"ฆ่ายัดกล่อง".. คดีดังในอดีตของไทย!!
.............คดีนี้เกิดขึ้นกว่า 50 ปี ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ่ายอ่อนๆ ของวันที่ 4 ก.พ. 2508(1965) มันเริ่มขึ้นเมื่อรถไฟสายเหนือกรุงเทพฯ-เชียงใหม่นำโบกี้รถไฟมาส่งหน้าโกดังโรงงานยาสูบ ตรงข้ามสถานีรถไฟเชียงใหม่ นายหลวงกับนายศักดิ์(ไม่ทราบนามสกุล) กรรมกรผู้ใช้แรงงานกำลังง่วนอยู่กับการทำงานแบกหามอยู่ในโกดังต้องหยุดชะงักลงเมื่อเขาได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยเตะจมูกอย่างรุนแรง ทั้งสองคนช่วยกันหาที่มาของกลิ่นชนิดนี้ทันที ท่ามกลางความงงสงสัน และคาดเดาไปต่างๆนานา กล่องกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่มีเชือกผูกมัดไว้อย่างแน่นหนาถูกวางหลบในหลืบโบกี้รถไฟตู้หนึ่ง ก้นกล่องปรากฏคราบที่เกิดจากความเปียกชื้นของวัสดุที่หีบห่อ ทั้งสองช่วยกันยกลงมาจากโบกี้ ด้วยความสงสัยจึงแง้มฝากล่องออก แล้วล้วงลงไปพบกระดาษหนังสือพิมพ์อัดแน่นอยู่เหนือพลาสติก
เวลา 14.00 น. ภายหลังที่กรรมกรทั้งสองนำกล่องกระดาษออกมาจากโบกี้รถไฟแล้ว นายปอช่วย แซ่อึ้งผู้จัดการบริษัทรุ่งเรืองขนส่งเชียงใหม่ ผู้เช่ารถไฟดังกล่าวเดินมาถึงที่โกดัง เขาได้รับรายงานผิดปกติทุกสิ่งทุกอย่างจากลูกน้อง เขาจึงตัดสินใจเปิดกล่องออก เชือกที่ผูกมัด
หนังสือพิมพ์ถูกแก้ออกทีละน้อยๆ ทุกครั้งที่เชือกที่ผ่อนออกมาเท่าไร กลิ่นเหม็นก็ยิ่งคละคลุ้งฟุ้งกระจายบนอากาศมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งแรกที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนเป็นไม้ระแนงที่วางไว้ในแนวขวางเพื่อป้องกันไม่ให้กล่องบิดเบี้ยวผิดรูป แสดงให้เห็นว่าสินค้าในกล่องนั้นมีน้ำหนัก ด้านบนยังอัดแน่นด้วยแกลลอนน้ำมันและกระดาษหนังสือพิมพ์ ขณะที่บริเวณใจกลางกล่องมีถุงพลาสติกสีแดงขนาดใหญ่ห่อหุ้มสิ่งหนึ่งอยู่ และแล้วทั้งสามคนก็รู้ที่มาของกลิ่นนี้ มันมากจากร่างของเด็กที่ตายแล้วคนหนึ่ง นอนคุดคู้(หั่นศพ) ตามรอยกลายหนอนไต่ยั้ยเยี้ย บ่บอกได้ว่าเจ้าของกลิ่นนั้นตายหลายวันแล้ว ทุกคนที่เห็นภายเหล่านี้ถึงกับผงะ เพราะตกใจกับภาพที่ไม่เคยนึกไม่ฝันว่าจะพบแบบนี้เป็นครั้งแรก
ร.ต.อ.สนาม คงเมือง ร้อยเวร สภ.อ.เชียงใหม่(สมัยนั้น) เดินทางมาตรวจสอบร่วมกับ พ.ญ.บุญทวี จันทร์วงศ์ แพทย์เวรเพื่อชันสูตรพลิกศพ ไม่นานนักเจ้าหน้าที่ก็พอรู้ว่าศพที่โดนหั่นนั้นเป็นเด็กแบบใด ศพเด็กชายคนนั้นตัดผมสั้นเกรียนแบบนักเรียน นุ่งกางเกงสีดำ สวมเสื้อคอกลมสีขาว ที่หัวพบบาดแผลถูกทำลายจนเป็นแผลฉกรรจ์ เพราะผมหายไปเป็นกระจุกๆ ที่สำคัญมีรอยเชือกปรากฏที่ลำคอเป็นทางยาว ลำพังหลักฐานเพียงเท่านั้นไม่สามารถระบุศพได้ว่าผู้ตายเป็นใครมาจากไหน จนกระทั้งตำรวจพบแหวนทองลงยาที่หัวแหวนหลุดหายไป สวมอยู่นิ้วกลางขวาระบุชื่อร้าน “ฮั่วเซ่งเฮง” เป็นภาษาจีน นอกจากนี้ในกล่องกระดาษยังมีหนังสือเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินข้อความว่า “ส่งถึงคุณเกษม 575 รัตนเขต เชียงราย จากย่งเส็ง เซียงกง” นอกจากนั้นไม่มีหลักฐานอื่นใดเลย....
