ใครจะรู้ว่า พระอิฐพระปูน ที่ประดิษฐานอยู่หลายร้อยปี วันหนึ่งจะเป็นพระพุทธรูปทองคำล้ำค่า!!
"ใครจะรู้ว่า พระอิฐพระปูน ที่ประดิษฐานอยู่หลายร้อยปี วันหนึ่งจะเป็นพระพุทธรูปทองคำล้ำค่า”
"พระพุทธรูปที่เห็นในภาพเป็นพระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร
สมัยที่ยังประดิษฐานอยู่ในวิหารวัดพระยาไกร(อิสต์เอเชียทุกวันนี้) ซึ่งในภาพฝรั่งใช้เป็นห้องทำงาน
โดยไม่ได้ให้ความสนใจกับพระอิฐพระปูนองค์นี้เลย" พระพุทธรูปที่สร้างจากวัตถุมีค่า เช่นทองคำ ก็จะเอาปูนโบกปิดซ่อนไว้ให้ดูเป็นของไม่มีราคา แต่ก็มีค่าทางจิตใจเหมือนเดิม แต่เมื่อคนที่ซ่อนไว้ตายไปไม่มีใครรู้เห็น พระพุทธรูปที่ถูกซ่อนจึงเป็นความลับอยู่ตลอด จนกว่าจะถูกพบโดยบังเอิญ ซึ่งก็มีการพบแล้วหลายองค์
พระพุทธรูปที่ถูกซ่อนไว้และถูกค้นพบเป็นข่าวเกรียวกราวที่สุดในยุคนี้ คงไม่มีองค์ไหนที่สร้างความตื่นเต้นได้เท่า พระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร ซึ่งพบเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ พระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตรเป็นองค์ใหญ่ที่สุด หนักถึง ๕ ตัน และเป็นทองคำบริสุทธิ์ที่สุด จนกินเนสบุ๊คต้องบันทึก
ตามประวัติที่สำนักนายกรัฐมนตรีพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๑๔ กล่าวไว้ว่า
“เดิมพระพุทธรูปทององค์นี้ ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ กรุงสุโขทัย แต่แล้วหายสาบสูญไปเพราะมีผู้เอาปูนปั้นหุ้มไว้ ต้นเหตุของการเอาปูนหุ้มสันนิษฐานได้ ๓ ประการ ประการที่ ๑ หุ้มตั้งแต่สมเด็จพระบรมราชาธิราช (ขุนหลวงพะงั่ว) เสด็จขึ้นไปตีอาณาจักรสุโขทัย ชาวสุโขทัยกลัวจะอัญเชิญพระพุทธรูปทองคำลงมา จึงปั้นปูนหุ้มไว้ ประการที่ ๒ หุ้มเพราะครั้งนั้นข้าศึกจะมาทำลายหรือเอาไฟสำรอกเอาทองออก ครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อพุทธศักราช ๒๓๑๐ เพราะครั้งนั้นข้าศึกได้เอาไฟเที่ยวสุมสำรอกเอาทองคำเสียอเนกอนันต์ เช่นพระพุทธศรีสรรเพชญ์ ก็ถูกข้าศึกเอาไฟสุมละลายลงมาทั้งองค์ ประการที่ ๓ ขุนนางผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งคงจะขึ้นไปพบเห็นเข้า เมื่อปรากฏว่ามีพระพุทธลักษณะงดงามมาก ก็ใคร่จะอัญเชิญมาประทับประดิษฐานที่วัดแห่งสกุลของตน หรือครั้งนั้นอาจไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปทองก็ได้ เพราะเอาปูนปั้นหุ้มไว้หนามาก แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏหลักฐานว่า เท่าที่อยู่วัดโชตินาราม (วัดพระยาไกรฯ)นั้น คงมาเมื่อรัชกาลที่ ๓ นี่เอง”
วัดโชตินาราม เป็นวัดที่พระยาไกรโกษา (บุญมา) กรมพระคลังวังหน้า ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างมาตั้งแต่ยังเป็นพระยาโชฎึกราชเศรษฐีในรัชกาลที่ ๓ แต่พอสมัยรัชกาลที่ ๕ ย่านบางคอแหลมริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นทำเลที่บริษัทฝรั่งเข้ามาเช่าทำท่าเรือกันมาก วัดพระยาไกรก็เลยถูกบุกรุกแคบลงทุกทีจนกลายเป็นวัดร้าง บริษัทอิสเอเชียติก จำกัดได้ขอเช่าเป็นที่ทำการของบริษัท เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ได้รื้อถอนเสนาสนะสงฆ์ที่หักพังจนหมดสิ้น เหลือเพียงพระอุโบสถที่มีพระพุทธรูปปูนปั้นและพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่เท่ากันเพียง ๒ องค์ ซึ่งยากต่อการขนย้าย ส่วนพระขนาดย่อมถูกอัญเชิญไปไว้ตามวัดต่างๆหมดแล้ว ในปี ๒๔๗๘ ทางคณะสงฆ์จึงมีเถระบัญชาให้วัดไตรมิตรวิทยาราม กับวัดไผ่เงินโชตนาราม ไปอัญเชิญพระพุทธรูป ๒ องค์นี้ไปเก็บรักษาไว้ ทางวัดไผ่เงินโชตนารามไปก่อน จึงเชิญพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ด้านหน้าไป วัดไตรมิตรจึงอัญเชิญพระพุทธรูปปูนปั้นที่เหลืออยู่มา
ความใหญ่โตขององค์พระเมื่ออัญเชิญขึ้นประทับบนรถบรรทุกที่บริษัทอิสเอเชียติกส่งมาช่วยขนย้ายนั้น ปรากฏว่าองค์พระยิ่งสูงขึ้นไปมาก ต้องคอยเอาไม้ค้ำสายไฟ สายโทรศัพท์ และสายไฟรถรางให้พ้นพระเกตุมาลามาตลอดทางจนถึงวัดไตรมิตร ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำ ส่วนโบสถ์วิหารของวัดไตรมิตรก็เก่าเต็มทนใกล้พังเต็มที บริเวณวัดมีสภาพเป็นที่ลุ่ม มีสระคูคลอง น้ำท่วมขังเกือบทั่วบริเวณวัด ยังหาที่เหมาะสมให้ไม่ได้ จึงสร้างแค่เพิงสังกะสีกันแดดกันฝนให้อยู่ข้างพระเจดีย์หน้าโบสถ์ไปก่อน แล้วบอกกล่าวทั่วไปว่าใครอยากได้ก็จะยกให้ มีหลายวัดต้องการนำไปเป็นพระประธาน แต่ก็ขาดแคลนพาหนะที่จะขนไปได้ บางรายก็ติดขัดที่เส้นทางรถเข้าไม่ถึง จนรายสุดท้ายขอไปเป็นพระประธานที่วัดบ้านบึงบวรสถิตย์ ชลบุรี แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ว่าไม่งามสมกับที่จะเป็นพระประธาน
จนในปี ๒๔๙๘ มีการเตรียมงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษในปี ๒๕๐๐ วัดไตรมิตรเกิดความสงสารพระพุทธรูปที่ไม่มีใครเหลียวแล จึงสร้างวิหารให้เป็นที่ประดิษฐาน แต่ขณะขนย้ายเข้าวิหารในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๙๘ เชือกที่สอดใต้องค์พระขึ้นเกี่ยวกับกว้านยก ทานน้ำหนักไม่ได้เกิดขาด ทำให้องค์พระหล่นลงกระแทกพื้นคอนกรีต ปูนที่พอกกะเทาะออก เห็นเนื้อในเป็นทองคำสุกปลั่ง จึงจัดการกะเทาะออกทั้งองค์ พบว่าไม่มีรอยบุบสลาย แต่ก็เก็บเป็นความลับไว้ จนมาเป็นข่าวเกรียวกราวในปลายปี ๒๔๙๙
พระพุทธรูปองค์นี้หน้าตักกว้าง ๓.๑๐ เมตร สูงจากฐานถึงยอดพระเกตุมาลา ๓.๙๔ เมตร ถอดออกได้เป็น ๙ ชิ้น มีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองจากฐานขององค์พระ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ เรื่อยขึ้นไปถึงพระพักตร์มีความบริสุทธิ์ของทอง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนยอดเป็นทองคำเนื้อแท้ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ และมีน้ำหนักเฉพาะส่วนยอดนี้ ๔๕ กิโลกรัม
ใน พ.ศ.๒๕๓๓ กินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่า พระพุทธรูปทองคำวัดไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปทองคำใหญ่ที่สุดในโลก และตีราคาไว้ ๒๘.๕ ล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับราคาทองคำในปัจจุบันคงต้องเปลี่ยนตัวเลขนี้อีกมาก
ใน พ.ศ.๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานนามพระพุทธรูปทองคำของวัดไตรมิตรนี้ มีนามทางราชการว่า “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” เพื่อเป็นสรรพสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสืบไป
ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ วัดไตรมิตรวิทยารามเห็นว่าวิหารหลังเก่าของหลวงพ่อทองคำซึ่งสร้างมาแต่ พ.ศ.๒๔๙๘ อยู่ในสภาพทรุดโทรมและคับแคบ ไม่สะดวกแก่การรับนักท่องเที่ยวหลายชาติหลายศาสนาที่มาชม และเป็นโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชครบ ๖๐ ปี และเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษาใน พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงได้จัดโครงการสร้างมหามณฑปหลังใหญ่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร โดยมีประชาคมนักธุรกิจเขตสัมพันธวงศ์ ชุมชนชาวไทยเชื้อสายจีนร่วมสมทบ มีงบประมาณการก่อสร้าง ๑,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลตั้งงบประมาณสนับสนุน ๒๕๐ ล้านบาท เริ่มลงมือก่อสร้างมาตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๔๙ เป็นอาคารหินอ่อนทรงไทย ๓ ชั้น ปิดทองในส่วนที่เป็นลวดลาย และเนื่องจากมีพื้นที่ก่อสร้างแคบ จึงเป็นอาคารทรงสูง ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับศาสนสถานอื่นๆ ชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อทองคำ อีก ๒ ชั้นเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชนบอกเล่าความเป็นมาของย่านเยาวราช
ยังมีอีกหลายวัดที่พบพระพุทธรูปทองคำแบบนี้ ทั้งเปิดเผยและไม่ยอมเปิดเผย เชื่อกันว่ายังมีพระพุทธรูปทองคำถูกซุกซ่อนอยู่ในรูปแบบนี้อีกโดยยังไม่มีใครรู้ความลับ #ล้ำสมัยผัดไทยบางขนุน นนทบุรี ขอบคุณค่ะ
อ้างอิงจาก: Google และวิกิพีเดีย