“เจ้ากาวิละวงศ์ วิศวกรกระดูกเหล็กแห่งกรมทาง”
ถ้าใครเข้ามาเพจนี้โดยที่ยังไม่ได้อ่าน “เจ้ากาวิละวงศ์ วิศวกรกระดูกเหล็กแห่งกรมทาง”แล้วละก็ ขอร้องให้คลิกระโยงข้างใต้เข้าไปอ่านเสียก่อนนะครับ มิฉะนั้นก็จะพลาดบางสิ่งบางอย่างไป
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2864565683607111&id=1174884455908584
.
เมื่อเจ้ากาวิละวงศ์เรียนจบวิศวกรรมศาสตร์จากฝรั่งเศสแล้ว ก็เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๔๖๖ เป็นเจ้านายฝ่ายเหนือที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทั้งโก้และเก่ง พูดคล่องไม่ว่าอังกฤษหรือฝรั่งเศส ลีลาศแบบบอลรูมได้สวยสง่ามาก แต่เนื้อหอมฟุ้งอยู่ได้ไม่นานก็สมรสกับ เจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ ลูกพี่ลูกน้องกันเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๔๖๗ ไม่ทราบว่ายังเป็นศักราชเดิมหรือปรับปรุงให้เริ่มต้นปีใหม่ในเดือนมกราคมแล้ว เพราะถ้ายัง ก็ต้องนับอย่างปัจจุบันเป็นปี ๒๔๖๘ มีเวลาเป็นหนุ่มโสดเพิ่มขึ้นมาอีก ๑ ปี จึงได้เป็นลูกเขยเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงแห่งนครเชียงใหม่ มีเจ้าพี่เจ้าน้องร่วมมารดาของภรรยาคือ เจ้าพงษ์อินทร์ และเจ้าอินทนนท์
.
ใครที่เห็นภาพที่ทั้งสองถ่ายคู่กันแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองท่านงามสมกันมาก
.
เมื่อการงานของเจ้ากาวิละอยู่กรุงเทพ ศรีภรรยาก็คงต้องมาอยู่ด้วย แต่เมื่อตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น งานในความรับผิดชอบก็ใหญ่เป็นเงาตามตัว เจ้ากาต้องเดินทางไปทำงานสำรวจเส้นทางเพื่อตัดถนนในอีสาน ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลานานๆ เจ้าศิริประกายคงจะกลับไปอยู่ที่คุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่กับเจ้าพ่อ และคงให้กำเนิดบุตรชายคนแรกที่นั่นในปี ๒๔๗๒ มีชื่อว่า เจ้าพงษ์กาวิล
.
เจ้าพงษ์พอโตขึ้นก็เข้ามาเรียนช่างกลที่กรุงเทพ แล้วกลับไปลงทุนเปิดอู่ซ่อมรถยนต์ใหญ่โตอยู่ถนนช้างคลาน รับซ่อมรถทุกชนิดตั้งแต่แทรกเตอร์ รถบรรทุก รถจิ๊ปรถยนต์ ลงไปถึงมอเตอร์ไซด์ ตัวเจ้าพงษ์เองก็ใช้จิ๊ปเล็กทหารอเมริกันหลังสงคราม ไปไหนมาไหนคนจำได้เพราะมีรูปอินเดียนแดงเผ่าอาปาเช่ติดด้านหน้ารถ นอกจากชอบเรื่องรถแล้ว ยังชอบถ่ายภาพกับยิงปืน
หลังๆชาวเมืองเชียงใหม่จะชินตากับมาดเจ้าพงษ์บนบิ๊กไบ้ค์คันเอเริ่ม สวมหมวกคาวบอยสีขาว เสื้อคอปกลายสก๊อตลายสีน้ำเงินขาวพับแขน ตามแบบพระเอกหนังไทยเรื่อง สิงห์ป่าซุง แสดงโดยเจ้าพงษ์กาวิลเองที่นายทุนชาวเชียงใหม่ควักกระเป๋าสตางค์จัดสร้าง ต่อมาหลายสิบปีมีหนังชื่อเดียวกันนี้ออกฉายอีกครั้งโดยให้เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์เป็นพระเอก ไม่ทราบว่าเป็นเนื้อเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
น่าเสียดายเจ้าพงษ์ไม่มีบทบาทมากกว่านี้เพราะป่วยหนักจนเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง ๒๗ ปีเท่านั้น มีลูกสาวคนเดียวกับภรรยาคนที่ ๒ ชื่อกาวิลยา (ณ เชียงใหม่)สอนวัฒนา โตขึ้นเป็นครูสอนเด็ก
.
