนที่ 6
ตอนที่ 6
สายบัวยืนมองเพื่อนรักทั้งสอง ที่ยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงผลัดตบตีกันจ้าละหวั่น ผมเผ้าต่างยุ่งเหยิงไม่เป็นรูปทรง นกยูงตัวใหญ่กว่าขึ้นคร่อมอยู่บนร่างอันบอบบางของซ่อนกลิ่น หล่อนใช้มือซ้ายกดมือสองข้างของซ่อนกลิ่นไว้แน่นจนดิ้นไม่หลุด ส่วนมือขวาก็ตบตีเต็มแรงไปที่ใบหน้ารูปงาม
ของซ่อนกลิ่นซ้ายทีขวาทีเสียงดังเหมือนกัน
“เพี้ยะ!”
ซ่อนกลิ่นดิ้นรนจนหลุด แล้วโต้ตอบกลับไปบ้างเสียงดังเช่นกัน “ผัวะ!”
“หยุด….หยุดกันเสียที….หยุดกันได้แล้วพวกเธอ” สายบัวเข้าไปห้ามเพื่อนรักทั้งสองที่กำลังตบตีกันอย่างเมามัน จนตนเองพลอยถูกลูกหลงโดนตบไปกับเขาด้วยจากฝ่ามือของนกยูง และโดนเหวี่ยง
กระเด็นไปปะทะกับบรรดาไทยมุงที่ยืนดูอยู่ แล้วเซถลาล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นอย่างไม่เป็นท่า
ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั้น เสียงหนึ่งร้องห้ามดังกังวานฟังชัด
“หยุด....หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะน้องนกยูง” ได้ผลอย่างทันตาเห็น นกยูงยกฝ่ามือขวาชะงักค้างไว้
เพราะหล่อนจำเสียงอันกังวานเสนาะหูของนายหมงได้ถนัดถนี่
“พี่หมง!” นกยูงอุทานอ้าปากค้างอย่างลืมตัวแล้วค่อยๆ ลดฝ่ามือขวาลง เมื่อได้สติจึงรีบลุกขึ้นจากที่นั่งทับร่างของซ่อนกลิ่นไว้ พลางทำเป็นปัดเสื้อผ้า และผมเผ้าให้ดูเรียบร้อยเพื่อแก้เขิน
“ทำอะไรกัน ทำไมไม่อายชาวบ้านชาวช่องเค้าบ้าง” นายหมงตำหนิเสียงดังลั่น ยืนมองอย่างไม่พอใจ
“ก็อีนังซ่อนกลิ่นนะสิพี่ มันมาหาเรื่องนกยูงก่อนนกยูงนับหนึ่งถึงร้อย จนอดทนไม่ไหวก็เลยต่อว่ามันไปนิดหน่อย แต่ที่ไหนได้มันกลับมาด่าและตบตีนกยูง ดูสิเนื้อตัวของนกยูงเขียวช้ำไปหมดทั้งตัวแล้ว” นกยูงกล่าวเท็จแก้ตัวพัลวัน เพื่อขอความสงสารและความเห็นใจจากชายที่ตนเอง
แอบหลงรัก พลางเสแสร้งแกล้งเดินขากระเผลกเข้าไปหานายหมงที่ยืนกอดอกนิ่ง ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“อีตอแหล....หล่อนนี่ยังมีหน้ามาพูดปดมดเท็จอีก ไม่นึกอายปากบ้างรึไง ใครกันแน่ที่เป็นคน
เริ่มมาหาเรื่องกันก่อน นี่ดีนะ ถ้าฉันไม่มาช่วยสายบัว ป่านนี้สายบัวคงจะย่อยยับป่นปี้ไม่เหลือ
ชิ้นดีเป็นแน่” คำพูดของซ่อนกลิ่นกลับยิ่งทำให้นกยูงเกิดอารมณ์โกรธยิ่งขึ้น เพราะซ่อนกลิ่นพูด
ความจริงทั้งสิ้นจนหมดเปลือก นายหมงเดินเข้าไปพยุงตัวสายบัวให้ลุกขึ้น พลางประคองกอด
จนผู้คนในที่เกิดเหตุเห็นกันเป็นสายตาเดียวกันอย่างเข้าใจ นกยูงยืนเท้าสะเอว มองเหตุการณ์ด้วยสายตาชิงชังอิจฉาริษยา ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นใจผู้เป็นเพื่อน หล่อนเดินเร็วเข้าไปชนสายบัว
ให้คลายออกจากวงแขนอันกำยำของนายหมง แต่ตนเองกลับกระเด็นออกมา เพราะนายหมง
ใช้ลำตัวที่สูงใหญ่กำยำล้ำสันเป็นกันชนให้สายบัวหญิงคนรัก นกยูงกระเด็นล้มลงก้นจ้ำเบ้าก่อนแหกปากร้องอุทานเสียงดังลั่น
“ว้าย!....”
