หลักการเขียนวิจัย 5บท
หลักการเขียนวิจัย 5บท
บทที่ 1 บทนํา
- ภูมิหลัง ต้องเขียนเหตุผลของปัญหาที่จะทําวิจัยในภาพกว้าง หรือไกลสิ่งนั้นเข้าสู่ จุด ที่ทําวิจัยหรือใกล้สิ่งนั้น (ควรมีเอกสารอ้างอิงของอาจารย์ภาควิชา/คณะที่ศึกษาด้วย) โดยทั่วไปจะกล่าวถึง 1.ปัญหา 2.ตัวแปรหรือพฤติกรรมที่จะทําวิจัย 3.กลุ่มตัวอย่าง 4.เทคนิค/วิธีที่จะทํากาวิจัย (ควรมีความยาว 3 – 6 หน้า)
- กรอบแนวคิด (ถ้ามี) แสดงถึงแนวความคิด ปรัชญา/หลักการ ต้องอ้างอิงตํารา หรือ เอกสารที่นํามาเป็นกรอบแนวคิดด้วย (ไม่ใช่อ้างอิงงานวิจัยของอื่นมาเป็นกรอบ เพราะเท่ากับลอก เลียนการทําวิจัยของคนอื่น) งานวิจัยบางเรื่องที่ต้องใช้ทฤษฎี หลักการของนักวิชาการก็ควรมี กรอบการทําวิจัย บางเรื่องไม่ต้องมีกรอบก็ได้ เพราะหลักสําคัญของการทําวิจัยจะพิจารณาจาก จุดมุ่งหมายของการวิจัย
- จุดมุ่งหมาย ต้องเขียนให้กะทัดรัด ชัดเจน จัดลําดับตามผลการวิจัย ที่จะเสนอใน บทที่ 4 อาจจะมีการปรับเปลี่ยนจุดมุ่งหมายให้กระชับขึ้น เมื่อจะเขียนบทที่ 4 (ไม่ควรเอาชื่อเรื่อง การวิจัยมาเป็นจุดมุ่งหมาย เพราะจุดมุ่งหมายต้องมีรายละเอียดมากกว่าหัวข้อเรื่อง)
- ความสําคัญ ต้องคิดไว้ล่วงหน้าก่อนทําวิจัยว่า งานวิจัยนี้มีคุณค่า หรือมีประโยชน์ หรือไม่ ถ้าคิด ว่ามีความสําคัญหลายประเด็น ก็เขียนเป็นรายข้อ (ไม่ควรเกิน 3 ข้อ) และข้อความ ที่เขียนต้องเป็นจริงพอสมควร
เมื่อมีหัวข้อความสำคัญแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีหัวข้อประโยชน์ของการวิจัยอีก เพราะความสำคัญย่อมมีคุณค่ากว่าประโยชน์ของการวิจัย
- สมมุติฐาน (ถ้ามี) ถ้ามีสมมุติฐานต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย (มักจะเรียงไว้เป็นข้อหลังๆ ในจุดมุ่งหมาย) และต้องทำการทดสอบสมมุติฐานเพราะเป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างแล้วอ้างอิง (Generalized) ไปยังประชากร ถ้าไม่มีการทดสอบสมมุติฐานแสดงว่าข้อมูลที่เก็บมาเป็นข้อมูลเฉพาะของกลุ่มตัวอย่าง
- ขอบเขตของการวิจัย ประกอบด้วย
6.1 ประชากร ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน (ถ้าเป็นสถานการศึกษาต้องระบุ อำเภอ จังหวัด หรือสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาให้ชัดเจน)
6.2 กลุ่มตัวอย่าง พิมพ์ล้อประชากรแล้วระบุเพียง เลือก(Sampling) หรือสุ่ม(Random) โดยวิธีใด(ไม่ต้องระบุวิธีกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างว่าใช้ตาราง หรือใช้เกณฑ์ และไม่ต้องแสดงรายละเอียดการได้มาของกลุ่มตัวอย่าง)
6.3 ตัวแปร (ถ้ามี) ถ้ามีสมมุติฐานจึงจะมีตัวแปร (หากไม่มีสมมุติฐานก็ไม่ต้องเสนอตัวแปร เพราะถึงมีตัวแปรก็ไม่เกิดประโยชน์ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การระบุตัวแปรก็เพื่อทดสอบสมมุติฐาน) นิสิตมักจะใส่หัวข้อ เนื้อหาการทำวิจัยลงไปด้วยโดยไม่จำเป็น เพราะชื่อเรื่องวิจัยก็ระบุเนื้อหาแล้ว ส่วนกำหนดเวลาในการทำวิจัย จะอยู่ในบทที่ 3 เพราะเป็นเรื่องของการดำเนินการวิจัย ไม่ใช่บริบทของการทำวิจัย (บทที่ 1)
- นิยามศัพท์เฉพาะ หัวข้อนี้ตรงกับคำว่า Definition เป็น การนิยามคำที่มีความสำคัญ (Key Words) ของการวิจัย และคำที่มีความสำคัญของการวิจัยที่ใช้สำหรับการวิจัยครั้งนี้เท่านั้นไมใช่เป็นนิยามทั่วไป จึงไม่ครลอกมาจากเอกสาร ตำรา และไม่จำป็นต้องมีการอ้างอิง เว้นแต่ใช้ข้อความตรงกับเอกสารตำรา จริง ๆ
สรุปการเขียนบทที่ 1
บทนํา เป็นเรื่องของบริบทในการทําวิจัย เพื่อให้ผู้อ่านงานวิจัยได้ทราบว่า วิจัยครั้งนี้จะ ประกอบด้วยสาระอะไรบ้างอย่างกะทัดรัด ไม่เกี่ยวกับการดําเนินการ หรือการจัดกระทํา (Action) ส่วนหัวข้อ “ข้อตกลงเบื้องต้น” มักจะไม่กล่าวถึง(เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ในเชิงวิทยาศาสตร์ เบื้องต้น เช่น กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามด้วยความเต็มใจ เป็นต้น)
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- เอกสารที่เกี่ยวข้อง มักได้แก่ ทฤษฎีหรือหลักการที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทำ ผู้วิจัยจะต้องค้นคว้าให้ได้มากพอสมควร เพื่อไม่ให้การวิจัยไปซ้ำซ้อนกับงานวิจัยของคนอื่น หรือช่วยให้การทำวิจัย มีความคมชัด ถูกทิศทางมากยิ่งขึ้น (คล้ายคนเราจะทำอะไร ก็มีการสำรวจดูทำเล หรือตรวจสอบความจริงบางอย่าง เพื่อป้องกันความบกพร่อง หรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น) การเขียนเอกสารอ้างอิงต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1.1 ลำดับเหตุการณ์ก่อน หลัง ถ้าเป็นเรื่องของสถานศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนต้องกล่าวถึงหลักสูตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเสมอ (ส่วน พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องมีมาก่อนหลักสูตร ไม่ต้องกล่าวถึงก็ได้)
1.2 ความทันสมัยของเอกสาร ไม่ควรเป็นเอกสารที่ผลิตมานานเกินไป เว้นแต่เอกสารที่มีคุณค่า มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป
1.3 ในหัวข้อนี้ต้องอ้างอิงข้อความที่นำมาใช้ให้ถูกหลักเหตุและผล (เช่นอ้างหลายหน้าแต่เอามาน้อยหน้าเสมือนสรุปมาก็ได้ แต่อ้างจำนวนน้อยหน้าเมื่อเอามาจริงมากหน้ากว่าที่อ้างเท่ากับเขียนงานโกหก)
1.4 การอ้างอิงเอกสารตำราต้องอ้างอิงชื่อผู้แต่ง หรือถาบันแห่งนั้น ไม่ใช่อ้างชื่ออิงเอกสาร ตำรา หากนำข้อความจากงานวิจัยของคนอื่น ก็ไม่ใช่อ้างอิงชื่อผู้วิจัย ต้องอ้างอิงเจ้าของข้อความจึงต้องอ้างอิงต่อให้ถึงผู้เป็นเจ้าของเอกสาร ตำรา (ผลงานของผู้วิจัยอยู่เฉพาะในบทที่ 4 คือรายงานวิจัยเท่านั้น)
- งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง คือ งานวิจัย (รวมถึงการค้นคว้าอิสระ = Independent Stydy หรือวิทยานิพนธ์ =Thesis หรือ ดุษฎีนิพนธ์ = Dissertation) ที่มีคนทําไว้แล้ว และมีส่วนเกี่ยวพันธ์หรือเกี่ยวข้อง กับงานวิจัยที่กําลังจะทํา สามารถนํามาอ้างอิงได้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้จะทําวิจัยเป็นผู้ใฝ่รู้ เป็นผู้ที่ รู้กว้าง ทําให้รู้ว่ามีคนทําวิจัยไว้และผลเป็นอย่างไร จะสอดคล้อง หรือขัดแย้งกับงานวิจัยของเรา หรือไม่ ช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะทําการวิจัยให้เกิดความกระจ่างในสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น
หมายเหตุ
- การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ต้องค้นคว้ามาก่อน และจะเขียนอยู่ในเค้าโครงวิจัย 3 บท (Proposal)
- การค้นคว้าต้องเขียนบรรณนุกรมอ้างอิงให้ถูกหลักไปพร้อมกัน จะได้ไม่เป็นภาระการค้นเอกสารอ้างอิภายหลัง
- การค้นคว้าเอกสารและงนวิจัยต้องเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่กำลังจะทำโดยเฉพาะเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะทำวิจัย (หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับตัวแปรหรือกลุ่มตัวอย่าง) ถ้าหางานวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่ได้ ก็ต้องคันคว้าทฤษฎี หรือหลักการของเรื่องที่จะทำวิจัยมาอ้างอิงแทน
- ควรหาวิธีเรียงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อาจจะเรียงตามเหตุการณ์หรือเวลาก็ได้สรุปการเขียนบทที่ 2 เอกสารและงานวิจับที่เกี่ยวข้องผู้วิจัยต้องค้นคว้าองค์ความรู้จากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจริง ๆ ไม่ใช่ลอกมาจากบทที่ 2 ในงานวิจัยของคนอื่น บ่อยครั้งที่พบว่าเป็นการอ้างอิงผิดเพี้ยนจากข้อความจริงในเอกสาร ตำรา ที่เป็นต้นฉบับ ทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของเอกสาร ตำรา อย่างเลี่ยงไม่ได้
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
- ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ยกข้อความประชากร และกลุ่มตัวอย่างจากบทที่ มาอีกครั้งหนึ่ง โดยมีหลักดังนี้
1.1 ถ้างานวิจัยครั้งนี้เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non Probability) ข้อความจะเหมือนกับข้อความในบทที่ 1 โดยนิยมใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling)
1.2 ถ้างานวิจัยครั้งนี้เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น (Probability) จะเรียกว่า การสุ่ม (Random) การเขียนเกี่ยวกับกลุ่มตัวอย่าง จะเพิ่มขั้นตอนการเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 ขั้น ได้แก่
ขั้นที่ 1 เป็นการกำหนด ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง (ไม่ได้ขึ้นกับวิธีการเลือกหรือวิธีสุ่ม) นิยมอ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง จาก 3 แบบ (ใช้ตารางสำเร็จรูป หรือใช้เกณฑ์ หรือใช้สูตร)
ขั้นที่ 2 เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มแบบใดแบบหนึ่ง (มักจะสุ่มแบบแบ่งชั้น หรือแบบแบ่งกลุ่ม หรือแบบหลายขั้นตอน มักจะไม่ใช้การสุ่มแบบอย่างง่าย หรือการสุ่มแบบเป็นระบบ แต่รายละเอียดของแต่ละขั้นตอนของการสุ่มที่อ้างถึงจะเป็นการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling เช่น ขั้นที่ 2.1 ใช้อำเภอในจังหวัด ก. เป็นหน่วยการสุ่ม ทำการสุ่มอย่างง่าย มา 40% พบว่าได้ 4 อำเภอ ประกอบด้วย โรงเรียน 164 โรง เป็นต้น)
เมื่อแสดงขั้นตอนการเลือกกลุ่มตัวอย่างครบทั้ง 2 ขั้นแล้ว มักจะแสดงรายละเอียดของกลุ่มตัวอย่าง ในรูปของตาราง
- เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลในทางการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลมักจะเป็นแผนการสอน แบบทดสอบแบบสอบถาม แบบวัด การสัมภาษณ์ หรือการสังเกต (การประเมินไม่ใช่เครื่องมือในการเก็บข้อมูล
เพราะการประเมิน คือ การตัดสินสิ่งที่ได้จากการวัดผล) การกล่าวถึงเครื่องมือชนิดใดๆ ควรระบุรายละเอียดให้มากพอสมควร อ่านแล้วเข้าใจลักษณะของเครื่องมือชนิดนั้น ๆ
- การสร้างและตรวจสอบเครื่องมือการทำวิจัยมีชั้นตอนสำคัญมากตอนหนึ่งก็คือ เครื่องมือที่ใช้เก็บช้อมูล ต้องมีคุณภาพมิฉะนั้น ข้อมูลที่ได้ก็เละเทะ (เปรียบได้กับขยะ)ขั้นต่อมานำข้อมูลมาวิเคราะห์และเสนอผลการวิจัยก็กลายเป็นผลงานที่ขาดความน่าเชื่อถือ หรือเป็นบาปต่อผู้ที่เอาผลงานไปใช้ เพราะเป็นผลงานเท็จดังนั้น เพื่อป้องกันไมให้เครื่องมือขาดคุณภาพจึงมีการตรวจสอบ ตามขั้นตอนดังนี้
3.1 สร้างเครื่องมือขึ้นจำนวนหนึ่ง (โดยมีจำนวนมากกว่าที่ต้องการใช้จริง 20% -50%)
3.2 หาความเที่ยงตรงทั้งฉบับ (Validity) โดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3-5 คนให้ช่วยพิจารณารายละเอียดของเครื่องมือทุกชนิดที่จะใช้เก็บรวบรวมข้อมูล โดยจำนวนข้อของเครื่องมือแต่ละชนิดที่ผ่านเกณฑ์ต้องมากกว่าที่จะใช้จริง (สร้างเผื่อไว้ 20%-50% ผ่านเกณฑ์อาจจะเหลือมากกว่า 20 % แต่น้อยกว่า 50% ก็ได้)
3.3 หาความยากรายข้อ (สำหรับแบบทดสอบ) และอำนาจจำแนกรายข้อ โดยการทดลองใช้เครื่องมือ (Try out) กับกลุ่มบุคคลที่คล้ายกับกลุ่มตัวอย่าง แล้วคัดเลือกจำนวนข้อที่ผ่านเกณฑ์ให้ได้พอดีกับจำนวนที่ต้องการใช้จริง
3.4 นำจำนวนข้อของเครื่องมือแต่ละชนิดที่จะใช้จริงซึ่งคัดเลือกไว้แล้ว ไปหาความเชื่อมั่นทั้งฉบับ (Reliability)
3.5 พิมพ์เครื่องมือเป็นฉบับจริง
- การเก็บรวบรวมข้อมูลระบุวันเวลา ว่าเก็บข้อมูลเมื่อไร อย่างไร
- การวิเคราะห์ข้อมูลระบุลำดับขั้นการวิเคราะห์ข้อมูลว่าจะทำอย่างไร
- สถิติที่ใช้โดยทั่วไปสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจะมี 3 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มที่ 1 สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ เช่น สูตรการหาค่ความเที่ยงตรงทั้งฉบับ สูตรการหาค่าความยากรายข้อ ค่าอำนาจจำแนกรายข้อ และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับกลุ่มที่ 2 สถิติพื้นฐาน มักจะได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( X ) และส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน (SD)
กลุ่มที่ 3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐาน (ถ้ามี)
ส่วนการหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E,) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E.)และดัชนีประสิทธิผล (E.I) ไมใช่เรื่องของสถิติ แต่เป็นการใช้สูตรหาค่ E,/E./ E.I. โดยนิยมที่จะเรียงไว้หลังสถิติทั้ง 3 กลุ่ม
สรุปการเขียนบทที่ 3
วิธีการดำเนินการวิจัยเป็นส่วนที่บรรยายถึงขั้นตอนการปฏิบัติที่ทำการวิจัยจริง จึงต้องเขียนให้ผู้อ่านเห็นภาพพจน์ว่า ผู้วิจัยดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนอย่างไร ในทุกหัวข้อเรื่องของบทที่ 3
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ส่วนที่ 2 ขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล คือจะแบ่งเป็นกี่ตอน จัดลำดับอย่างไร
ส่วนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ถ้าเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ มักจะเสนอในรูปของตาราง
หมายเหตุ ชื่อหัวข้อบทที่ 4 ควรตั้งชื่อว่า ผลการวิจัย เพราะบทที่ 4 กำหนดชื่อว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูล จะซ้ำกับหัวข้อย่อยที่ 3 คือผลการวิเคราะห์ข้อมูล (ทำไมชื่อหัวข้อใหญ่กับชื่อหัวข้อย่อยซ้ำกัน ต่างกับบทอื่น ๆ ที่ชื่อไม่ซ้ำกัน)
สรุปการเขียนบทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ต้องจัดลำดับผลการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยต้องคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการวิจัยเสมอว่า ตอบจุดมุ่งหมายได้ทุกข้อหรือทุกส่วนหรือไม่
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
- เป็นการกล่าวถึงจุดมุ่งหมาย(หรือหัวข้ออื่น ๆ ด้วย และสรุปผลการวิจัย ซึ่งย่นย่อมาจากบทที่ 4 (หากจะอ่านผลงานวิจัยที่สั้นกว่านี้ก็คืออ่านในบทคัดย่อ)
- สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในบทนี้ก็คือ การอภิปรายผล ซึ่งผู้วิจัยต้องแสดงความสามารถในการวิจารณ์ ถึงเหตุและผลของการวิจัยที่ค้นพบ ว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร หรือทำไมจึงได้ผล เช่นนั้น ในทางวัดผล ถือเป็นพฤติกรรมขั้นสังเคราะห์ความสัมพันธ์ คือทำการวิพากย์ วิจารณ์ ถึงผลที่ได้จากการวิจัย ส่วนที่จะสอดคล้องกับผลการวิจัยของใครที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เอามาเขียนทีหลัง ซึ่งไม่สำคัญเท่ากับ การสังเคราะห์ความสัมพันธ์
- ข้อเสนอแนะให้กับผู้ที่จะทำวิจัย หรือการนำผลงานวิจัยไปใช้ ต้องเสนอแนะตาม ผลที่เกิดจากผลของการวิจัยเท่านั้น
สรุปการเขียนบทที่ 5 อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
ในบทนี้เป็นการย่อความในส่วนที่เป็นผลของการวิจัย ที่มาจากบทที่ 4 และที่สำคัญมากก็คือ วิธีการอภิปรายผล เพราะเป็นการแสดงความสามารถในการสังเคราะห์งานของผู้วิจัย
กล่าวโดยสรุป
- หากต้องการทราบประเด็นสำคัญของการทำวิจัยทุกขั้นตอนที่สั้นที่สุดก็คือ อ่านบทคัดย่อ หากต้องการทราบผลการวิจัยโดยสรุปสั้น ๆ ก็อ่านบทที่ 5 หากต้องการทราบผลการวิจัยทั้งหมดก็อ่านบทที่ 4 หากต้องการทราบบริบทของการทำวิจัยว่าประกอบด้วยอะไรบ้างก็อ่านบทที่1 และหากต้องการทราบความรู้เบื้องต้นที่จะมาสนับสนุนงานวิจัยก็อ่าน บทที่ 2 (เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง) และหากต้องการทราบวิธีการดำเนินการวิจัยก็อ่านบทที่ 3
- จากที่กล่าวมาทั้ง 5 บท ก็เพื่อให้ผู้ที่จะทำวิจัยได้ทราบถึง Concept (ความคิดรวบยอด) ของแต่ละบทว่า จะกล่าวถึงอะไรบ้าง และกล่าวเพื่ออะไร หรือประเด็นสำคัญของแต่ละบทคืออะไร มิฉะนั้นผู้วิจัยจะเขียนแต่ละบทอย่างลอย ๆ ไร้จุดหมายก็จะกลายเป็นงานวิจัยที่ขาดคุณภาพ