ธิดาคนที่ ๒ ชื่อเจ้าศิริกาวิล สมรสกับ ม.ล. ประสิทธิ์ศิลป์ สิงหรา หาประวัติมากกว่านี้ไม่เจอ มีแต่รูปถ่ายกับพี่น้อง ปัจจุบันถึงแก่กรรม มีธิดาคนหนึ่งชื่อ วรางคณา (สิงหรา ณ อยุธยา) วจะโนภาส
.
ธิดาคนที่ ๓ สุดท้อง ชื่อเจ้ากอแก้วประกายกาวิล เกิดเมื่อ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อแรกเกิดได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าว่า "ประกายกาวิล" ครั้นอายุได้เพียง ๔ ขวบ เจ้าศิริประกาย ผู้เป็นมารดาก็ถึงแก่กรรมในปี ๒๔๘๒ เจ้ากาวิละวงศ์ตกเป็นพ่อม่าย
เมื่อพระองค์อาทิตย์ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปเที่ยวเชียงใหม่กับหม่อมกอบแก้ว ขณะเข้าพบเจ้าแก้วนวรัฐที่คุ้มเจ้าหลวง เจ้ากาสังเกตเห็นว่าหม่อมกอบแก้วนั่งมองธิดากำพร้าแม่ที่อยู่บนตักพ่อด้วยความเอ็นดู จึงพูดทีเล่นทีจริงว่า “ยกให้หม่อมเป็นแม่อุปถัมภ์แล้วกัน ขอให้โตขึ้นสวยเหมือนหม่อมยิ่งดี” หม่อมกอบแก้วจึงทูลพระองค์อาทิตย์ว่า “ทรงประทานชื่อซิเพคะ จะได้เป็นที่รู้กันว่าเขายกให้เรา ต่อไปจะได้จำกันได้” พระองค์อาทิตย์จึงดำรัสว่า “เอาชื่อกอบแก้วอีกคนไหม”
แต่ไม่ทราบว่าใครพาไปจดทะเบียนที่อำเภอกันยังไง หรือจงใจให้ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงเหลือเป็น "กอแก้วประกายกาวิล" เก๋ไก๋ไม่มีใครเกินในปฐพี
.
เจ้าศิริประกายได้ทิ้งมรดกก้อนใหญ่ตกทอดมายังเจ้ากาวิละวงศ์และลูกๆ เป็นหุ้นตลาดวโรรส หรือกาดหลวงที่เจ้าดารารัศมี พระราชชายาได้สร้างขึ้นในบริเวณ“ข่วงเมรุ” ซึ่งใช้เป็นสถานที่ปลงพระศพและเก็บพระอัฐิของเจ้าเมืองเชียงใหม่หลายพระองค์ ทั้งหมดได้ถูกเชิญออกไปสร้างกู่ถวายให้ใหม่อย่างงดงามสมพระเกียรติที่วัดสวนดอก อันเป็นอารามหลวงของราชวงศ์เชียงใหม่ ส่วนที่เดิม เจ้าดารารัศมีได้พัฒนาเป็นตลาดใหญ่ศูนย์กลางการค้าขายของเมือง ใช้ทุนทรัพย์ของท่านเองร่วมกับเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ เจ้านครเชียงใหม่องค์ก่อนเจ้าแก้วนวรัฐ และขอกู้บางส่วนจากสำนักงานพระคลังข้างที่ แล้วจัดสรรหุ้นให้เจ้านายบุตรหลานของตระกูล ณ เชียงใหม่ทั้งหมดตามที่ที่มีสิทธิในที่ดินผืนนั้น มากน้อยโดยยุติธรรม
.
เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังคงอยู่เชียงใหม่ และเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จนอายุได้ ๑๐ ขวบ จึงย้ายลงมาเป็นนักเรียนประจำที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยในพระนคร ได้ ๒ ปีก็ไปศึกษาต่อที่อังกฤษ จบมัธยมแล้วได้ไปฝรั่งเศสเพื่อศึกษาต่อด้านภาษา มารยาท และการเข้าสังคมจนจบหลักสูตร
.
แรกๆส่วนแบ่งเงินปันผลจากกิจการของตลาดวโรรสแต่ละปีก็คงจะไม่สักเท่าไหร่ ครั้นสงครามโลกยุติแล้ว หลวงอนุสารสุนทรพ่อค้าจีนที่ทำการค้าในเชียงใหม่จนร่ำรวยเป็นเจ้าสัวได้ขอซื้อหุ้นด้วยราคาที่งดงาม เจ้านายหลายองค์จึงได้ทะยอยขายจนกระทั่งหลวงอนุสารได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เงินที่ส่งเจ้ากอแก้วไปเรียนในยุโรปได้คงจะมาจากการขายหุ้นมรดกที่ว่านี้ เมื่อหลวงอนุสารเข้าบริหารจัดการตลาดได้ก็มอบหมายให้ อาจารย์อัน นิมมานเหมินท์ หลานตาซึ่งจบปริญญาโทสถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด สหรัฐอเมริกามาหมาดๆ เป็นผู้ออกแบบให้เป็นตลาดสมัยใหม่ เมื่อสร้างเสร็จในปีพ.ศ. ๒๔๙๒ นั้น ถือเป็นตลาดที่หรูเลิศที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
.
เจ้ากาท่านเลี้ยงลูกอย่างเฟี้ยวทุกคน เจ้ากอแก้วจบการศึกษากลับมาเมืองไทยแบบสาวล้ำยุค ระดับสวมนาฬิกาข้อมือที่ข้อเท้าก็แล้วกัน
ท่านกล่าวว่า การที่ท่านมั่นใจสูงเป็นตัวของตัวเอง มีความใฝ่ใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รู้จักเข้าสังคมทุกระดับนั้น เพราะมีเจ้าพ่อเป็นผู้สอนแนวทางแห่งชีวิตให้ สมัยเมื่อยังเรียนอยู่ในอังกฤษ ถึงวันหยุดยาวก็ให้ไปเข้าคอร์สเพื่อเรียนรู้เรื่องมารยาทสังคม มารยาทบนโต๊ะอาหาร การแต่งกายให้เข้ากับกาละเทศะ และการเป็นแม่บ้านการเรือน ในขณะเดียวกันก็สอนไม่ให้รังเกียจคนและแบ่งชั้นคน
จึงไม่น่าประหลาดใจที่วงสังคมไทยยอมรับเจ้ากอแก้วราวกับดาราขวัญใจ ใครจะเชิญท่านไปไหน เป็นประธานในพิธีเปิดร้านเปิดรวง หรืองานต่างๆ ท่านไม่เคยปฏิเสธ แล้วจะปรากฏตัวเฉิดฉายเต็มพิกัดให้เป็นที่ฮือฮาของผู้พบเห็น จนได้ฉายาว่าเป็นเจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น
เจ้ากอแก้ว ประกายกาวิลถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ ๗๐ ปีเต็มในพ.ศ. ๒๕๔๘ มีบุตรหนึ่งคนชื่อ ทินกร อัศวรักษ์ ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วเช่นกัน
.
เมื่อเจ้าศิริประกาย ศรีภรรยาคนแรกถึงแก่กรรมนั้น เจ้ากาวิละวงศ์ยังต้องทำงานสมบุกสมบันอยู่หัวเมืองอยู่อีกถึง ๘ ปี นานๆจะมากรุงเทพ และแล้วกามเทพก็นำพาให้ได้พบหญิงที่ต้องตาต้องใจ เจ้ากาก็เหมือนกับพ่อหม้ายวัยห้าสิบทั้งหลายที่รู้สึกว่าชักจะแก่แล้ว ต้องการเพื่อนคู่ชีวิตข้างกาย ในที่สุดก็ตัดสินใจแต่งงานอีกครั้งหนึ่งกับแม่หม้ายวัยเดียวกันในปี ๒๔๙๐
.