46
“จำไว้นะ ต่อไปอย่ามารังแกแฟนพี่อีก ถ้าไม่เชื่อกันก็อย่ามาหาว่าพี่ใจดำ” นายหมงกล่าววาจาเสียงแข็ง
ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จนเป็นที่น่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็น
“กรี๊ด....กรี๊ด....ไม่จริง….ไม่จริง” นกยูงกรีดร้องแล้วดีดดิ้นอยู่บนพื้นอย่างไม่อายสายตาใครๆ
จนไทยมุงแตกกระจายปล่อยให้นกยูงกรีดร้องอยู่กลางตลาดสดแต่เพียงคนเดียว นายหมงประคอง
สายบัวเดินออกไปจากตลาดสดกลางชุมชุนตรอกบ้านจีน โดยมีนางยุพินและซ่อนกลิ่นเดินตามออกไปด้วย จนมาถึงบ้านที่ชุมชนบ้านเชียงทอง ทั้งสองเดินคลอเคลียประคองกอดอย่างมีความสุข
จนลืมนึกไปว่ายังมีสายตาอีกสองคู่ที่จับจ้องมองตามหลังอยู่ เมื่อมาถึงบ้านของสายบัวก็รู้ว่า
ปลอดภัยดีแล้ว ก็คิดว่าจะกล่าวคำร่ำลาก่อนจากแต่ในใจกลับคิดเช่นนั้นไม่
“อ้าว....พ่อเลี้ยงหมงจะกลับแล้วรึ ไม่ขึ้นเรือนกันก่อนละจ๊ะ?” นางยุพินร้องชวนเหมือนรู้ใจ เพราะรู้ว่า
นายหมงหลงรักลูกสาวของตน และดูเหมือนว่าลูกสาวของตนก็หลงรักนายหมงมิใช่น้อยเช่นกัน
จึงแอบเชียร์อยู่ในใจ อยากได้นายหมงมาเป็นลูกเขย อย่างน้อยหนี้สินที่เคยหยิบยืนมาจะได้หมดกันไป
“เอ่อ....ครับ” นายหมงขานรับพร้อมยิ้มสุขใจใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
และเมื่อทุกคนอยู่บนเรือนไม้ทรงไทยชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง ที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง บ่งบอกถึง
ความมีฐานะของเจ้าของเรือนไม้ ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นและเป็นสุข โดยเฉพาะนางยุพิน
“เชิญนั่งตามสบายเถอะพ่อเลี้ยงหมง….เอ้า….สายบัวไปเตรียมน้ำเตรียมท่าให้พ่อเลี้ยงหมงดื่มก่อนสิลูก เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมอาหารกลางวันก่อน ถ้าพ่อเอ็งกลับมาจากคอกม้าจะได้กินข้าวเที่ยงพร้อมกัน”
“จ้ะ แม่” สายบัวขานรับด้วยใจยินดีปรีดา แล้วผละเดินเข้าไปในครัวปฏิบัติตามที่ผู้เป็นมารดาบัญชา
“ไปเร็วซ่อนกลิ่น ไปช่วยแม่ในครัวดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันเที่ยง”
“จ้ะ แม่” ซ่อนกลิ่นตอบรับ พลางเดินตามมารดาเพื่อนรักคนสนิทเข้าไปในครัว พอดีสายบัวเดินสวน
ออกมาจากครัว พร้อมขันเงินที่ใส่น้ำฝนใสเย็นช่ำจนเกือบเต็ม สองสาวส่งสายตาให้กันด้วยรอยยิ้มสวย
ที่มุมปาก แบบมีเลศนัยเหมือนรู้ใจซึ่งกันและกันลมเย็นพัดมาสัมผัสผิวกายนายหมงให้รู้สึกเย็นกาย
สบายใจ แต่สุขใดไม่มีอะไรสุขใจเท่ากับหญิงคนรักเดินนวยนาดถือขันน้ำฝนเข้ามาให้ตน วันนี้พึ่ง
มีโอกาสสังเกตเห็นความงามของสายบัวได้อย่างถนัดถนี่ ผมยาวสลวยดำขลับแผ่พลิ้วสยายออก
เมื่อยามต้องลมที่พัดมาสัมผัส ทำให้มองเห็นรูปหน้าเรียวงามที่รับกับหน้าผากโหนกนูนขาวเนียน
โดยมีขนคิ้วดกดำเรียงเป็นระเบียบเรียวโค้งคล้ายคันศร รับกับสันจมูกที่โด่งได้รูป ยามส่งยิ้มหวานให้
จากเรียวปากอิ่มเอิบสีชมพูสดใส ช่างเป็นรอยยิ้มที่เย้ายวนน่าจุมพิตยิ่งนัก บวกกับสายตาที่มอง
มาจากดวงตาคู่งามดุจตากวางของเธอ ส่งแววตาหยาดเยิ้มเปล่งประกายเสน่ห์ยั่วยวนเหมือนต้อง
มนต์สะกด ทำให้นายหมงหลงรักจนหมดหัวใจสายบัวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นตรงข้าม พลางยื่นขันน้ำฝน
ที่เย็นช่ำให้นายหมง และเมื่อได้โอกาสจึงใช้ฝ่ามือแกร่งอันแข็งแรงทั้งสองประกบเรียวมืองามอัน
นุ่มนวลไว้แน่น อนุภาพความรักและความอบอุ่นอันบริสุทธิ์ใจของคนทั้งสอง สามารถถ่ายทอดได้
47
จากการสัมผัสฝ่ามือที่ประกบกันไว้อยู่นานพอสมควร แววตาอันเฉียดคมของนายหมงจ้องมองสายบัวราวกับราชสีห์กำลังจะตะคลุบเหยื่อที่บอบบางอยู่ตรงหน้า จนเธอเขินอายแสดงออกที่
ใบหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันทีจนเห็นได้ชัด และทันใดนั้นเสียงหนึ่งร้องทักขึ้นว่า
“อ้าว ท่านพ่อเลี้ยงหมงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”นายโปรยหยุดอยู่ตรงบันไดก่อนขั้นสุดท้าย
เพราะเห็นเหตุการณ์พอดี จากนั้นก้าวขึ้นเรือนไม้ทรงไทยเพื่อร่วมวงสนทนาด้วย
“เอ่อ....อาโปรย” นายหมงอุทานด้วยความเขินอาย ส่วนสายบัวรีบดึงเรียวมืองามกลับแทบไม่ทันแล้วทรุดตัวลงนั่งพับเพียบเรียบร้อย ก่อนอุทานเสียงหลงออกมาเบาๆ
“พ่อ!....”
