แอบรักลุงข้างบ้าน ตอน3
ตอนที่ 3 วิมานคนจน
บ้านน็อคดาวน์สีฟ้าราคาห้าหมื่นกว่าบาท ที่เขาใช้เวลาเก็บเงินสะสมมาหลายปี ตั้งหันหลังชนกำแพงรั้วบ้านของยายนวล
ปีกทางซ้ายใช้ท่อพีวีซีต่อเติมยื่นออกไปทำเป็นห้องครัว นำป้ายไวนิลโฆษณาและป้ายหาเสียงมาทำเป็นหลังคาคุ้มแดดคุ้มฝน วางแคร่ไม้ไผ่ชิดติดขอบบันไดไว้สำหรับนั่งทานข้าวและทำกิจกรรมอเนกประสงค์
ทุกตารางนิ้วในที่ดินแห่งนี้ล้วนถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า นอกจากจะมีแปลงผักสวนครัวนานาชนิดแล้ว ตามริมตลิ่งยังมีต้นกล้วย ตะไคร้ ขิง ข่า มะละกอ มะนาวและคอกปุ๋ยหมัก ส่วนรอบบริเวณบ้านมีกระถางพริก ขึ้นฉ่าย และขวดน้ำพลาสติกดัดแปลงที่ปลูก
สาระแหน่ห้อยย้อยลงมาสวยงามเหมือนไม้ประดับ
ในวันนี้รุ้งขวัญก็มาเที่ยวเล่นเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อรอที่ศาลาท่าน้ำด้านหลังเป็นนาน ไม่มีวี่แววที่เพื่อนบ้านคนใหม่จะลงมานั่งทำงานเหมือนเดิม เธอจึงขึ้นมาส่องดู เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนอยู่ก็เลยเดินคอตกกลับบ้านไป
“คุณลุงกลับมาแล้ว ไปทำธุระมาหรือคะ?”
ชายสูงวัยต้องแปลกใจ ที่เห็นสาวน้อยนั่งรอที่แคร่หน้าบ้านและพุ่งพรวดลุกขึ้นมาทำท่าดีใจเมื่อเห็นหน้าตนในทันที
อันที่จริงรุ้งขวัญกลับบ้านไปแล้ว และหวนกลับมาอีกครั้งในเวลาเย็นเพราะนึกว่าเขาจะต้องกลับมารดน้ำแปลงผักที่เคยทำเป็นกิจวัตรประจำวันเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าจะกลับมาง่าย ๆ เธอจึงทำหน้าที่นี้แทนและนั่งรออยู่
“หนูรดน้ำแปลงผักให้แล้วนะคะไม่ต้องเป็นห่วง”
มือที่หยิบกระบวยชะงักนิดนึง ก่อนจะจ้วงตักน้ำจากหม้อขึ้นมาดื่มแก้กระหาย
“ขอบใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เจ้าของบ้านหันมาจ้องหน้าคนตัวเล็กที่ยืนยิ้มแฉ่งคล้ายได้รับคำชมจากการสอบได้ที่หนึ่งของชั้นเรียน แบบนี้แล้วควรจะให้รางวัลอะไรดี
“กลับไปได้แล้ว” และนี่คือการตอบแทนที่เขามอบให้ ทำให้สาวน้อยหน้าจ๋อยลงทันที อุตส่าห์นั่งรอตั้งนาน เพิ่งมาถึงได้แป๊บเดียวก็ไล่เธอกลับเสียแล้ว
ชายสูงวัยเดินนำหน้าก้าวเท้ายาวตรงไปยังท้ายสวนเพื่อส่งแขกถึงที่ แต่เธอกลับยืนนิ่งตรงปากทางอย่างอิดออด เขาจึงต้องเอ่ยบอกเสียงเข้ม
“วันนี้หมดเวลาแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นใหม่”
เท้าสะเอวยืนส่งจนเห็นหลังบางหายลับไปอีกฝั่งหนึ่ง คิดว่าควรหลบหน้าหลบตาต่อไปเรื่อย ๆ อย่างนี้จนกว่าจะถึงเวลามหาวิทยาลัยเปิดดีไหม เมื่อไม่สามารถพูดตรง ๆ ได้ว่าไม่อยากให้เธอมาขลุกตัวอยู่ที่นี่บ่อยเกินไป
เธอไม่ได้ทำอะไรผิด...เขาไม่ได้ทำอะไรผิด.....