เรื่องที่แล้วผมเว้นที่จะกล่าวถึงภรรยาคนที่ ๒ ของเจ้ากาจากหลายเหตุผล ที่สำคัญคือผมมุ่งจะนำเสนอเรื่องงานและคุณธรรมของท่านมากกว่าชีวิตส่วนตัว แล้วก็ ผมหาข้อมูลของภรรยาใหม่ไม่ได้เลย แม้ท่านจะเป็นผู้ขออนุญาตต่อกรมศิลปากร เพื่อจัดพิมพ์หนังสือ “จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและนครเชียงใหม่ พ.ศ.๒๔๖๙ ” เพื่อแจกเป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพเจ้ากาวิละวงศ์ โดยใช้นามว่า “นางถนิม ณ เชียงใหม่” ก็ตาม ขณะเดียวกัน ผมก็พบว่าท่านเป็นคุณหญิงด้วย แปลกมากที่ในหนังสือเล่มนั้น ในฐานะเจ้าภาพ ท่านก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้เลยแม้แต่คำอาลัย รูปถ่ายสักรูปก็ไม่มี คล้ายกับไม่ต้องการจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้มากเรื่อง
.
ผู้ที่เข้ามาไขปริศนาเรื่องนี้ก็คืออาจารย์คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ หรือ ว.วินิจฉัยกุล หรือเทาชมพูแห่งเรือนไทยดอทคอม เริ่มต้นจากเข้ามาประท้วงการที่ผมเอ่ยแต่เจ้าศิริประกายภรรยาคนแรก ว่า เจ้ากาวิละวงศ์มีภรรยาอีกคนหนึ่งจากการแต่งงานครั้งที่สองกับคุณถนิม นาวานุเคราะห์ หรืออดีตคือคุณหญิงถนิม สุขุมนัยวินิต ภรรยาพระยาสุขุมนัยวินิต (สวาท สุขุม) บุตรชายคนโตของเจ้าพระยายมราชกับท่านผู้หญิงตลับ
จากข้อมูลเยอะแยะในการสนทนาหลังไมค์กับท่าน ผมก็ได้ช่องทางที่ค้นคว้าต่อ พอจะประมวลมาเล่าให้ฟังดังนี้
.
คุณหญิงถนิมเป็นบุตรีพระยารัษฎากรโกศล (ฮง นาวานุเคราะห์) อดีตอธิบดีกรมสรรพากรผู้มั่งคั่ง มีญาติลูกพี่ลูกน้องที่สนิทสนมกันชื่อ ประวิง (สุวรรณทัต) วินิจฉัยกุล มารดาของคุณหญิงวินิตา ทำให้คุ้นเคยกับท่านและเห็นเจ้ากามาตั้งแต่จำความได้ คุณแม่บอกบอกว่าคุณป้าเป็นคนสวยที่สุดในบรรดาลูกสาวพระยาสมัยรัชกาลที่ ๖ สวยมาจนกระทั่งวัยชรา ตาจมูกปากท่านเหมือนวาดไว้โดยฝีมือศิลปินเอก
พระยารัษฎาเป็นเชิ้อจีน คุณหญิงถนอมเชิ้อแขกเปอร์เชีย ลูกสาวเลยได้ส่วนผสมที่ลงตัวพอดี
.
อันนี้ผมเชื่อ ขนาดภาพถ่ายไม่ค่อยชัดที่ได้มา ท่านยังสวยขนาดนั้น
.
คุณหญิงวินิตาเล่าต่อว่า กิริยาคุณป้าแช่มช้อย เดินเหินนิ่มนวล เสียงท่านเพราะมาก แหลมใสเหมือนเสียงร้องเพลงไทยเดิมของคนโบราณ ที่ว่ากันว่าเสียงไพเพราะจะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ห้าวทุ้มต่ำอย่างเสียงนักร้องปัจจุบัน
.