ศพเด็กชายนิรนามคนนั้นนอนสงบนิ่งในป่าช้าหนอนประทับ และ 2 วันให้หลัง จู่ๆ ก็มีนาย สรศักดิ์ แซ่อึ้ง อายุ 31 ปี เจ้าของร้านขายยามหาชัยเภสัช ย่านสีลม กรุงเทพฯ ได้เดินทางมาพบทีมสวบสวน สภ.อ.เชียงใหม่ ขอดูหลักฐานและศพ ทันใดนั้นหัวใจเขาแทบสลาย เรามั่นใจว่าเหยื่อรายนี้คือน้องชายของเขาวัย 15 ปีที่หายตัวไปอย่างแน่นอน
สรศักดิ์ย้อยความหลัง วันที่น้องชายหายตัวไปนั้นเป็นเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2508(1965) ตรงกับวันตรุษจีนพอดี จู่ก็มีลูกค้าคนหนึ่งโทรมาสั่งยาไปส่งที่ซอยปราโมทย์ ถนนสุรวงค์ กิมบิ๊ก แซ่อึ้ง อายุ 15 ปี น้องชายของสรศักดิ์อาสาจะไปส่งยาให้เขาและหายตัวไปหลังจากนั้น
พอช่วงเย็นหลังจากที่เด็กชายหายตัวไป ก็มีโทรศัพท์เข้ามาบอกร้านว่ากิมบั๊กไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต่อที่บางปูไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากเที่ยวเสร็จก็เลยไปนอนค้างที่บ้านเพื่อน แต่ทว่ากิมบั๊กไม่ได้โทร.บอกด้วยตัวเอง.....
จากนั้นตอนดึกมีโทรศัพท์อีกรอบ ปลายสายเป็นเป็นเสียงชายฉกรรจ์คนหนึ่งอ้างว่าเป็นคนของแก๊ง “กระทิงแดง ศิษย์พระกาฬ” ได้จับตัวกิมบั๊กไว้ ให้นำเงิน 25,000 บาทไม่ไถ่ตัว ไม่งั้นไม่รับรองความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นมีเสียงโทรศัพท์ดังมาอีกครั้ง แต่ปลายสายเป็นเสียเดิมสั่งว่าให้ลงไปหน้าบ้านจะพบจดหมาย เมื่ออ่านเสร็จให้มาพบกันที่ป้ายรถเมล์หน้าสวนลุมพินี นอกจากนี้ปลายสายยังกำชับให้นำจดหมายฉบับดังกล่าวพร้อมเงินสด 25,000 บาทไปพบตามที่นั่นด้วย ที่สำคัญห้ามยอกตำรวจและสื่อมวลชนเด็ดขาด
สรศักดิ์เดินลงไปหน้าบ้านพบจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ในซองสีฟ้า ผู้เขียนใช้พิมพ์ดีดแทนที่จะเขียนด้วยลายมือเพื่อให้ตำรวจติดตามตัวได้ยาก ข้อความในจดหมายไม่ผิดแผกอะไรกับบทสนทนาในโทรศัพท์มากนัก เมื่อสรศักดิ์ไปถึงที่นัดหมายพบชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาทวงถามเงินค่าไถ่แต่ก็ต้องผิดหวัง ชายฉกรรจ์คนนั้นอารมณ์เสียกลับไป สรศักดิ์พยายามต่อรองขอลดหย่อนราคา โดยใช้เหตุผลว่ามันเป็นช่วงตรุษจีนเงินสะสมไว้ถูกใช้สอยไปมากแล้ว
วันที่ 29 มกราคม สรศักดิ์ได้รับโทรศัพท์ติดต่อจากจากนิรนามอีกครั้ง คราวนี้มันยินยอมลดค่าไถ่ลงจาก 25,000 บาท เป็น 20,000 บาท พร้อมกับนัดหมายให้ส่งเงินที่เก่าเวลาเย็น ขณะที่ชีวิตทุกชีวิตดูเหมือนถูกซะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว แต่ทว่าสรศักดิ์ก็ยังเชื่อว่าเป็นเพราะเขาไม่ทำตามข้อเจรจา เลยส่งผลให้น้องชายของเขาต้องจบชีวิตลง สรศักดิ์ไม่ได้ให้เงินไปเต็มจำนวน กลับนำมาแค่ 1,000 บาทเท่านั้น ทำให้คนร้ายโมโหมาก กระทั้งทั้งคู่นัดหมายส่งเงินอีกครั้ง ตอนเวลา 15.00 น. วันรุ่งขึ้น พร้อมกับคำขู่ว่าจะต้องนำไปให้ไม่เช่นนั้นกิมบั๊กจะต้องตายทันที สรศักดิ์รับปาก