แต่คนอื่นภายนอกที่รู้เข้าจะเชื่อไหมว่า ผู้ชายวัยกลางคนอาศัยอยู่คนเดียวจะเป็นเพื่อนกับสาวน้อยข้างบ้านที่ล่วงเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขามีความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ข้างในลึก ๆ กลัวว่าหากมีใครรู้จักเขาและจำเรื่องราวในอดีตได้ คนที่จะเป็นฝ่ายเสียหายมากที่สุดก็คงไม่พ้นสาวน้อยไร้เดียงสาคนนั้น
วันนี้รุ้งขวัญไม่รอให้ถึงเวลาบ่าย รีบไปเที่ยวหาเพื่อนบ้านเร็วกว่าที่เคยเพื่อชดเชยจากการรอเก้อในเมื่อวาน และต้องแปลกใจว่าทางที่เคยใช้ผ่านประจำนั้นมันกว้างขึ้นมาก ไม่ต้องนั่งยอง ๆ มุดออกไปอีกแล้ว แค่ย่อตัวค้อมต่ำลงก็โผล่ไปอีกฝั่งได้สบาย แถมพวกเศษซากอิฐที่ระเกะระกะก็ถูกเก็บกวาดเรียบ แม้แต่ต้นเฟื่องฟ้าที่ขวางทางก็ถูกตัดจนกุดเหลือแต่ตอ
“คุณลุงทำทางเดินข้างหลังให้หนูหรือคะ ขอบคุณค่ะ”
ทีแรกเขาตั้งใจจะปิดรูโหว่นั้นเพื่อไม่ให้สาวน้อยเดินข้ามมาได้ คิดอีกทีก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับเด็กดื้อตาใสคนนี้จึงไม่ได้ทำอย่างที่คิดแต่แรก
“วันนี้คุณลุงไม่สานกระเป๋าหรือคะ?”
“ไม่”
“แล้ววันนี้เราจะทำอะไรกันดี?”
เรา...ได้ยินคำนี้เข้าทำเอาคนที่ใช้ชีวิตอยู่ลำพังคนเดียวมานานรู้สึกแปลกพิกล แต่แล้วก็ถูกความชาชินจากความโดดเดี่ยวมานานตัดทิ้งไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะฟูฟ่องด้วยความยินดี เพราะความหมายของคำว่าเราของรุ้งขวัญ กับคำว่า ‘เรา’ ของเขาอาจจะคนละความหมายกัน
“แล้วอยากทำอะไรล่ะ?”
“ไม่รู้ค่ะ แล้วแต่คุณลุง”
ชายสูงวัยเดินนำหน้าสาวน้อยไปริมห้วยอีกด้าน ยื่นคราดให้ ส่วนตนถือจอบอยู่ในมือ ช่วยกันกลับด้านกองปุ๋ยหมักเอาข้างล่างสลับขึ้นข้างบนที่มีอยู่ด้วยกันถึงหกกอง
“หนูเคยเรียนมา มันมีวิธีทำกองปุ๋ยหมักแบบไม่ต้องพลิกกองด้วยนะคะ ทำแบบนั้นมันง่ายกว่าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้”
พูดหอบพร้อมยกแขนปาดเหงื่อที่ซึมออกมา เห็นดังนั้นเขาจึงถอดหมวกสานปีกกว้างที่ตนสวมอยู่ใส่ให้ แล้วแกะผ้าขาวม้าที่มัดเอวตนออกใช้โพกศีรษะแทน
“แล้วมันทำยังไงล่ะ?”
