แอบรักลุงข้างบ้าน ตอน10
ตอนที่ 10
คืนดีกัน ตามสัญญา
ภูวดลกับปานวาดมาส่งหนูนิดและรุ้งขวัญเป็นคนสุดท้าย หญิงสาวยืนโบกมือให้เพื่อนแล้วไขประตูเข้าไปโดยมีสายตาหนึ่งคู่ซุ่มดูอยู่ในความมืด
เมื่อเขาเห็นเธอกลับเข้าไปในบ้านเรียบร้อยดีแล้วจึงขยับตัวที่พิงต้นกล้วยเข้าบ้านของตนตาม
รุ่งเช้า...
ชายสูงวัยเปิดประตูห้องออกมา เห็นคาตาว่ามีหัวขโมยกำลังยุ่งอยู่กับแปลงผักของตนอยู่ โจรคนนั้นหันมาเห็นเจ้าของบ้านกำลังยืนกอดอกมอง จึงวิ่งทำหน้าตายเข้ามาหาแล้วพูดว่า
“พอดีคุณยายอยากกินราดหน้ายอดผัก แต่ตะโกนเรียกแล้วไม่มีใครขานรับ นี่ค่ะ ค่าผัก”
วางเหรียญสิบจำนวนสองเหรียญไว้ที่ระเบียงแล้วก็วิ่งตัวปลิวหายไปทางหลังบ้าน และวันถัดมาโจรสาวหน้าใสก็กลับมาแนวเดิมอีก พอถึงวันที่สาม ชายสูงวัยก็ตื่นแต่เช้าไปเฝ้าแปลงผักของตนเอง
รุ้งขวัญเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามาใกล้แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ขอซื้อกะหล่ำหนึ่งหัวได้ไหมคะ?”
เจ้าของผักทำหูทวนลม ก้มหน้าก้มตาพรวนดินต่อ เธอจึงทำจมูกย่นแล้วยื่นมือไปหมายจะถอนกะหล่ำออกมาทั้งหัว แต่แล้วกลับโดนตะครุบไว้ได้เสียก่อน
มือใหญ่แข็งแรงจับมือบอบบางนุ่มนิ่มไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอยู่อึดใจ แล้วเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วก้อยเกี่ยวกันไว้หลวม ๆ
“ต่อไปนี้เราสองคนจะรักกัน เชื่อมั่นกันและเข้าใจกันให้มากที่สุด” พูดจบก็หันมาจ้องมองแล้วลุกขึ้นยืนต่อหน้า “จะผิดสัญญาหรือ?”
รุ้งขวัญเงียบ ก้มหน้ามองพื้นเมื่อเขายกคำพูดของตนขึ้นมากล่าวอ้าง เธอถูกลูบหัวแผ่วเบาแล้วจับจูงให้ไปนั่งที่แคร่ หนุ่มใหญ่หยิบโตกข้าวออกมา ตักผัดคะน้าน้ำมันหอยที่เน้นเนื้อชิ้นโตใส่จานข้าวให้กับเธอ
นี่เป็นวิธีง้อของคนแก่หรือ...แต่ก็น่ารักดี
หญิงสาวยิ้มพอใจตักกับข้าวใส่ปากเคี้ยวแก้มตุ่ยอย่างเอร็ดอร่อย ความโกรธเคืองก่อนหน้าหายไปหมดสิ้น แม้เธอจะทำตัวดื้อรั้นแก่นแก้วแค่ไหน สุดท้ายก็โดนลุงหนูปราบเสียอยู่หมัดจนได้สิน่า
รุ้งขวัญยื่นเข็มที่ถูกขอให้ช่วยร้อยด้ายให้ แล้วก็แย่งกลับไปอีกรอบพร้อมกับเสื้อที่พาดอยู่บนตักเขา
“มาค่ะ เดี๋ยวหนูทำให้”
“คุณหนูทำเป็นหรือครับ?”