นายหมงแก้เขินด้วยการดื่มน้ำฝนก่อนตอบคำถามว่า
“มาได้สักพักแล้วครับอาโปรย พอดีมาส่งอายุพินกับน้องสายบัวกลับบ้าน เพราะเมื่อเช้าเกิดไป
มีเรื่องทะเลาะกับน้องนกยูงที่ตลาดสด”
“อ้าว มีเรื่องอะไรกันอีกล่ะสาวๆ พวกนี้ เป็นสาวเป็นแส้ไม่รู้จักอับอายคนอื่นเค้าบ้าง ทะเลาะเบาะแว้กัน
เหมือนยังกับเป็นเด็กๆ”
นายโปรยแกล้งบ่นพึมพำ เพราะรู้สาเหตุที่แท้จริงหมดแล้ว แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อมีเจ้านาย
รูปหล่อ แถมร่ำรวยเป็นเศรษฐีพ่อค้าไม้รายใหญ่ที่สุดในจังหวัดตากอีกต่างหาก สาวๆ หน้าไหนจะ
ไม่หวังพิชิตหัวใจชายหนุ่มผู้นี้ให้ได้
“แต่พวกหนูไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นก่อนนะพ่อ โน่น….นังนกยูงโน้นเป็นคนเริ่มก่อเรื่องขึ้นก่อน”ซ่อนกลิ่นอธิบายเหตุผล พร้อมถือสำรับอาหารมาวางตรงกลางวงสนทนา
“จะเป็นใครก็ช่าง แต่พวกเอ็งเป็นผู้หญิง ผู้หญิงต้องสำรวม มีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย
และต้องรักนวลสงวนตัวให้สมกับเป็นกุลสตรีไม่ใช่เป็นแม่ม้าดีดกะโหลกเหมือนอย่างพวกเอ็ง”
นายโปรยพูดเหมือนกระทบให้ใครบางคนได้ยินที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดสำรับอาหารอยู่เงียบๆ
“กินข้าวกันเถอะ พ่อเลี้ยงหมงคงจะหิวข้าวแล้ว เอ้า….สายบัวตักข้าวสิลูก” นางยุพินรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่อง
“เที่ยงนี้รีบไปหน่อย ทำได้แค่เพียงแกงแคไก่บ้าน ไข่ต้ม น้ำพริกตาแดง และหน่อไม้ลวกกับผักสด
ริมรั้วข้างบ้านนะจ๊ะพ่อเลี้ยงหมง”
“แค่นี้ก็มากมายถมถืดแล้วครับ น่ากินทั้งนั้น”แล้วทั้งหมดก็ร่วมลงมือกินอาหารเที่ยงกันไปพูดคุยกันไปอย่างเพลิดเพลินและเจริญอาหาร แต่สำหรับนายหมงกับสายบัวได้มากกว่านั้น เพราะอิ่มทั้งท้องและอิ่มทั้งใจ อย่างมีความสุขยิ่งนัก
แกงแคไก่บ้านเป็นอาหารพื้นบ้าน ที่เป็นสุดยอดรวมพืชผักสวนครัวที่มีสรรพคุณเป็นสมุนไพร
อันอุดมไปด้วยผักสดชนิดต่างๆ ในแต่ละท้องถิ่น ได้แก่ ผักตำลึง ผักชีฝรั่ง ผักขี้หูด ผักชะอม ผักเผ็ด
ถั่วพู ถั่วฝักยาว มะเขือพวง มะเขือเปราะ ใบชะพลู ใบมะกรูด ใบพริก เห็ดลมอ่อน ดอกแคดอกงิ้วแห้ง
48
ดอกข่า ยอดมะพร้าวอ่อนซอย หน่อไม้ต้ม และมะแขว่น ส่วนเครื่องแกงจะประกอบไปด้วยพริกขี้หนูแห้ง กระเทียม หอมแดง ตะไคร้ซอย ข่าหั่นละเอียด รากผักชีซอยละเอียด กะปิ ปลาร้าต้มสุก และเกลือป่น
“ดีเหมือนกันได้มีโอกาสเจออาโปรย เพราะว่าอาทิตย์หน้าจะให้ขนสินค้าขึ้นแม่สอดอยู่พอดี”
“ได้เลยครับเจ้านาย” นายโปรยน้อมรับยินดี
“ครั้งนี้คงไปสักสองเดือน เพราะต้องไปดูงานที่ปางไม้ด้วย” นายหมงพูดหลังจากวางช้อนในจานข้าว
ของตนเอง แล้วดื่มน้ำฝนที่ลอยดอกมะลิส่งกลิ่นหอมชื่นใจ ก่อนพูดต่อว่า
“และกลับมาจากแม่สอดคราวนี้ หลังวันตรุษจีนผมจะให้เตี่ยกับแม่มาสู่ขอน้องสายบัวแต่งงาน”
ว่าพลางมองหน้าคนรักด้วยความพิศวาส ทุกคนในวงสนทนานิ่งงันไม่โต้ตอบอะไร เหมือนหยุด
หายใจไปชั่วขณะ ยิ่งสายบัวยิ่งแล้วได้แต่ล้มหน้าเงียบงัน แต่ในใจกลับตื่นเต้นและตื้นตันใจเป็นที่สุด
“ผมคิดว่าอาโปรยกับอายุพินคงจะไม่ขัดข้องนะครับ” นายหมงถามเหมือนขอความคิดเห็น
“ทุกสิ่งทุกอย่างก็สุดแล้วแต่พ่อเลี้ยงหมงเถอะจ้ะ อะไรที่พ่อเลี้ยงหมงเห็นว่าดี ว่างาม และเหมาะสม
ทางเราก็ไม่ขัดข้องอะไรทั้งนั้นหรอกจ้ะ” นางยุพินตอบแทนทุกคน ในฐานะผู้เป็นใหญ่ในบ้าน
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” นายหมงว่าพลางส่งยิ้มหวานให้หญิงคนรัก พร้อมส่งประกายตาแวววาว
บ่งบอกถึงความรักด้วยใจบริสุทธิ์
เมื่อนายหมงกลับไปได้สักพักใหญ่ นายโปรยปรึกษาหารือกับศรีภรรยาเรื่องอีกสองเดือน