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ลึกลับนั้นก็หายไปอย่างไร้วี่แวว เช่นเดียวกับเด็กชายกิมบั๊กที่ไม่ทราบชะตากรรม
การติดตามคนร้ายเริ่มต้นทันทีหลังจากได้ฟังคำให้การของพี่ชายผู้ตาย การตามหาตัวฆาตกรนี้ง่ายมากแค่หาที่มาของกล่องกระดาษไปนี้ มันปรากฏชื่อที่อยู่ของผู้ส่งบนกล่องด้วย มันมาจากบริษัทชุนหวัฒนา ถนนตรีมิตร ร้านนำเข้าเครื่องยนต์ เจ้าของบริษัทอุทัย เอ็กซ์ปอร์ต ถนนสุรวงศ์
จากเบาะแสของกล่องกระดาษ นำไปสู่การตามหาตัวฆาตกรอย่างง่ายดาย เมื่อพบว่ามีคนงานในบริษัทอุทัยเอ็กซ์ปอร์ตหายหน้าไปคนหนึ่งนานนับเดือนและเขาทิ้งร่องรอยไว้หลายอย่าง เช่น เครื่องพิมพ์ดีด หนังสืออาชญากรรม ปอยผม
หลักฐานสำคัญที่ทำให้ตำรวจมั่นใจว่าลูกจ้างรายนี้คือฆาตกรเลือดเย็นชัวร์คือคราบเลือดที่ซึมอยู่ใต้พื้นปาร์เกต์ แม้ว่าฆาตกรจะทำการชะล้างคราบเลือดบนพื้นจนหมดสิ้นก็ไม่อาจจัดการกับคราบเลือดบนพื้นได้หมดเพราะเลือดบางส่วนซึมเข้าไปอยู่ใต้พื้นปาร์เกต์
แต่การตามจับตัวฆาตกรนั้นต้องรอนานนับเดือนกว่าจะได้ตัว จนในที่สุดความพยายามของตำรวจก็ทำสำเร็จ เมื่อฆาตกรคนนั้นพยายามหนีการจับกุม ต้องระเห็จเร่รอนไปตามที่ต่างๆแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด และโดนตำรวจจับได้ในที่สุด
ฆาตกรคนนี้ชื่อ “จรินทร์ สิทธิธรรม” จากของฉายา “กระทิงแดง ศิษย์พระกาฬ” ถูกจับตัวและศาลพิพากษาตามประมาณกฎหมายอาญา มาตรา 289 ให้ประหารชีวิตจำเลย
แต่จรินทร์ สิทธิธรรมรับสารภาพตามกฎหมายแล้วถ้าคำสารภาพในชั้นการสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อรูปการพิจาณาคดี จึงสามารถลดบรรเทาโทษได้ ดังนั้นโทษของจำเลยจึงถูกลดโทษหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 และมาตรา 78 ให้ตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในที่สุด
ต่อจากนั้นเราก็ไม่รู้แล้วว่าชีวิตหลังจากนั้นของจรินทร์ สิทธิธรรมเป็นอย่างไร สิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้ก็มีเพียงเรื่องเล่าตำนานเรื่องจริงบทหนึ่งของประเทศไทยที่คนสมัยนี้หลงๆ ลืมๆ กันไปแล้วเท่านั้น หลายคนแทบไม่รู้เลยว่า “ฆ่ายัดกล่อง” มันคือคดีอะไรด้วยซ้ำไป
มีเหตุการณ์หลังจากนั้นนิดๆหน่อยๆ........ ถ้าเกิดเราไปจังหวัดเชียงใหม่ และไปที่สถานีรถไฟที่นั้น ถามเฒ่าคนแก่ดูคนจะพบว่ามีเรื่องเล่าของผีของเด็กชายที่ตายด้วย “เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เขาว่ากันว่าคนงานที่โกดังโรงงานยาสูบลาออกกันเกือบหมด เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเล่าเพราะความเฮี้ยนของเด็กที่ตาย บางคนเห็นรูปร่างเห็นเงา บางคนได้กลิ่นตลบอบอวลระหว่างการทำงาน จนเจ้าของต้องจ้างร่างทรงมาปัดรังควาน แต่น่าแปลกหลังจับตัวฆาตกรได้เรื่องประหลาดเหล่านี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"....
เครดิต คุณ สถาพร ศาสตร์พงษ์ ·