“ทำไมจะทำไม่เป็นคะ แค่นี้เอง ดูถูกคนได้เต็มวิชางานฝีมือ มีกี่ผืนไปเอามาให้หมดเลยค่ะ”
เขาฉีกยิ้มทำแววตาอ่อนโยนปลื้มปริ่มให้ น่าเสียดายที่รุ้งขวัญเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ถ้าเธอเห็นอาจจะดีใจมากถึงขั้นเป็นโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีกก็เป็นได้
เสื้อผ้าทั้งหมดถูกนำมากองไว้ข้างตัว แล้วเขาก็หันไปจัดการกับขยะ คัดแยกประเภทไว้ให้คนรับซื้อของเก่า
“พรุ่งนี้ลุงว่า คงจะได้เวลาขายของพวกนี้แล้วล่ะ คุณหนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“คุณลุงจะเลี้ยงหรือคะ?”
“ครับ”
“จริง ๆ นะคะ”
“จริงสิ”
“งบกี่บาท?”
เขากอดอกลูบคางทำท่าคิด
“อืม...แล้วคุณหนูอยากกินอะไรล่ะครับ?”
“หนูอยากกินของแพง ๆ”
“ของแพง ๆ หรือ?” ยกคิ้วถาม
“ค่ะ”
“งั้นห้าร้อยได้ไหมครับ?” เสียงอ่อนไม่มั่นใจว่าของแพงสำหรับรุ้งขวัญกับของแพงของเขาราคาจะเท่ากันหรือเปล่า
“ห้าร้อยก็เหลือเฟือค่ะ” ยิ้มแป้นแต่แล้วก็เหมือนจะนึกอะไรออก
“เอ่อ...ขอเปลี่ยนเป็นวันอื่นได้ไหมคะที่สะดวก พอดีพรุ่งนี้หนูมีเรียนทั้งวัน”
“วันไหนก็ได้ครับ”
ตอบแล้วหันกลับไปทำงานของตนต่อ หญิงสาวจึงแอบหยิบเสื้อผ้าที่ดูดีที่สุดของเขาติดมือกลับบ้านไปด้วยแล้วจัดการรีดให้เรียบ นำมาให้ในวันที่มีนัด พร้อมบังคับให้ใส่ตัวนั้น ถึงแม้ลุงหนูจะทำหน้าแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ยอมใส่มันแต่โดยดี
“เราซื้อไปกินกันที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ?”
“โธ่! คุณลุง กว่าจะกลับไปถึงไอติมก็ละลายหมดพอดี”
“แล้วหาซื้อกินแถวบ้านไม่ได้รึไง?”
“มันไม่มีหรอกค่ะ ไอศกรีมยี่ห้อนี้มีขายเฉพาะในห้างใหญ่เท่านั้น แต่คุณลุงไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ ไม่เกินงบหรอก”
ชายสูงวัยนั่งตัวเกร็งด้วยความประหม่า เพราะไม่คุ้นกับบรรยากาศของร้านที่มีแต่เด็กวัยรุ่นและคู่หนุ่มสาวจึงรู้สึกเคอะเขินเป็นอย่างมาก บ่นอุบอิบไม่หยุด
“ทำไมต้องมาทานร้านนี้ด้วย เฮ้อ!”
“ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันพิเศษไงคะ”
“วันพิเศษ?”