ข้างหน้าที่นายหมงจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอลูกสาวตนแต่งงาน
“มันจะดีรึแม่มึง ข้าว่ามันจะเร็วไปนะ” น้ำเสียงนายโปรยมีความกังวลในใจ
“ทำไม....จะเร็วหรือช้า ก็ต้องแต่งกันวันยังค่ำ”นางยุพินรีบพูดตัดบท แสดงความเป็นใหญ่ในบ้าน
เพราะในใจคิดยินดีปรีดาที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ตนเองได้วางเอาไว้
“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่เรายังไม่ได้ถามไถ่สายบัวกันเลยนะ อยู่ๆ จะตกปากรับคำเค้าไป มันดูเหมือนว่าเราจะบังคับลูกไปรึเปล่าแม่มึง”
“โอ๊ย....บังคงบังคับอะไรกัน เค้ารักลูกเรา ลูกรักก็รักเค้า ก็รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่ และถ้ากลัวว่าจะเป็น
การบังคับลูก โน่น….สายบัวเดินมาโน้นแล้ว”นางยุพินว่าพลางชี้นิ้วไปทางสายบัว ที่เดินเคียงคู่มากับ
ซ่อนกลิ่นจากห้องครัว ทั้งสองสาวทรุดกายนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นบิดามารดา พลางแลเห็นสีหน้าของบิดาผู้ให้กำเนิดที่ไม่ค่อยสู้จะดีนัก จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“เป็นอะไรไปพ่อ หน้าตาดูเหมือนไม่ค่อยจะสบาย มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
“จะมีอะไรเสียอีกล่ะ กลัวจะได้เจ้านายเป็นลูกเขย” นางยุพินชิงตอบ แถมค้อนให้วงใหญ่
“แม่มึงก็ว่าไปเรื่อย ข้าไม่ได้กลัวอะไรถึงขนาดนั้น แต่ข้าเป็นห่วงสายบัว กลัวว่าสายบัวจะฝันค้าง”
“ฝันคงฝันค้างอะไร แล้วทำไมจะต้องฝันค้างด้วย” นางยุพินถามอย่างไม่ค่อยจะพอใจในคำกล่าวของสามี
“คือว่า….เมื่อคราวที่แล้วที่ข้าขนสินค้าขึ้นไปแม่สอด ข้าได้ยินคนงานมันคุยกันหนาหูว่า เถ้าแก่ซ้ง
49
กำลังจะไปทาบทามคุณกิมลั้งลูกสาวของเถ้าแก่สิงห์ มาแต่งงานกับท่านพ่อเลี้ยงหมง ข้าว่าถึงยังไงเสีย
พวกเค้าก็ต้องการที่จะได้ลูกสะใภ้ที่เป็นคนจีนเหมือนกัน”
สายบัวนั่งฟังนิ่งเงียบ ไม่กล้ากล่าวอะไรให้สะเทือนใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่ มือและเท้าเริ่มเย็นชาทำอะไรไม่ถูก สีหน้าซีดเผือดลง เพราะตกใจกับคำบอกเล่าของผู้เป็นบิดา ที่เล่าข่าวลือให้ฟัง
แต่ถึงยังไงค่ำคืนนี้ จะต้องคาดคั่นเอาความจริงจากปากพี่หมงให้รู้เรื่องจงได้
“น้องสายบัวไปคอยพี่ที่ท่าน้ำวัดน้ำหักนะจ๊ะ พี่จะไปคอยนะจ๊ะที่รัก” นายหมงแอบกระซิบข้างหู
สายบัวก่อนจากเมื่อตอนบ่าย
“แต่พี่หมงเค้ารักสายบัวจริงๆ นะจ๊ะพ่อโปรย แม่ยุพิน” ซ่อนกลิ่นกล่าวเสริม พลางบีบมือนุ่มนวลเหมือนช่วยปลอบโยน และให้กำลังใจเพื่อนรักก่อนว่าต่อ
“ถ้าพี่หมงไม่รักสายบัวจริง คงไม่ให้เตี่ยกับแม่มาสู่ขอสายบัวแต่งงานหรอกจ้ะ หนูเชื่อว่าพี่หมงรักสายบัวจริงๆ” ซ่อนกลิ่นกล่าวยืนยันให้กำลังใจอีกครั้ง
“แล้วเอ็งล่ะสายบัว เอ็งคิดว่าเช่นไร” นายโปรยตั้งคำถาม
“หนู….หนูมีความเชื่อมั่นในความรักของพี่หมงที่มีให้กับหนู หนูถึงยินดีที่จะแต่งงานกับพี่เค้าจ้ะพ่อ”
สายบัวตอบด้วยแววตาสดใส ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“อืม….เอาล่ะ ถ้าเอ็งมีความเชื่อมั่นในความรักของเค้า และตกปากรับคำยินดีที่จะแต่งงานกับเค้า
ข้าก็ห้ามอะไรเอ็งไม่ได้หรอก เพราะเรื่องอย่างนี้ เจ้าตัวจะต้องยินยอมพร้อมใจเอง” นายโปรยเอ่ยอย่างคลายกังวล
“จ้ะ พ่อ” สายบัวตอบรับผู้เป็นบิดาด้วยความหนักแน่น และมั่นใจในความรักที่นายหมงมีให้แก่ตน
“ที่พ่อถามเอ็งก็ไม่ใช่อะไรหรอกลูก เพราะขึ้นแม่สอดครั้งนี้พ่อเกรงว่า ถ้าท่านพ่อเลี้ยงหมงซักถาม
อะไรพ่อ พ่อจะได้ตอบยืนยันแทนให้ได้”
“จ้ะ พ่อ”
ย่ำค่ำ ณ ศาลาท่าน้ำวัดน้ำหัก ผู้คนไม่พลุกพล่านสักเท่าไหร่แล้ว นายหมงยืนชะเง้อชะแง้
มองหาหญิงคนรักอย่างใจจดใจจ่อ ชั่วโมงนี้การรอคอยมันช่างทรมานจิตใจโดยแท้ ผุดลุกผุดนั่ง
คอยไปได้สักประเดี๋ยวเดียว สายบัวเดินเคียงคู่มากับซ่อนกลิ่นอย่างร้อนรน แล้วทั้งสองต่างผวาเข้า
สวมกอดกันกลม ต่อหน้าเพื่อนรักอย่างไม่อายสายตา
“พี่คิดถึงน้องสายบัวแทบใจจะขาดเลยจ้ะ” ว่าพลางยื่นปลายจมูกจะหอมแก้มนวลปรางอันหอมกรุ่น
ของหญิงคนรัก แต่สายบัวใช้เรียวมืองามปัดป้องออกอย่างเขินอายแล้วว่า
“อายซ่อนกลิ่นบ้างสิจ๊ะพี่หมง”
“จะอายไปทำไมกัน น้องซ่อนกลิ่นก็รู้ว่าพี่รักน้องสายบัวมากแค่ไหน”
“จ้า….” ซ่อนกลิ่นขานรับลากเสียงยาวอย่างนึกขำ แล้วกล่าวต่อว่า
50
“อ้าว จะพลอดรักกัน จะทำอะไรกัน ก็รีบๆ ทำเข้า พวกฉันโกหกพ่อเปรยกับแม่ยุพินว่า จะให้สายบัว
มาส่งฉันกลับบ้าน” ซ่อนกลิ่นร้องบอกอย่างนึกหมั่นไส้ฝ่ายชาย พลางค้อนให้วงเล็กๆ
“จ้ะ….จ้ะ….แม่คุณทูนหัว” นายหมงขานรับใบหน้ายิ้มระรื่น แล้วทั้งสองเดินเคลียคลอมานั่งตรงศาลาท่าน้ำวัดน้ำหัก โดยมีซ่อนกลิ่นคอยดูต้นทางให้ เพราะเกรงว่านกยูงจะมาเห็นและอาวะวาดอีก
“เมื่อตอนบ่ายหลังจากที่พี่หมงกลับไปแล้ว พ่อเรียกน้องมาคุย เรื่องที่พี่หมงจะให้เตี่ยกับแม่มาสู่
ขอน้องแต่งงาน”
“แล้วอาโปรยว่ายังไงบ้างล่ะ”
“พ่อว่าก็แล้วแต่น้องจ้ะ เพราะพ่อกับแม่รู้ว่าเราสองคนรักกัน แต่….”สายบัวไม่พูดต่อกลับเงียบงันไป
“แต่….อะไรจ๊ะ” นายหมงถามอย่างสงสัย
“เห็น….เห็นพ่อบอกว่า เตี่ยกับแม่ของพี่หมง จะไปทาบทามกิมลั้งลูกสาวของเถ้าแก่สิงห์ให้มาแต่งงานกับพี่”
“ใช่ มันเป็นความจริง พี่ไม่โกหกน้องสายบัวหรอก แต่พี่ได้พูดเรื่องนี้กับเตี่ยและแม่แล้วว่า พี่มีผู้หญิง
ที่ถูกตาต้องใจ และต้องการที่จะแต่งงานด้วยแล้ว”
“แล้วท่านทั้งสองยอมรึจ๊ะ”
“จะยอมหรือไม่ยอม พี่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และพี่ได้ประกาศไปแล้วว่า ผู้หญิงที่พี่จะแต่งงานด้วย
ต้องเป็นน้องสายบัวคนเดียวเท่านั้น” นายหมงบอกกล่าวยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อสร้างความมั่นใจ
ให้กับหญิงคนรัก ที่มองมายังเขาด้วยแววตาปลื้มปริ่มจนเห็นได้ชัด
“พี่หมง!” สายบัวอุทานด้วยอาการตกใจปนความตื้นตันใจเป็นที่สุด
“พี่รักน้องสายบัวนะจ๊ะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงพี่ก็จะแต่งงานกับน้องสายบัวคนเดียว” นายหมงว่า
พลางโอบกอดหญิงคนรักอยู่ในอ้อมแขนที่กำยำแข็งแรง เพื่อให้ได้รับความอบอุ่นทั้งกายและใจ
“พี่ขอให้น้องสายบัว จงเชื่อมั่นในความรักของพี่ที่พี่มีให้กับน้องสายบัวจนสุดขั้วหัวใจ เราสองคนจะต้องพยายามฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามที่เกิดขึ้น ให้ผ่านพ้นไปด้วยกันให้จงได้จนสำเร็จเพราะพี่รู้ว่า
ในอนาคตข้างหน้าน้องสายบัวจะต้องเหน็ดเหนื่อย และผจญกับปัญหาต่างๆ อีกมากมายอย่างแน่นอน
ดังนั้นพี่ขอให้น้องสายบัวจะต้องอดทน อดกลั้น ต่อสู้ เพื่อความรัก และอนาคตที่สดใสในภาย
ภาคหน้าของเราสองคนนะจ๊ะ”
“จ้ะ พี่หมง” สายบัวขานรับอย่างหนักแน่น และมั่นใจต่อคำกล่าวของชายคนรัก
“อีกสองเดือนข้างหน้าเราจะได้แต่งงานกันแล้วน้องสายบัวคอยพี่นะจ๊ะ”
“จ้ะ พี่หมง” น้ำเสียงอ่อนหวานเสนาะหูยิ่งนัก
“เอาล่ะ หมดเวลาพลอดรักกันแล้ว ได้เวลากลับบ้านกันเสียที เดี๋ยวพ่อเปรยกับแม่ยุพินจะสงสัย
และที่สำคัญหากนังนกยูงมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องเป็นราวกันอีก” ซ่อนกลิ่นชิงตัดบทพร้อมอธิบายเหตุผล
51
“จ้ะ….จ้ะ….แม่คุณทูนหัว” นายหมงขานรับด้วยสีหน้าเบิกบานแจ่มใส ซึ่งอาการเช่นนี้ก็ไม่ได้
แตกต่างไปจากสายบัวสักเท่าไหร่เช่นกัน
กองคาราวานสินค้าของนายหมง ปันใจ หรือท่านพ่อเลี้ยงหมง ที่ใครๆ มักเรียกขานกัน
ในกองคาราวานสินค้า อันประกอบไปด้วยวัวต่าง (ใช้แรงงานวัวขนส่ง) และม้าต่าง (ใช้แรงงานม้าขนส่ง) กำลังขับเคลื่อนขนสินค้าจำพวกข้าวสาร เกลือ น้ำตาลปึก สบู่ เทียนไขน้ำมันก๊าด เสื้อผ้า
เครื่องนุ่งห่ม ทองคำแท่ง และทองคำรูปพรรณ เป็นต้น มุ่งหน้าไปยังอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
โดยนายหมงนั่งอยู่บนหลังอาชาตัวใหญ่สีดำทมึนอย่างองค์อาจและสง่าผ่าเผย ที่นายโปรยเป็นคน
จัดการให้ในฐานะหัวหน้ากองคาราวานสินค้าเพื่อทำหน้าที่ควบคุมสินค้าพร้อมด้วยคนงานอีกมากมาย
กองคาราวานสินค้าผ่านเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อน โดยทั้งสองข้างทางสภาพป่าเป็นป่าดงดิบและ
ป่าเบญจพรรณที่เต็มไปด้วยสัก แดง ประดู่ มะค่าโมง เต็ง รัง กระบาก และยาง เขียวชอุ่มชุ่มชื่นขึ้น
ปกคลุมหนาแน่น และป่าสนตามยอดเขา ตั้งแต่ระดับความสูง 200 เมตร ถึง 1,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล
จึงทำให้อากาศหนาวเย็นในเวลากลางคืน กองคาราวานสินค้าเคลื่อนไปอย่างช้าๆ เพราะทางเดิน
ค่อนข้างจะเป็นป่ารกชัฏ ถึงแม้จะเคยถูกใช้เป็นเส้นทางเดินกองคาราวานสินค้ามาบ่อยจนนัด
ครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม
กองคาราวานสินค้าเดินทางมาถึงบริเวณดอยรวก ซึ่งเป็นที่ตั้งปางไม้ของบริษัทกิมเซ่งหลี
ในเวลาใกล้จะพลบค่ำตะวันตกดิน อากาศในป่าลึกเริ่มเย็นลงมาเรื่อยๆ จนรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาจับใจ
โดยหมายกำหนดการณ์จะพักที่ปางไม้ประมาณสักสองสัปดาห์ เพื่อสะสางงานกิจการทำไม้พร้อมกับ
นำเสบียงอาหารมาให้แก่คนงานในปางไม้ ก่อนเดินทางต่อไปยังอำเภอแม่สอดเพื่อค้าขายสินค้า
อุปโภคบริโภคที่จำเป็น แถวตลาดสดริมแม่น้ำเมยชายแดนระหว่างไทยกับพม่า อาหารมื้อค่ำถูก
จัดเตรียมโดยฝีมือมะไข่ แม่บ้านประจำปางไม้ ซึ่งเป็นภรรยาของหม่องอองเล ตามที่นายลอยอินทร์แก้ว
สั่งการเอาไว้เมื่อตอนเช้า ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารป่าจำพวกไก่ป่าย่าง ปลาดุกย่าง ผัดเผ็ดหมูป่า ไข่เจียว
และน้ำพริกตาแดงกับผักสด แต่สิ่งสำคัญที่ขาดมิได้เพราะติดกันจนงอมแงมคือ สุราขาว 28 ดีกรีและฝิ่นดิบ ด้วยเหตุผลที่อ้างว่า เพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บจากอากาศเย็น และเป็นเพื่อนแก้เหงา
ยามที่อยู่ในปางไม้กลางป่าใหญ่ เมื่ออาหารป่าและกับแกล้มรสจัด อีกทั้งสุราขาว 28 ดีกรี วางพร้อม
อยู่บนโต๊ะ นายหมงพร้อมด้วยนายเปา แซ่หลีหัวหน้าควบคุมคนงานในปางไม้ส่วนการทำไม้“ตอนป่า”
นายลอย อินทร์แก้ว หัวหน้าควบคุมคนงานในปางไม้ส่วนการทำไม้ “ตอนยวดยาน” หม่องอองเล
หัวหน้าควาญช้าง และนายโปรย เครือหลวงหัวหน้าคอกม้า ร่วมวงกินอาหารมื้อค่ำ และนับว่าเป็น
โอกาสดีที่ได้ซักถามถึงปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานในปางไม้ รวมทั้งถามไถ่ถึง
ความเป็นอยู่สารทุกข์สุขดิบของคนงานในปางไม้ไปด้วยในตัว อันมีสุราขาว 28 ดีกรี เป็นตัวเชื่อม
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ส่วนฝิ่นดิบเป็นความนิยมชมชอบของแต่ละบุคคล
52
ถึงแม้นายหมงจะสั่งห้าม แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้สักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ดอยรวกขึ้นไปจนถึง
ดอยมูเซอจะมีชาวเขาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อทำไร่เลื่อนลอยและปลูกฝิ่นเพื่อใช้เองและขาย
“งานทางนี้เป็นยังไงบ้างครับอาเปา” นายหมงร้องถาม พลางดื่มสุราขาว 28 ดีกรี เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายที่อุณหภูมิขณะนี้ลดต่ำลงจนเกือบจะ 9 องศาเซลเซียส
“ก็ดี” นายเปาตอบห้วนๆ ไม่มองหน้าผู้ถาม
