มาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากการเผาอ้อยในที่โล่ง ด้วยการรับซื้ออ้อยสดแทนอ้อยเผาไหม้ สามารถลดฝุ่นควันที่จังหวัดสุพรรณบุรีได้มากขึ้น

สำหรับประเทศไทยและดพี่น้องชาวไร่อ้อย จังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแก้ปัญหาการเผาไร่อ้อยให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดฝุ่น PM 2.5 ในทุกปีและยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรจำนวนมาก ด้วยการออกมาตรการรับซื้ออ้อยสดในปริมาณที่สูงกว่าอ้อยไฟไหม้ โดยปีนี้และปีหน้าได้ ยกระดับรับซื้ออ้อยสดเพิ่มอีกร้อยละ 90 หวังแก้ปัญหาฝุ่นเป็นศูนย์จากการเผาในที่โล่งในอนาคต ที่ผ่านมาส่วนใหญ่เกษตรกรไทยได้ใช้วิธีเก็บเกี่ยวไร่อ้อยด้วยวิธีการเผามาโดยตลอด เนื่องจากช่วยลดต้นทุนที่เป็นค่าแรงและประหยัดเวลา แต่กลับส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง โดยเฉพาะใบอ้อยที่ถูกเผาทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลุ่มหมอกควัน เนื่องจากการเผาอ้อยจะเกิดความร้อนสูงมากทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างรวดเร็ว และเกิดฝุ่นละอองลอยตัวกระจายในอากาศสูงกว่า 2,250 เมตร แล้วลอยไปได้ไกลถึง 16 กิโลเมตร หรือมากกว่า ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศและการคมนาคมสัญจร ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อที่ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เมื่อปี 2562 และซึ่งได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างมาก ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างหนัก จากผลกระทบจากการเผาไร่อ้อย ซึ่งช่วงเวลาที่มีการเผามากที่สุด คือช่วงเวลาเช้า-เย็น ทำให้ตลอดทั้งวันมีควันลอยอยู่ในอากาศพร้อมกับผงขี้เถ้าใบอ้อย ปลิวลอยตกตามบ้านเรือนต่าง ๆ สร้างความรำคาญและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในฤดู หีบอ้อยนี้ ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบทุกปี ตั้งแต่เดือน ธ.ค. - เม.ย เกิดมลภาวะทางอากาศจากควันไฟ ส่งผลให้อากาศในช่วงเช้ามีหมอกควันในพื้นที่ หน่วยงานหลายภาคส่วนเร่งบูรณาการให้เกษตรกรหยุดการเผา และใช้รถเป็นเครื่องมือตัดอ้อยแทน  ซึ่งระหว่างการเผาไหม้สารประกอบซิลิก้าในอ้อยจะถูกปล่อยออกจากลำต้นอ้อยเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งปอดได้ ส่วนเถ้าที่เกิดจากการเผาอ้อยจะเป็นอันตรายต่อสายตาของประชาชนที่อาศัยในบริเวณไร่อ้อยด้วย สิ่งสำคัญคุณภาพอ้อยไฟไหม้ที่ส่งขายให้ผู้ประกอบการโรงงานผลิตน้ำตาลมีคุณภาพต่ำกว่าอ้อยตัดสด ปี 2562 หลังจากนั้น ทางภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมกันแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาอ้อยอย่างจริงจัง ด้วยการออกมาตรการรับซื้ออ้อยสดในปริมาณที่สูงกว่าอ้อยไฟไหม้ โดยพบว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดการเผาไร่อ้อย ดูจากตัวเลขปีนี้เกษตรกรสามารถลดการเผาไร่อ้อยลงได้ถึงร้อยละ 20 แบ่งเป็น รับซื้ออ้อยสดอยู่ที่ร้อยละ 76 จากแผนร้อยละ 80 ส่วนอ้อยไฟไหม้อยู่ที่ร้อยละ 24 จากแผนร้อยละ 20 นายประสิทธิ์ วงษาเทียม ผู้อำนวยการกองอุตสาหกรรมอ้อยน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย เล่าให้ฟังว่า การแก้ปัญหาอ้อยไฟไหม้นอกจากลดการสร้างฝุ่นละออง PM 2.5 ลงได้อย่างมาก แล้วยังช่วยให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับรายได้เพิ่มขึ้นจากการตัดอ้อยสดขายให้กับผู้ประกอบการโรงงานผลิตน้ำตาลที่มีราคาสูงถึงตันละ 1,070 บาท ส่วนอ้อยไฟไหม้ที่นำมาขายจะถูกหักราคาตันละ 30 บาท ทำให้ปี 2565 กำหนดเป้ารับซื้ออ้อยสดเพิ่มเป็นร้อยละ 90 ของปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด ส่วนอ้อยไฟไหม้เหลือไม่เกินร้อยละ 10 ที่มีราคาส่วนต่างให้อ้อยสดมากกว่าอ้อยไฟไหม้ตันละประมาณ 200 บาท ส่วนระยะยาวปี 2566 จะลดปริมาณอ้อยไฟไหม้เข้าหีบให้เหลือไม่เกินร้อยละ 5 แล้วปี 2567 จะลดปริมาณอ้อยไฟไหม้เข้าหีบให้เป็นศูนย์

ขณะที่ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เล่าว่า การควบคุมการเผาไร่อ้อยของเกษตรกรจะช่วยลดการก่อให้เกิดค่าฝุ่น PM 2.5 และจุดความร้อน (Hotspot) ลงได้ เนื่องจากอ้อย 1 ไร่ พบปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 305 กิโลกรัม ทั้งก๊าซไนโตรเจนและก๊าซมีเทน เมื่อคำนวณจากพื้นที่การปลูกอ้อยในประเทศทั้งหมด 8.5 ล้านไร่ พบลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาได้ถึง 30 ล้านตันต่อปี หากควบคุมการเผาไร่อ้อยได้ทั้งหมดจะช่วยให้การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยเป็นศูนย์ได้เร็วขึ้น

สำหรับใบอ้อยเกษตรกรจะนำไปอัดก้อนแทนการเผาตอซัง โดยสามารถส่งขายสร้างมูลค่าเพิ่มและลดมลภาวะจากการเผาใบอ้อยหลังตัดได้อีกถึงตันละประมาณ 1,000 บาท เพื่อส่งไปผลิตพลังงานสะอาดต่อไป นอกจากจะสามารถแก้ปัญหาในกับเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้แล้ว ยังสามารถแก้ปัญหามลภาวะเป็นพิษ ในจังหวัดสุพรรณบุรีได้อย่างมากด้วยเช่นกัน เพราะพอการยกเลิกเผา และรณรงค์ให้หันมาตัดอ้อยสดส่งและเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น ประชาชนส่วนมากเห็นด้วยและทำตามที่ทางภาครัฐได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี ซึ่งก็ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ด้วย อีกครั้ง