“ใช่ค่ะ วันนี้เป็นวันเกิดของหนู แต่หนูไม่ได้บอกคุณยายหรอกนะคะ กลัวคุณยายจะทำนั่นทำนี่ให้...เกรงใจ คุณยายทำเพื่อหนูมามากพอแล้ว และที่ไม่บอกเพื่อน ๆ เพราะกลัวจะโดนลากไปฉลองในผับอีก บอกตามตรงว่าหนูยังเข็ดอยู่เลย ฮะ ฮะ”
ร้านไอศกรีมร้านนั้นเปิดโล่ง มีเพียงราวเหล็กกั้นแบ่งโซนทำให้มองเห็นคนที่นั่งหันหน้าออกมานอกร้านได้อย่างชัดเจน รุจิราที่กำลังลงบันไดเลื่อนมาใช้สายตาเพ่งมองอย่างสะกิดใจคล้ายเจอคนรู้จัก เมื่อลงถึงพื้นชั้นเดียวกันก็เดินตรงเข้ามา พอเห็นชัดว่าเป็นน้องสาวต่างแม่จึงหาที่กำบังหลบ ทำทีไปยืนต่อแถวสั่งน้ำปั่นกับร้านที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วแอบลอบมองเข้าไป คิดสงสัยว่าผู้ชายที่มาด้วยกันคนนั้นเป็นใคร
พ่อเลี้ยงอย่างนั้นหรือ ก็ไม่น่าใช่ เพราะมากันแค่สองคนเอง ต้องมีน้านภาหรือไม่ก็น้องสาวอีกคนตามมาด้วยสิ ไม่มีทางที่พ่อเลี้ยงกับลูกเลี้ยงจะมากันแค่สองคน แล้วรุจิราก็นึกย้อนไปถึงคืนนั้น ที่โจอี้สบถกลับเข้ามาอย่างอารมณ์เสียบอกว่ารุ้งขวัญเลือกไปกับชายแก่คนหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเธอไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะมัวแต่สมใจที่เป็นฝ่ายชนะพนัน พอวันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเองก็เกิดความสงสัยเคลือบแคลงใจขึ้นมาทันที แล้วคิดไปในทางแย่ ๆ ตามประสานางร้ายขี้อิจฉา
นี่แกทำแบบนี้จริงหรือยัยรุ้ง
ใจหนึ่งก็ไม่เชื่อว่าน้องสาวต่างแม่จะทำอย่างที่ตนใส่ร้ายจริง ๆ แต่เมื่อตรองดูอีกที ก็ใช่ว่าเธอกับรุ้งขวัญจะสนิทสนมอะไรกันมากมาย ตรงกันข้ามออกจะไม่ถูกกันเสียด้วยซ้ำ รอยยิ้มมีชัยปรากฎขึ้นบนใบหน้าของรุจิรา หล่อนแอบสะกดรอยตามไปห่าง ๆ ไม่ให้สองคนรู้ตัวและยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูป
“นังรุ้ง แกเสร็จฉันแน่! ฉันจะทำให้พ่อตัดแกออกจากกองมรดกโทษฐานทำตัวอับอายเสื่อมเสียชื่อเสียง หึ”
ชายสูงวัยถูกลากเข้าไปในร้านโทรศัพท์ หลังจากที่เธอคะยั้นคะยอให้ซื้อตั้งแต่อยู่ที่ร้านไอศรีมแล้ว
“คุณลุงน่าจะมีติดตัวไว้สักเครื่องนะคะ เผื่อฉุกเฉินไม่สบายอย่างวันก่อนไง จะได้โทรเรียกใครได้ เอารุ่นเก่าที่ราคาไม่แพงและลูกเล่นไม่เยอะก็ได้ค่ะ แค่โทรเข้าโทรออกอย่างเดียวก็พอแล้ว”
เธอกล่อมอย่างนั้นและเขาเองก็คล้อยตาม แต่ยังไม่ซื้อ จนเมื่อกลับมาถึงบ้านก็พาเธอเข้าไปในห้องปิดประตูเงียบ นำทรัพย์สินที่ตนเก็บไว้ออกมาวางให้ดู
“แค่นี้พอจะซื้อโทรศัพท์ได้ไหมครับ?”
เขาเทเงินในถังน้ำดื่มขนาดหกลิตรบนผ้าขาวม้าที่ปูรองไว้ต่อหน้ารุ้งขวัญ
“นี่อย่าบอกนะคะ ว่าคุณลุงเก็บเงินไว้อย่างนี้ ไม่มีบัญชีธนาคาร”
“ครับ”
“โอ๊ย! คุณลุง มันอันตรายรู้ไหมคะ?”
“ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าลุงซ่อนเงินไว้ที่ไหน”
“แต่ก็น่าจะแบ่งฝากธนาคารไว้บ้าง รู้ไหมคะว่ามันสะดวกแค่ไหน ไปที่ไกล ๆ ก็ไม่ต้องพกเงินมากมายติดตัวให้ลำบากแค่มีบัตร ๆ เดียว”
“ลุงก็ไม่เคยไปไหนไกลนอกจากแถวนี้ อีกอย่างเงินของเราฝากคนอื่นรักษา มันไม่ไว้ใจ”
เพราะประสบการณ์ในอดีตจากพ่อใหญ่และนายผดุงเกียรติที่เป็นบทเรียนราคาแพงของชีวิต จนทำให้เขาต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้ จึงทำให้อิสระหรือลุงหนูไม่ไว้เนื้อเชื่อใจใครอีกต่อไปแล้ว
“แต่ธนาคารเขามีความน่าเชื่อถือ ไม่เอาเงินของเราไปง่าย ๆ หรอกค่ะ ถ้าเขายักยอกไปจริงเราก็มีสิทธิ์ฟ้องได้ แต่ถ้าคุณลุงเก็บเอาไว้อย่างนี้ไม่มีใครรับประกันนะคะ ถ้าโจรมันยกไปหมดทั้งถังเราก็ตามเอากลับคืนมาไม่ได้”
ชายสูงวัยนั่งฟังคิดอย่างไตร่ตรอง เริ่มมีความรู้สึกเห็นด้วย ทว่ายังมีข้อกังขาอยู่บ้าง
“แต่...ลุงกลัวว่าเขาจะให้เซ็นอะไรก็ไม่รู้ แล้วมาอ้างสิทธิ์ยึดของเราไปทีหลัง”
“เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ถ้าเขาจะเอาไปก็แค่หักธรรมเนียมค่าดูแลรักษาไม่กี่บาท เขาไม่เอาเงินของเราไปหมดหรอก แถมฝากไว้นาน ๆ ก็ได้ดอกเบี้ยเพิ่มด้วย แต่ถ้าเก็บไว้อย่างนี้เกิดน้ำท่วม ปลวกกิน ขึ้นราไม่มีใครรับผิดชอบนะคะ แล้วคุณลุงก็อาจจะไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาทเดียว”
อิสระยังทำท่าคิดหนักเป็นกังวลใจอยู่ รุ้งขวัญจึงพูดหว่านล้อมอีกครั้ง
“ถ้างั้นให้หนูไปเป็นเพื่อนไหมคะ เวลาคุณลุงมีอะไรสงสัยไม่กล้าถามพนักงานถามขวัญเอาก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง”
“ดีค่ะ”
ทั้งสองช่วยกันนับเงินกองโต รุ้งขวัญบอกให้เขาไปหาเศษกระดาษมาแล้วฉีกเป็นเส้นให้เธอเพื่อนำมาพันกับเหรียญบาท
“คุณหนูนี่เก่งจังเลย เข้าใจทำนะ”
อิสระเอ่ยปากชม นับเหรียญบาทจำนวนสิบเหรียญกองเป็นตั้งให้เธอห่อ นับรวม ๆ ดูเงินทั้งหมดของตนแล้วมีร่วมหมื่นกว่าบาท ซึ่งเขาจะนำมันไปซื้อโทรศัพท์กับฝากเข้าธนาคารตามคำแนะนำของเธอ
“หนูขวัญ หนูขวัญค่ะอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
คนทั้งคู่มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าใครมาส่งเสียงเรียกอยู่หน้าบ้าน เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาวุ่นวายนัก
“เสียงป้าอรนี่คะ”
“คุณหนูอยู่ในนี้ก่อนนะครับ อย่าออกไป เดี๋ยวเขาจะนึกว่าเราทำอะไรกันอยู่”
พูดจบก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูปล่อยให้รุ้งขวัญนั่งคิดมากกับคำว่า.....ทำอะไรกันอยู่
ก็จะทำอะไรล่ะ นั่งนับเงินด้วยกันไง
หญิงสาวหันซ้ายหันขวา มองรอบห้องที่เล็กและปิดมิดชิด มองตนเองที่นั่งพับเพียบอยู่บนที่นอนพับของเขาแล้วก็รู้สึกร้อนผ่าวทั่วหน้า เมื่อหัวสมองเกิดจินตนาการเลิศล้ำขึ้นมา
บอกไปใครจะเชื่อ ว่าชายหญิงอยู่ในห้องกันสองต่อสองจะไม่มีเรื่องลับลมคมในใต้สะดือ ว๊าย!...
“คุณหนูอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” หญิงแม่บ้านถาม
“มีอะไรรึ?”
“คุณนภา แม่ของคุณหนูมาหา”
“อืม น่าจะอยู่ท้ายสวนเดี๋ยวไปตามให้”
“ขอบใจ”
เจ้าของบ้านยืนมองจนแน่ใจว่าป้าอรกลับออกไปแล้วจริง ๆ จึงเปิดประตูห้องเข้ามาข้างใน
“คุณแม่มาหา สงสัยจะมาพาไปเลี้ยงวันเกิด”
เธอก้มหน้า ซ่อนความกระดากอายที่ผิดปกติของตัวเอง วิ่งผลุนไปทางหลังบ้านแล้วก็เปลี่ยนใจวกย้อนกลับมาเพื่อจะเข้าทางประตูหน้าแทน หนุ่มใหญ่เห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของสาวน้อยเข้าอย่างนั้นก็อดส่ายหน้าขำไม่ได้
เจ้าของบ้านถือโตกข้าวออกมาวางบนแคร่ พร้อมเรียกรุ้งขวัญที่มัวแต่ไล่ถ่ายรูปผีเสื้อเล่นกับแปลงผัก
“คุณหนู มากินข้าว”
เธอเดินมาตามคำเรียก วางโทรศัพท์มือถือบนกระเป๋า นั่งพับเพียบหยิบจานข้าวของตนเองขึ้นมา ลุงหนูที่นั่งลงตรงข้ามกันเกิดรู้สึกขัดใจ ขัดหูขัดตาไปกับชุดเครื่องแบบนักศึกษาใหม่ของรุ้งขวัญ
จากเดิมที่ดูน่ารักในเสื้อตัวใหญ่กับกระโปรงพลีทจีบกลีบเหนือเข่า ตอนนี้หญิงสาวเปลี่ยนมาเป็นชุดพอดีตัวและกระโปรงสั้นแคบแถมยังแหวกตรงหน้าขา
“ค่าเทอมแพงไหม?”
“ค่าเทอมหรือคะ ก็แพงอยู่”
“มิน่าล่ะ ถึงต้องประหยัดเสื้อผ้า ถ้าใกล้เรียนจบสงสัยคงจะหดเหลือเท่ากางเกงใน”
หญิงสาวทำตาลุกวาวกับคำกล่าวตำหนิอ้อม ๆ ของผู้อาวุโสก็โต้เถียงขึ้นมาทันควัน
“คุณลุงนี่ มันเป็นแฟชั่นหรอกค่ะ”
“สมัยก่อนไม่ได้เห็นขาอ่อนสาวง่าย ๆ หรอกถ้าไม่ใช่เวทีรำวง แต่เดี๋ยวนี้สิ มีให้ดูถมถืดไม่ต้องเสียสักสตางค์แดงเดียว”
“ชิ!” ทำท่าปะหลับปะเหลือกใส่ให้
“ถ้าได้เห็นขาอ่อนสาวก็ต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงาน แต่นี่...คงได้ไล่แต่งกันไม่หวาดไม่ไหว”
“โอ๊ย! เมื่อก่อนกับตอนนี้มันเหมือนกันที่ไหนเล่า
เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาออกไปทำงานนอกบ้านไม่ต่างกับผู้ชาย ยังจะมาอะไรอีก มันก็เป็นไปตามยุคตามสมัยนั่นแหละค่ะ”
“หนุ่ม ๆ สมัยนี้โชคดีนะ ได้เห็นของสวยงามชวนเจริญหูเจริญตาทุกวันเลย”
“พูดมากจัง”
หญิงสาวทำท่าลมออกหูกับความหัวโบราณของเขา ตักกับใส่จานข้าวให้รัว ๆ เป็นการบ่งบอกว่าให้เลิกบ่นเรื่องเครื่องแต่งกายของเธอได้แล้ว
หลังทานข้าวเช้าด้วยกันเสร็จแบบเงียบ ๆ เมฆาก็เข้ามารับตามที่รุ้งขวัญโทรไปเรียก แล้วทั้งสามคนก็ออกไปพร้อมกันโดยการไปส่งอิสระเปิดบัญชีที่ธนาคารก่อน ไปซื้อโทรศัพท์มือถือ และจากนั้นก็แวะไปส่งรุ้งขวัญที่มหาวิทยาลัย
“เจอกันตอนเย็นนะคะคุณลุง”
ส่งยิ้มหวานโบกมือไหว ๆ ให้ เมฆาเห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็เข้าใจว่ารุ้งขวัญเป็นผู้หญิงคนหนึ่งของลูกพี่ตน เหมือนกับคนอื่นในอดีตที่ผ่านมา
“กลับกันเลยนะ” ถามกับผู้โดยสารข้างหลัง
“ยัง ฉันมีธุระต้องทำอีก”
รุ่นพี่หยิบนามบัตรในกระเป๋าเสื้อออกมา ลองกดหมายเลขตามนั้นพูดคุยกับคนปลายสายไม่กี่คำ แล้วบอกให้เมฆาไปส่งยังสถานที่ที่คนปลายสายบอก
รถแท็กซี่แล่นเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ทรงยุโรป เจ้าของบ้านเดินออกมาต้อนรับแขกด้วยตนเองแล้วพาไปยังห้องรับแขก ยื่นซองสีน้ำตาลห่อใหญ่ที่เตรียมไว้ให้ซึ่งข้างในมีแต่ธนบัตรแบงค์พัน
อิสระล้วงเงินออกมาหนึ่งปึกมองหน้าภูวดลอย่างฉงนฉงาย
“อะไร?”