“คำว่าดีที่อาพูด มันไม่ชัดเจนเลยนะครับ” นายหมงกล่าวโต้ตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะมีอารมณ์โกรธ
ทำให้ทุกคนที่นั่งร่วมอยู่ในวงสนทนาต่างมองหน้าแล้วสบสายตากัน ต่างคนต่างคิด แต่ดูเหมือนว่าทุกคนมีความคิดที่เข้าใจตรงกัน ก่อนจะทอดสายตาไปที่นายเปาที่ไม่ได้สนอกสนใจอะไรกับคำถาม
ของเจ้านาย นายเปายกขวดสุราขาว 28 ดีกรี สีชาเข้มขึ้นกระดก น้ำสุราขาวดีกรีร้อนแรงที่เหลืออยู่
เพียงเล็กน้อย เข้าปากรวดเดียวหมดแล้วกลืนลงคออย่างใจเย็น ก่อนตอบคำถามของเจ้านายที่เป็น
รุ่นลูกรุ่นหลานว่า
“อ๋อ….อาหมายถึงงานที่ปางไม้ดีทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” นายเปาพูดลิ้นเริ่มรัว
แก้ตัวไปอย่างน้ำขุ่นๆ นายหมงไม่โต้ตอบ เพราะคิดอยู่ในใจแล้วว่า คำตอบจะต้องออกมาในรูปแบบนี้
ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นคำตอบที่โกหกมดเท็จก็ตามจึงได้แต่พยักหน้ารับ
“อีกสองวันเจ้าหน้าที่ป่าไม้จะเข้ามาคัดเลือกไม้กับเราครับท่าน” นายลอยกล่าวอย่างนอบน้อม
ถ่อมตน แล้วกล่าวเสริมต่อว่า
“ท่านพ่อเลี้ยงไม่ต้องเป็นห่วง ทางกระผมได้ตระเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้วครับ”
“ดีมากเลยครับ งานจะได้ไม่ช้า ถึงยังไงผมก็ต้องขอฝากอาลอยช่วยดูแลด้วยนะครับ” นายหมงว่า
พลางยกแก้วที่มีน้ำสุราขาว 28 ดีกรี เหลืออยู่ขึ้นดื่ม เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย
“ครับท่านพ่อเลี้ยง” นายลอยตอบพร้อมส่งสายตาให้อย่างนอบน้อม เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี
ต่อผู้เป็นเจ้านาย
“คราวนี้เราคงจะได้ไม้เพิ่มมากขึ้นนะครับอาเปา” นายหมงทำใจเย็น ก่อนพูดด้วยกับผู้เป็นเพื่อนของบิดา
“ก็คงจะเยอะโขอยู่ แต่เห็นคนงานบ่นว่า อยากจะขอขึ้นค่าแรงเพิ่ม”
“เฮ้ย!….เปา เรื่องนี้พวกเราได้คุยกันรู้เรื่องหมดแล้วนี่ จะเอามาคุยให้กวนใจท่านพ่อเลี้ยงทำไมอีกเล่า”
นายเปาแสดงสีหน้าไม่พอใจ ที่ถูกเพื่อนพูดดักคอขึ้นให้อับอาย พลางมองหน้าคู่กรณีแล้วว่า
“คนงานบางคนมันไม่พอใจค่าแรง แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไงวะ” นายเปาเสียงดังใส่
“คนงานบางคนที่ว่า….คนไหนวะ” นายลอยถามเหมือนเค้นหาคำตอบให้ชัดเจน นายเปาเลือดขึ้นหน้า
ด้วยอามรณ์โกรธต่อคำถามของนายลอย ก่อนเอะอะโววายเสียงดังว่า
53
“มึงจะเอายังไงกับกูวะไอ้ลอย คนงานบางคนก็คนงานบางคนสิวะ มึงจะมาถามหาขี้เกลือทำเ...้ยอะไรกับกูอีก หรือว่ามึงอยากจะมีเรื่องกับกู….หา! ไอ้ลอย” นายเปาสบถคำด่าลั่น แล้วท้าตีท้าต่อย
อย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจผู้ใด แม้กระทั่งนายหมงผู้เป็นเจ้านาย นายหมงเห็นว่าถ้าขืนปล่อย
ให้ยืดเยื้อต่อไปอีก เกรงว่าจะไม่เป็นการณ์ดีแน่ เพราะตนในฐานะคนกลางจำเป็นต้องร้องห้าม
เพื่อไม่ให้ผู้อาวุโสโต้เถียงกันไปมากกว่านี้
“พอ….พอกันเถอะอาๆ ทั้งสอง อายุก็มากๆ กันแล้วนะ ทำไมเลือดร้อนกันจัง”
“ก็มันพูดไม่จบนี่ครับท่านพ่อเลี้ยง เรื่องนี้พวกกระผมได้พูดคุยกับคนงานให้เข้าใจกันหมดแล้ว
มันยังจะมารื้อฟื้นหาขี้เกลือทำไมอีก” นายลอยบอกเล่าด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ
“เอาเถอะ….เอาเถอะ พรุ่งนี้ผมจะเรียกคนงานทั้งหมดมาประชุมกัน ใครมีปัญหาคับอกคับใจ
หรือขุ่นข้องหมองใจอะไร ก็เอามาพูดคุยกันให้รู้เรื่อง และให้เข้าใจตรงกัน”
ทุกคนพยักหน้ารับ แล้วดื่มกินอาหารมื้อค่ำจนเสร็จ ยกเว้นแต่นายเปาที่ลุกผลุนผลันผละจากวงสนทนา
เดินหนีหายไปด้วยความขุ่นเคือง หลังจากเป็นผู้ก่อเรื่องให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ และเมาได้ที่แล้ว
จนนายหมงเอ่ยถามคนในวงสนทนาว่า
“นี่คงไปหาเมียน้อยแล้วสิท่า ลูกเมียทางเมืองระแหงไม่เคยไปดูดำดูดีเอาเสียเลย”
“ใช่ครับท่านพ่อเลี้ยง” นายลอยสบสายตาทุกคนในวงสนทนาก่อนตอบรับแทนให้ นายหมงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยต่อว่า
“เฮ้อ….ผมต้องขอโทษหม่องอองเลด้วยนะ ที่อาเปาทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรกับคนของหม่องอองเล”
“ทำยังไงได้ล่ะ มันก็ไม่ใช่ว่าจะผิดที่หัวหน้าเปาคนเดียว คนของผมก็ผิดด้วยเหมือนกันครับท่านพ่อเลี้ยง”
หม่องอองเลพูดภาษาไทยสำเนียงพม่าฟังยังไม่ชัด แต่ก็พยายามที่จะสื่อสารให้เข้าใจ
“สงสารอาเดือนกับน้องนกยูงเหมือนกัน ที่มีพ่อเหลวไหลแบบนี้ แล้วนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเงินเดือน
จะไปถึงมือลูกเมียบ้างรึเปล่า”
ทุกคนปิดปากเงียบไม่กล้ากล่าวเอ่ยอะไรออกมาแม้กระทั่งนายช่วงผู้เป็นลูกชาย เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า
นายเปาไม่ได้ลงไปเมืองระแหงจนเกือบจะครบปีแล้ว โดยมักจะอ้างว่างานเยอะ จนไม่มีเวลาลงไป
บ้านที่เมืองระแหง และก็มีน้อยครั้งเสียเหลือเกินที่ฝากเงินเดือนอันน้อยนิดไปให้ลูกเมียบ้างเหมือนกัน
แต่ก็สามารถจะนับครั้งได้ ทั้งนี้นายช่วงพี่ชายของซ่อนกลิ่นทำงานที่ปางไม้ของบริษัทกิมเซ่งหลี
ในหน้าที่เป็นนายแพหรือหัวหน้าคนแพ ดูแลการล่องแพจากห้วยแม่ท้อลงไปจนถึงแม่น้ำปิง
และล่องแพต่อไปยังโรงเลื่อยไม้หรือตลาดค้าไม้ ทั้งที่ตำบลปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์
และกรุงเทพมหานคร ซึ่งบ่อยครั้งที่นายเปาผู้เป็นบิดา มักจะค่อยบอกเล่าความเป็นมาเป็นไปในอดีต
ที่ผ่านมาให้ลูกชายฟัง โดยจะใส่ร้ายป้ายสีให้จงเกลียดจงชังนายซ้งผู้เป็นบิดา จนไปถึงนายหมง
54
ผู้เป็นลูกชาย เพราะต้องการหวังจะฮุบธุรกิจการทำไม้และโรงเลื่อยไม้ทั้งหมดของนายหมง
เอามาเป็นของตนเอง และต้องการหวังที่จะให้นายช่วงผู้เป็นลูกชาย ดูแลธุรกิจการทำไม้และ
โรงเลื่อยไม้ทั้งหมดด้วย ทั้งนี้มักจะอ้างฐานะความเป็นเครือญาติตระกูลแซ่หลีเดียวกันกับ
นายเต็ง แซ่หลี ที่อพยพหนีความยากจน โดยการล่องเรือสำเภามาจากมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้
ของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ จนนายเต็ง แซ่หลี ได้มอบหมายหน้าที่ให้เป็นหัวหน้าควบคุม
คนงานในปางไม้ เกี่ยวกับธุรกิจการทำไม้ ในส่วนการทำไม้ “ตอนป่า” ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ
และไว้วางใจมากที่สุด แต่มาระยะหลังๆ พฤติกรรมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง
โดยมักจะเบี้ยวงานอยู่เป็นประจำ และจะเป็นผู้ก่อเรื่องให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ในปางไม้อยู่บ่อยๆ
จนทำให้คนงานเกือบทุกคนในปางไม้รู้สึกเบื่อหน่าย และเอือมระอาในพฤติกรรมอันเลวร้ายของนายเปาอย่างที่สุด ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการขาดสติสัมปชัญญะ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจในการกระทำ
สิ่งชั่วร้าย ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และจิตใจของตนเอง เพราะติดทั้งเหล้า ฝิ่น และสุดท้ายติดผู้หญิง
จนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องที่เมืองระแหง ซึ่งนี่เป็นปัญหาสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่นายหมงจะต้อง
รีบแก้ไขให้เร็วที่สุด เพราะถ้าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าปางไม้ของบริษัทกิมเซ่งหลี
อาจจะเกิดความเสียหาย จนไม่สามารถเรียกกลับคืนมาให้เหมือนดังเดิมได้
บทประพันธ์โดย นิพรรนา