“หนูจำไม่ได้แล้วค่ะ พอดีวันนั้นไม่ค่อยตั้งใจเรียน แหะ ๆ”
ผู้อาวุโสจ้องมองใบหน้านวลเนียนที่พวงแก้มแดงสดอย่างลูกตำลึงด้วยพิษแดดและอากาศร้อนอยู่นาน เธอจึงร้อนตัว กลัวจะถูกเข้าใจผิดว่าตนเป็นเด็กเกเรชอบหนีเที่ยว เพราะพฤติกรรมที่ชอบมาเล่นขลุกอยู่ที่นี่ทั้งวันมันก็ฟ้องออกมาอย่างนั้น
“แต่ว่า ๆ เฉพาะวิชานี้เท่านั้นแหละค่ะ ส่วนวิชาอื่นหนูได้เต็มหมดเลย.....จริงสิคะ ดูจากยูทูบเอาก็ได้ง่ายจะตาย มันมีบอกเยอะแยะ”
“อะไร? ยูทูบ”
“เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการวีดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตค่ะ ดูได้จากโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต คล้ายดูรายการในทีวีนั่นแหละค่ะ แต่อันนี้เราเลือกได้ว่าอยากจะดูอะไร...คุณลุงไม่มีโทรศัพท์หรือคะ?”
“ไม่มี”
“ไม่มี! แล้วอย่างนี้จะติดต่อกับครอบครัวเพื่อนฝูงยังไง อย่าบอกนะคะว่าใช้เขียนจดหมายเอา เชยจัง”
“ไม่รู้จะติดต่อกับใคร”
สาวน้อยละมือจากการใช้คราดดึงกองปุ๋ยหมัก หันมามองคนข้างกายที่มีใบหน้าเรียบเฉยสนิท
“อย่าบอกนะคะว่าคุณลุงอยู่ที่นี่คนเดียว”
“ก็เห็นว่าอยู่กับใครล่ะ?”
“คุณลุงไม่มีญาติพี่น้องจริงหรือคะ หรือว่าคุณลุงเป็นลูกกำพร้า”
ทีนี้เขาผละจากงานที่ทำอยู่ตรงหน้าบ้าง หันมาสบตากับคนตัวเล็กด้วยแววตาขุ่น รุ้งขวัญจึงรู้ตัวว่าพูดจาอะไรไม่เข้าท่าออกไป รีบกล่าวคำขอโทษผู้อาวุโสกว่าด้วยความรู้สึกผิด
“ขอโทษค่ะ”
“ไม่ใช่หรอก ญาติพี่น้องมีก็เหมือนไม่มี”
“เหมือนหนูเลยค่ะ หนูก็มีพี่น้องและก็มีพ่อแม่ แต่มีก็เหมือนไม่มีจึงต้องระเห็จมาอยู่ที่นี่กับยาย”
น้ำเสียงที่พยายามทำให้ร่าเริงเข้มแข็งในทีแรกเพื่อกลบปมด้อยในใจเศร้าสลดลงในตอนท้าย สาวน้อยทิ้งคราดในมือเดินหนีไปนั่งซุกตัวในกอกล้วยด้วยท่าทางเชื่องซึมอย่างน่าสงสาร
เธอมาอยู่กับยายหลายวันแล้ว แต่ไม่มีวี่แววคนทางบ้านจะตามหา พ่อคงคิดว่าเธออยู่กับแม่ ส่วนแม่คงคิดว่าเธออยู่บ้านพ่อ นี่ทุกคนคงลืมไปแล้วใช่ไหมว่ามีเธออีกคนอยู่ในชีวิตของพวกเขา
“ฮือ ๆ ฮือ ๆ”
จู่ ๆ สาวน้อยก็นั่งกอดเข่าร้องไห้ ซุกตัวอยู่ในกอกล้วยด้วยความเสียใจ หนุ่มใหญ่ก็นึกไม่ถึงว่าคนร่าเริงสดใสที่เห็นจะซ่อนหัวใจบอบช้ำเอาไว้ภายใน มิน่าเล่า เธอถึงชอบมาขลุกอยู่ที่นี่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ก็เพราะต้องการหนีปัญหาส่วนตัวอย่างนี้นี่เอง
รู้อย่างนี้แล้ว ต่อไปเขาคงเลิกรำคาญใจ ไม่กล้าไล่เธอกลับไปบ่อย ๆ อีกแล้ว พร้อมกันนั้นก็เกิดความรู้สึกเห็นใจเพราะตนเองก็ไม่เคยได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เลยทิ้งจอบในมือเดินกลับไปที่บ้าน ปล่อยให้รุ้งขวัญนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวโดยไม่เข้าไปปลอบใจ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป คนเจ้าน้ำตาก็ขยับออกจากตรงนั้นเพราะร้องไห้จนหมดแล้ว และเพิ่งรู้สึกตัวว่าร้อนมากเพราะแดดแรง ตอนที่ลุกขึ้นยืนหัวก็ไปโหม่งเข้ากับของสิ่งหนึ่งที่ชายสูงวัยแอบนำมาไว้ให้อย่างเงียบ ๆ
มันคือปลาตะเพียนสานจากใบมะพร้าว ที่ปลายก้านผูกไว้กับตัวปลา ส่วนด้ามจับปักเสียบไว้กับต้นกล้วย เธอดึงมันออกมาเช็ดน้ำตาป้อย ๆ เดินสาวเท้ากลับไปหาเขาที่นั่งพิงตัวบ้านอยู่บนแคร่ไม้ไผ่
รุ้งขวัญนั่งห่างออกไปใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้าอีกครั้ง มองมือหยาบกร้านที่สาละวนอยู่กับการประดิษฐ์อะไรบางอย่าง แล้วก็โยนลูกบาศก์ทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กมาให้กับเธอ
“อะไรคะ?”
“ลูกตะกร้อ”
“ไม่เห็นเหมือนลูกตะกร้อเลยเหมือนลูกบอลมากกว่า”
“นี่แหละเขาเรียกลูกตะกร้อ”
เธอวางปลาตะเพียนลงข้างตัว แล้วถอดหมวกออก ยืนขึ้น ทำท่าเดาะกับโหม่งลูกตะกร้อเล่นอย่างสนุกสนาน รู้สึกคลายความเสียใจและอารมณ์แช่มชื่นขึ้นมาได้บ้าง
“นั่นอะไรคะ?”
เธอถามอีก เมื่อเห็นเขายังสานอะไรแปลก ๆ ต่อ
“ยื่นแขนมาสิ”
เธอยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปอย่างว่าง่าย ชายสูงวัยนำของสิ่งนั้นวางทาบไปบนข้อมือซ้าย
“อุ๊ย! นาฬิกา...คุณลุงทำเก่งจังเลย ทำอะไรเป็นอีกบ้างคะ?”
“แค่นี้แหละ”
“อันนี้คือของเล่นสมัยคุณลุงหรือคะ ทำไมมันน่ารักจังเลย หนูเคยเห็นจากภาพยนตร์รู้จักแต่มอญซ่อนผ้ากับม้าก้านกล้วย”
“เด็กสมัยนี้เค้าไม่เล่นกันหรือ?”
“ไม่ค่ะ ไม่ค่อยได้เล่น มีแต่เรียน ๆ เรียน แล้วก็เรียนพิเศษ ถ้าจะเล่นก็เล่นโทรศัพท์แทน”
“อ่อ งั้นตั้งเตก็คงไม่รู้จักสินะ”
“อะไรนะคะตั้งเต”
เอียงคอถามพร้อมทำคิ้วย่นกับชื่อเรียกแปลก ๆ นึกภาพไม่ออกว่ามันคืออะไร
ผู้อาวุโสใช้ไม้ขีดช่องสี่เหลี่ยมลงบนพื้นดิน โดยเขียนตัวเลขกำกับไว้ข้างใน บอกให้เธอไปเก็บก้อนหินขนาดเล็กเหมาะมือมาให้
“อันนี้ใช้ได้ไหมคะ?”
“ได้ มะ มายืนตรงนี้”
จับเธอหันหลังแล้วบอกวิธีการละเล่น
“โยนก้อนหินข้ามหัวไป ไม่ต้องไกลมาก”
ยืนกอดอกสอนวิธีการเล่นอยู่ข้าง ๆ
“เอาใหม่ใช้ไม่ได้ ให้ตกภายในช่องห้ามเลยกรอบ ดี! ทีนี้ยืนขาเดียว กระโดดไปทีละช่องแต่ข้ามช่องที่มีก้อนหินนี้ไป ตรงนี้วางสองเท้าได้.....กลับหลังหัน มาเหมือนเดิม ก้มเก็บก้อนหินขึ้นมา ห้ามเอาขาลง กระโดดข้ามไป...เก่งมาก”
“สนุกจังเลยค่ะคุณลุง”
ท่าทางรื่นเริงและใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง และมันก็สร้างความประทับใจให้กับเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
รุ้งขวัญ ชื่อนี้ดูเหมาะสมกับเธอดี ไม่รู้ใครเป็นคนตั้งให้ สายรุ้งหลากสีอันงดงามสดใสหลังฝนตกใหม่ ที่ พลอยทำให้หัวใจแห้งแล้งของใครบางคนรู้จักกับความชุ่มฉ่ำไปด้วย
สาวน้อยวิ่งกลับมาหลังจากเล่นสนุกจนเหน็ดเหนื่อย ใช้กระบวยตักน้ำในหม้อดินเผาดื่มแก้กระหาย แล้วไปนั่งเก้าอี้ที่เก็บได้จากกองขยะฝั่งตรงข้ามมองเจ้าของบ้านที่นั่งกินข้าวเที่ยงอย่างเอร็ดอร่อย
“กินมั้ย?”
เอ่ยถามขึ้นโดยไม่เงยหน้ามา เมื่อหางตาเห็นว่าถูกจ้องมองอยู่
“ไม่ค่ะ”
‘จ๊อก ๆ จ๊อก ๆ’
เสียงท้องร้องขึ้นมาเบา ๆ คิดว่าคงไม่ได้ยินเพราะนั่งห่างกัน
“ไม่หิวหรือ?”
“ไม่ค่ะ หนูยังไม่หิว”
‘โครก...คราก’
ทีนี้มันส่งเสียงประท้วงหนักขึ้นกว่าเดิมจนเขาหันมามองแล้วยกไหล่พร้อมเสียงหึในลำคอ รุ้งขวัญทำหน้าไม่ถูก รู้สึกอายมากที่เสียมารยาทจึงก้มลงทำมือพันกันอยู่บนตัก
“น้ำพริกผักนึ่งคงกินไม่เป็นสินะ กลับบ้านไปเถอะเดี๋ยวค่อยมาใหม่”
สาวน้อยลุกขึ้นยืนวิ่งหนีกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว แล้วตลอดบ่ายนั้นก็ไม่ได้กลับมากวนอกกวนใจเขาอีกเลยไม่รู้เพราะสาเหตุใด
กิจวัตรประจำวันของชายสูงวัยต่อเนื่องกันไปไม่เคยหยุด เริ่มตั้งเช้ามืดตอนตีสี่ นำผักที่เก็บไว้ในเย็นวานไปส่งแม่ค้าเจ้าประจำในตลาด รอใส่บาตรพระ บางวันขี้เกียจทำอาหารก็หิ้วกับข้าวสำเร็จรูปติดมือเข้ามาด้วย
หลังทานอาหารเช้าก็เข้าไปทำงานในสวนผักอย่างขยันขันแข็งจนถึงตอนสาย เมื่อแดดเริ่มแรงก็กลับเข้ามาผลัดผ้าอาบน้ำ ทานข้าวกลางวันเสร็จก็ซักชุดทำงานตาก นอนกลางวันหนึ่งงีบที่แคร่ข้างบ้านหรือศาลาท่าน้ำ ถ้ามีงานสานกระเป๋าที่ไปรับคนอื่นมาก็จะทำถึงเย็น หากวันไหนคนจ้างไม่มีงานให้ก็จะคัดแยกขยะที่เก็บมา
ตอนเย็นรดน้ำแปลงผักและเก็บผักเตรียมไปส่งในวันรุ่ง เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นมาอีกทีกลางดึกก็จูงจักรยานเก่า ๆ ไปเที่ยวเก็บขยะตามถนนหนทางเพื่อนำมาขายจนถึงเวลานำผักไปส่งก็กลับเข้ามาอีกที
ทุกอย่างดำเนินมาเป็นระยะเวลาหลายปีก่อนรุ้งขวัญจะเข้ามาในชีวิตเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า ที่ทำให้ความเป็นอยู่อันเรียบง่ายของเขาวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย นาฬิกาที่เดินอยู่ตามเวลาของมันกลับหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม ความเบื่อหน่ายซ้ำซากจำเจที่เคยเป็นอยู่ในทุกเมื่อเชื่อวันกลับมีสีสันสดใส
โลกใบเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ขยายใหญ่ขึ้น และเขาเองคงไม่รู้ตัวว่า ความมืด ความเหงา ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย และความทรงจำเลวร้ายในอดีตที่อยู่เป็นเพื่อนกันมานาน ค่อย ๆ ทยอยเก็บข้าวของออกจากวิมานแห่งนี้ไปทีละน้อย