เมื่อแต่งงาน เจ้าสาวอายุเพียง ๑๗ ปี ชีวิตสมรสไม่ยืนยาวนัก ท่านหย่าขาดกับสามี อันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงสมัยนั้นน้อยที่จะนักกล้าทำ ถึงแม้จะไม่มีบุตรด้วยกันก็ตาม อาจจะเพราะถือว่าตนเป็นลูกคนรวยระดับมหาเศรษฐี ถึงยังไงพ่อแม่ก็เลี้ยงได้ ดีกว่าสามีด้วยซ้ำ
.
แต่แรกผมเข้าใจว่า ที่คนเรียกขานท่านว่าคุณถนิมบ้างคุณหญิงถนิมบ้างนั้น เป็นเพราะแต่ก่อนท่านเป็นภรรยาของพระยา จึงใช้คำนำหน้านามเป็นคุณหญิงได้อย่างเป็นทางการโดยไม่จำเป็นต้องได้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้าฯแล้ว ดังนั้น พอหย่ากับสามีจึงกลับมาใช้นามสกุลเดิม แล้วต้องคืนสถานะคุณหญิงไป
แต่พอไปค้นเจอว่า ท่านได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายใน ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ ถือได้ว่าเป็นคุณหญิงด้วยตัวท่านเอง ผมก็หงายเงิบ ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรที่ระบุให้คุณหญิงตราตั้ง ต้องใช้คำนำหน้านามเป็นนางหลังการสมรสใหม่ นอกจากท่านต้องการจะไม่ใช้โดยเหตุผลส่วนตัวของท่านเอง
.
เมื่อเจ้ากาวิละวงศ์พบกับคุณถนิม นาวานุเคราะห์ ซึ่งอายุน้อยกว่าท่านเพียง ๑ ปี คงถูกจริตมากจึงได้แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งคู่ใช้ชีวิตสมรสร่วมกันที่บ้านของฝ่ายหญิงบนถนนคอนแวนต์ ศาลาแดง เป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีเขียวอ่อน สร้างสวยแปลกตาแบบยุโรปออกแบบโดยหลวงบุรกรรมโกวิท พื้นเป็นไม้สักทองแผ่นใหญ่ ลงน้ำมันเป็นมันเงาวับ ห้องรับแขกเป็นชุดมุกทุกชิ้น มีเครื่องลายครามประดับตามมุมห้อง สะอาดเป็นระเบียบเหมือนโชว์รูม ไม่มีข้าวของเกะกะเลยสักนิดเดียว
ข้างตัวบ้านเป็นสนาม ลานบ้านยกระดับขึ้นไปแล้วปูด้วยหญ้า ยกขอบเตี้ยๆ มีบันไดสามสี่ขั้นสร้างด้วยอิฐกับปูนให้ก้าวจากสนามขึ้นไป ตรงกลางมีโต๊ะน้ำชาตั้งอยู่ บรรยากาศเหมือนอยู่ในลานสนามบ้านคนอังกฤษยังไงยังงั้น
.
ทั้งสองท่านเติบโตในแวดวงสังคมที่ได้รับอิทธิพลของยุโรป เพราะฉะนั้นเจ้ากากับคุณหญิงถนิมจึงมีรสนิยมที่ไปด้วยกันได้อย่างดี แม้จะอยู่กับบ้าน ทั้งสองก็ยังแต่งกายเนี๊ยบด้วยชุดที่พร้อมจะออกนอกบ้านได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ บ่ายๆทั้งคู่จะนั่งดื่มน้ำชากับของว่างแบบอังกฤษด้วยกันที่ระเบียงข้างตัวบ้านนั้น
.
เจ้ากาถึงอายุมากแล้วแต่ยังดูสง่า รูปร่างผอมสูง เดินตัวตรง เป็นคนเงียบๆ นิ่งๆ ชีวิตสมรสผาสุกราบรื่น ปรองดองกันดี คนในบ้านไม่มีใครเคยเห็นทั้งสองขึ้นเสียงเถียงกันเลยสักครั้ง เรียกว่าอยู่แบบให้เกียรติกันมาก แต่ทั้งคู่ก็อายุมากเกินกว่าจะมีลูกแล้ว
.