“เงินตามจำนวนที่คุณพ่อเอามาพร้อมกับดอกเบี้ยครับ”
ชายสูงวัยพอจะเข้าใจคำอธิบายสั้น ๆ แต่ยังไม่กระจ่างความ ทำหน้าเป็นเชิงถามกลับไปอีก
“ที่คุณพ่อให้ลงประกาศตามหาเพราะอยากเจอคุณเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อจะได้กล่าวคำขอโทษจากใจ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ทัน ผมจึงต้องทำตามคำสั่งเสียของท่านที่ว่าให้ตามหาคุณให้พบและชดใช้เงินทั้งหมดแทนท่าน”
ได้ยินดังนั้นแขกผู้มาเยือนก็ถอนใจส่ายหน้า โยนห่อทั้งหมดลงบนโต๊ะกระจกเล็ก หลับตากุมขมับ
ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ คำสาปแช่งที่เขาอาฆาตไว้ในอดีตเพราะความโกรธแค้นจะเป็นผลให้ผดุงเกียรติไม่มีความสุขเท่าใดนัก เพราะไม่งั้นคงไม่สำนึกผิดแล้วคิดจะคืนเงินให้ทั้ง ๆ ที่มันผ่านมานานแล้ว แต่แปลกใจที่เขาเองกลับไม่รู้สึกใด ๆ เลย ไม่ว่าจะสะใจ แค้นใจ หรือดีใจ กลับไร้อารมณ์ หมดความรู้สึก คล้ายกับว่าตายด้านกับบาดแผลเหล่านั้นไปเสียแล้ว คงจะอย่างนั้นมั้ง ก็มันผ่านมานานแล้วนี่นา และตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้อโหสิแต่ก็พยายามลืม ๆ ไป หมั่นทำบุญใส่บาตรให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ ออกจะปลง ๆ กับชีวิตนี้ไปได้เยอะอยู่เหมือนกัน
“คุณอาครับ ในฐานะที่ผมเป็นลูก ขอกล่าวคำขอโทษแทนคุณพ่อ ท่านได้สำนึกผิดแล้วกับสิ่งไม่ดีที่เคยทำไว้ ขอคุณอาได้โปรดยกโทษอโหสิให้กับคุณพ่อด้วยเถอะครับ เพื่อที่ท่านจะได้ไปอย่างหมดห่วงไม่มีสิ่งใดให้ค้างคา” ภูวดลนั่งลงคุกเข่าพนมมือ
อิสระลืมตาขึ้นมองคนเบื้องหน้าที่แสดงความจริงใจออกมาอย่างชัดเจน ถึงจะเป็นพ่อลูกกันแต่ก็เป็นคนละคน ที่สำคัญผดุงเกียรติก็ตายไปแล้ว ดังนั้นตนก็ควรจะปล่อยวางทุกอย่างด้วยเช่นเดียวกัน
“ลุกขึ้นเถอะ คนก็จากไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะจองเวรกันไป อาอโหสิให้ ไม่แค้นเคืองโกรธพ่อเราอีกแล้วล่ะ ขอให้สบายใจได้”
“ขอบคุณครับ”