คุณหญิงถนิมเป็นเจ้าบ้านที่ปกครองญาติและบริวารหลายคน รวมถึงดูแลคุณหญิงถนอม มารดาผู้ชราที่ยังอยู่ในเรือนของท่านเอง บริเวณด้านหลังของบ้าน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เจ้ากาวิละวงศ์จึงได้มอบหุ้นตลาดวโรรสที่ยังถือครองอยู่ให้แก่คุณหญิงถนิม เพื่อไม่ให้คาใจตนเองว่ามาเป็นภาระให้ภรรยาเลี้ยงดู ทั้งนี้ก็โดยการรับรู้ของเจ้าศิริกาวิลกับเจ้ากอแก้ว ทั้งสองจึงให้ความเคารพคุณหญิงถนิมเป็นอันดี ไม่มีกระด้างกระเดื่อง
เจ้าพี่ของเจ้าศิริประกายก็ยังมีความรู้สึกอันดีต่อน้องเขย เห็นได้จากถ้อยความที่เขียนแสดงความอาลัยในหนังสืองานศพเจ้ากา ระหว่างงานหลายคนได้เห็นช๊อตที่เจ้ากอแก้วเดินมาหาคุณหญิงถนิมซึ่งนั่งอยู่ เธอลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งพูดธุระด้วยกิริยาสุภาพงดงาม
.
เจ้ากาวิละวงศ์จากไปเมื่ออายุ ๗๐ ปี เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๐ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเสด็จมาเป็นประธานในวันพระราชทานเพลิงศพด้วยพระเมตตาอย่างยิ่งที่มีต่อเจ้ากา ข้าหลวงเดิม ผู้เฝ้ารับใช้พระองค์เรื่อยมาเสมอต้นเสมอปลาย
.
คุณหญิงถนิมอายุยืนยาวมาก หุ้นตลาดวโรรสนั้น ได้ขายให้แก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไปหลังจากที่เจ้ากาเสียชีวิตแล้ว เนื่องจากได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี ๒๕๑๑ หลังจากนั้นทางเจ้านายสกุล ณ เชียงใหม่ในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ยังเหลืออยู่ ไม่อยากจะควักกระเป๋าลงทุนทำตลาดอีก จึงขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ห้างหุ้นส่วนอนุสารเชียงใหม่และบริษัทอนุสารจำกัด ซึ่งได้มอบหมายให้ศาสตราจารย์ อัน นิมมานเหมินท์ อาจารย์ของผมที่คณะสถาปัตย์ จุฬา เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบตลาดนี้อีกครั้ง เมื่อสร้างเสร็จในปี ๒๕๑๕ ตลาดวโรรสนับเป็นตลาดเดียวที่มีบันไดเลื่อนตรงกลาง ถือว่าทันสมัยสุดๆ ทัวร์จากกรุงเทพขึ้นไปต้องมีรายการให้ไปช๊อปปิ้งที่นั่นเสมอ
.
คุณหญิงถนิม ณ เชียงใหม่มีชีวิตคู่ที่มีความสุขสมหวังในความรักอยู่ได้ ๒๐ ปี หลังจากนั้นก็ต้องโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวอีกครั้งจนอายุ ๙๕ แล้วท่านก็โคม่าอยู่บนเตียงจนถึงร้อยปีหรืออาจมากกว่านั้น จึงสิ้นอายุขัย มรดกทั้งหมดเป็นของหลานชายคนโตในสกุลนาวานุเคราะห์ผู้ที่ท่านรักเหมือนลูก และตั้งให้เป็นทายาท
.
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง สุดท้ายบ้านหรูและที่ดินบนถนนคอนแวนต์นั้นก็ถูกขายให้นายทุนไปทำคอนโด ชื่อของเจ้ากาวิละวงศ์และคุณหญิงถนิม ณ เชียงใหม่คงเลือนหายจากความทรงจำของคนทั่วไปเกือบหมดแล้ว จะเหลืออยู่ก็เพียงเรื่องราวที่เขียนไว้เกี่ยวกับท่านในหนังสือต่างๆ ซึ่งวันหนึ่งก็คงไม่มีใครหาเจอเช่นกัน
#กราบขอบคุณอาจารย์หม่อม ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน