ชะตากรรมของขิม
ชะตากรรมของขิม
ขิมกำลังนอนเพลิดเพลินบนเก้าอี้โยกตัวโปรดอยู่บนระเบียงชั้นสิบเก้า ฟังเพลงอย่างอารมณ์ดี ในมือมีขวดไวน์ที่ขายกันตามท้องตลาด อารมณ์ผ่อนคลายหลังเลิกงาน มีความสุขเต็มที่กับวิวเบื้องหน้า ท้องฟ้าใกล้ค่ำ แสงสีส้มกำลังโรยแสงราลง ผลัดเปลี่ยนให้แสงสีดำขยับเข้ามาแทนที่ ความมืดกำลังคืบคลานมาหาอย่างอ่อนโยน พระจันทร์เสี้ยวบาง ๆ เริ่มขึ้นมาทาบทับเหลี่ยมมุมตึก มองคล้ายรอยยิ้มจาง ๆ แต่แล้วอยู่ ๆ ภาพวิวนั้นก็แปรเปลี่ยนไปกลายเป็นม่านหมอกสีขาวพราย ดูเป็นละอองฟุ้ง ๆ ขึ้นมาแทนที่ ก่อนจะมีผู้หญิงใส่ชุดนอนหน้าซีดเซียว คอบิดพับไปด้านข้าง ดวงตาสีออกช้ำเลือดช้ำหนองมีหยดเลือดเปรอะอยู่ทั่วบนชุดของเธอ ร่างนั้นค่อย ๆ เลื่อนใกล้เข้ามาหาขิม เลื่อนมาจากนอกระเบียงจนตอนนี้หน้านั้นแทบจะเข้ามาแนบชิด ขิมหลับตา ทำเป็นไม่สนใจ หูได้เสียงดัง "กร็อก"
"ฉันรู้นะว่าเธอเห็นฉัน" คำพูดจากปากที่เหม็นจนชวนคลื่นเหียนสะอิดสะเอียนนั้นพูดอยู่ใกล้ ๆ จนรับรู้ได้จากกลิ่นอันรุนแรง เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมองขิมจึงเห็นคอที่เคยอยู่ด้านข้างนั้นหันมาอยู่ด้านหน้าคล้ายคนปกติ คงจะเพราะเสียงกร็อกเมื่อกี้นี่เองที่หมุนคอเธอกลับมาจนอยู่ในตำแหน่งปกติ น้ำสีคล้ำเหม็นจนสุดบรรยายไหลย้อยออกจากปากนั้นหยดลงมาตามมุมปาก ขิมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย จากที่เคยกลัวแสนกลัว กลับกลายเป็นความชินชา และเบื่อหน่าย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับประสบการณ์แบบนี้
"ต้องการอะไร" ขิมถามร่างที่มาปรากฏตัวตรงหน้า
"ความยุติธรรม"
"ความยุติธรรม?" ขิมทวนคำด้วยสีหน้าประหลาดใจ นึกไปถึงข่าวผู้หญิงที่อยู่ชั้นยี่สิบสองกระโดดลงมาจากระเบียงเสียชีวิตเมื่อเดือนก่อน
"เธออยู่ที่นี่ก็รู้ข่าวนี้ดีนี่"
"ก็ได้ยินมาบ้าง แต่ฉันไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก ฉันไม่ชอบยุ่งเรื่องของใคร"
"แต่เรื่องนี้เธอต้องยุ่ง" ร่างนั้นขึ้นเสียงกร้าวกลับมา ก่อนจะพูดต่อว่า
"เขาหาว่าฉันเมา เสพยาจนหลอน แล้วกระโดดระเบียงลงมา" ร่างนั้นพูดด้วยแววตาแข็ง สีหน้าบูดบึ้ง
"อ้าว!! แล้วมันไม่ใช่เหรอ" ขิมถามกลับไปอย่างแปลกใจ
เรื่องราวต่าง ๆ จึงถูกถ่ายทอดออกจากผีสาวที่เคยเป็นเพื่อนบ้านผู้ร่วมอาศัยคอนโดเดียวกัน
"กูชื่อฟ้า อยู่คอนโดนี้กับแฟนรุ่นน้องที่แอบคบกันในที่ทำงาน เพราะกูเป็นหัวหน้าแผนกที่มันทำงานอยู่ คอนโดนี้ก็เป็นชื่อของกูคนเดียว ผ่อนเองคนเดียว มันมาแต่ตัว กูปรนเปรอ ปรนนิบัติมันทุกอย่าง ให้มันทั้งร่างกาย และการดูแลแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ยอมรับว่าหลงมันมาก เพราะมันช่างเอาอกเอาใจ พูดจาคำหวานว่ารักว่าหลงกูทุกอย่าง แต่หลัง ๆ มานี้มันเริ่มเปลี่ยนไป ที่แผนกมีเด็กนิสิตมาฝึกงาน กูดูออกว่ามันสนใจเด็กคนนี้ และเรื่องของกูกับมันก็เป็นความลับที่ไม่มีใครในที่ทำงานรู้ มีแต่คนที่คอนโดนี้เท่านั้นที่เห็นมันเข้าออก และรู้ว่ากูอยู่กับมัน…" ขิมนั่งฟังพลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างรับรู้เรื่องราว โดยไม่ขัด ได้แต่นึกว่าฟ้าคงแค้นใจมากถึงได้เรียกผู้ชายคนนั้นว่า "มัน" และแทนตัวเองว่า "กู" แบบนั้น
"แล้ววันหนึ่งมันก็ขอกลับไปอยู่ที่พักเดิมของมัน อ้างว่ากลัวกูจะดูไม่ดีหากใครรู้เข้า ทั้งที่มันอยู่กับกูมาร่วมปีแล้ว จะมากลัวกูดูไม่ดีอะไรกันตอนนี้ กูก็รู้อยู่เต็มอกนะว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม มันเปลี่ยนไป แต่ก็อยากลองดูว่าจะเป็นยังไง มันอยากเลิกก็ช่างหัวมัน กูดูแลตัวเองได้ พอมันย้ายออกไป มันก็เดินหน้าจีบนักศึกษาฝึกงานคนนั้น จนเขารู้กันไปทั่วที่ทำงานว่ามันจีบเด็กคนนั้น กูได้แต่ปวดใจอยู่คนเดียว และพยายามทำใจที่จะมูฟออน คนมันไม่รัก จะทำยังไงก็คงรั้งไว้ไม่ได้ แต่แล้วความซวยก็มาเยือน เมื่อกูรู้ตัวว่าท้องลูกของมันได้สามเดือน ปกติประจำเดือนของกูก็มาไม่สม่ำเสมออยู่แล้ว จึงไม่ได้สนใจว่าจะท้อง ไม่รู้ว่าพลาดไปได้ยังไงทั้งที่กินยาคุม วันที่รู้ว่าท้องกูประชุมทีมงานภาคสนามอยู่นอกสถานที่ที่จะจัดงานอีเว้นท์ให้ลูกค้า อากาศร้อนมาก จนเป็นลมไป น้อง ๆ ในแผนกตกใจกันทุกคนว่าหญิงเหล็กผู้กรำงานหนักมาตลอดเป็นลม จึงไม่ฟังเสียงรีบพาไปหาหมอในโรงพยาบาลใกล้ ๆ นั้น นั่นแหละกูถึงรู้ กูเลยนัดมันมาเพื่อตกลงกันที่นี่…" เสียงเล่านั้นเงียบไป แววตาที่ดูลุกโชนด้วยความโกรธก่อนหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นแววแห่งความเศร้าสร้อย ขิมมองด้วยความเห็นใจนี่ถ้าเป็นเพื่อนสาวขิมคงดึงร่างนั้นเข้ามากอดเพื่อปลอบใจ แต่นี่…ขิมจึงได้แต่มองเฉย ๆ หลังจากนิ่งกันไปทั้งคนทั้งผี ร่างนั้นก็เล่าต่อ
"มันมาตามนัดด้วยกลิ่นเหล้าหึ่ง น่าจะไปสังสรรค์มาก่อน พอกูบอกมันไปว่ากูท้อง มันก็ไม่เชื่อ แถมด่ากูสาดเสียเทเสียว่ากูเป็นผู้หญิงไม่ดี ไม่รักนวลสงวนตัวชวนผู้ชายมาอยู่ด้วยง่าย ๆ แถมยังปรนเปรอ แล้วมันจะเชื่อได้ยังไงว่ากูมีมันแค่คนเดียว แถมมันก็ย้ายออกไปตั้งสองเดือนกว่าแล้ว จะเป็นไปได้ยังไง ถึงกูจะบอกมันไปว่ากูท้องได้สามเดือนแล้ว ช่วงระหว่างนั้นกูอยู่กับมัน และกูก็ไม่มีใครที่ไหนมีมันคนเดียว และพอมันย้ายออกไปแล้วกูก็ไม่ได้คบกับใคร มันก็ยังด่าว่ากูสารพัด และคำที่ทำให้กูฟิวส์ขาดคือคำว่า "ร่าน" ที่หลุดออกมาจากปากของมัน ปากที่เคยพร่ำคำหวานว่ารักกูคนเดียว จะไม่มีใคร จะร่วมสร้างชีวิต สร้างอนาคตไปด้วยกัน กูจึงถลาเข้าไปตบตีมัน มันก็สู้กูกลับ และเผลอตัวบีบคอกูจนกูตัวอ่อนแน่นิ่งไป แล้วมันก็ลากร่างกูไปที่ระเบียง แล้วโยนกูลงมา แล้วทิ้งยาที่มันเสพไว้ในห้องเพื่อสร้างหลักฐานว่ากูหลอนกระโดดลงไปเอง มันเช็ดรอยนิ้วมือมันออกจากลูกบิดประตูทั้งประตูหน้า ประตูระเบียง เพื่ออำพราง แต่ถึงจะมีรอยนิ้วมือมันก็คงไม่แปลก เพราะมันเคยอยู่ที่นี่ ตำรวจจึงไม่ได้สนใจอะไร ลงความเห็นว่ากูหลอนยากระโดดลงไปเอง"
"เป็นแบบนี้นี่เอง" ขิมพยักหน้าอย่างเข้าใจในเรื่องราว แม้เรื่องแบบนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เคยได้ยินมา แต่มันก็เกิดขึ้นเสมอ และคงจะมีต่อไปอีกเรื่อย ๆ น่าแปลกที่คนสมัยนี้ไม่กลัวบาปกลัวกรรม ฆ่าคนได้ราวกับเป็นเรื่องง่าย ไม่รู้ว่าเมื่อทำลงไปแล้ว นอนหลับกันได้ยังไง ไม่รู้สึกหลอน หรือรู้สึกผิดจนนอนไม่หลับบ้างหรือไงนะ โดยเฉพาะคนที่เคยรักกันขนาดเคยร่วมหลับนอนด้วยกันนี่ เห็นฆ่ากันมากที่สุด ขิมคิดอย่างปลง ๆ
"แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง คดีก็ปิดไปแล้ว เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว" ขิมถามกลับไป แม้ใจจะอยากช่วยเพราะเห็นใจในเรื่องราวของฟ้า ที่ต้องกลายเป็นผีตายทั้งกลมไปโดยไม่สมัครใจ ขิมเคยได้ยินมาว่าผีที่ตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยนมากกว่าผีอื่น และนี่ยังเป็นการถูกทำให้ตายโดยอดีตคนรัก น่าจะเฮี้ยนมากขึ้นเป็นทวีคูณ
"เธอต้องช่วยฉัน"
"ฉันจะช่วยได้ยังไง ขืนเล่าเรื่องที่เธอเล่าให้รู้เพื่อแก้ข่าวใครเขาจะเชื่อ คนเขาต้องว่าฉันเพี้ยน สติไม่ดีแน่ ๆ"
"ฉันมีกล้องวงจรปิดซ่อนเอาไว้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันมี แม้แต่มัน เพราะฉันก็แทบไม่ได้สนใจ กล้องน่าจะบันทึกเหตุการณ์วันนั้นไว้ได้ทั้งหมด เพราะข้อมูลจากกล้องจะส่งเข้ามือถือที่เชื่อมกับระบบคลาวด์อัตโนมัติ เปิดโน๊ตบุ๊กของเธอสิ ฉันจะบอกรหัสให้"
หลังจากได้ภาพหลักฐานวันนั้นมา ขิมก็แจ้งให้ตำรวจเจ้าของคดีทราบ โดยอ้างตัวว่าคือ "เพื่อนเก่า" และฟ้ามาเข้าฝัน ให้ทวงความยุติธรรม จึงลองเข้าระบบดูเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อเห็นว่าจริงตามฝันจึงนำเรื่องมาบอก แม้ตำรวจจะทำสีหน้าปั้นยากอยู่สักหน่อยกับคำโกหกของขิม แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี คดีของฟ้าถูกรื้อขึ้นมาทำใหม่จากหลักฐานที่ตำรวจได้ไป คนผิดถูกนำตัวมาลงโทษ เรื่องราวของฟ้าถูกพูดถึงในมุมมองใหม่ที่มีแต่คนเห็นใจ และขิมก็ไม่เคยพบฟ้าอีกเลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นเรื่องปกติเสียแล้วที่ขิมจะเห็นวิญญาณเพราะต้องการให้ช่วยหรือต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับคนที่สามารถสัมผัสหรือรับการสื่อสารจากพวกเขาได้ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้นี่นะ ขิมเคยคิดนะว่าการได้เห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็นนี้นั่นคือพรสวรรค์ หรือ คำสาป แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะมันเกิดขึ้นมาเอง
ขิมยังจำวันแรกที่รู้ตัวว่ามีความสามารถนี้ได้ดี ตอนนั้นขิมอายุเพียงแปดขวบ คุณยายที่ป่วยกระเสาะกระแสะนอนติดเตียงมานานได้เสียชีวิตลง ตอนนั้นถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของขิมกับแม่ เพราะแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวแยกทางกับพ่อตั้งแต่ขิมอายุได้ห้าขวบแล้ว แม่พาขิมย้ายกลับมาจากต่างจังหวัดที่เป็นบ้านพักข้าราชการของพ่อ กลับมาอยู่กับคุณยาย แม่ทำงานบริษัทเอกชนด้วยเงินเดือนพอแค่เลี้ยงดูขิมได้แบบเดือนชนเดือน คุณยายที่เปิดบ้านเป็นร้านค้าคอยช่วยเหลือเรื่องเงินให้คุณแม่เสมอมา จนคุณยายล้มป่วยลง แม่จึงต้องลาออกจากงานมาเป็นแม่ค้าพร้อมกับดูแลคุณยายและขิม รายได้จากร้านนั้นพอใช้พออยู่ไม่มีเหลือเก็บแม้จะมีลูกค้ามาก เพราะเป็นร้านเก่าแก่มีลูกค้าเก่ามาซื้อของเป็นประจำ แต่การดูแลคนป่วยและเด็กนั้นต้องใช้เงินมากพอสมควร แม่เลยแทบไม่มีเงินเหลือ ตอนที่ยายเสียชีวิตไปนั้น แม่กำลังลำบากเพราะเจ้าของบ้านมาทวงเงินค่าเช่าซื้อบ้านงวดสุดท้ายที่เป็นเงินจำนวนสูงพอสมควร และแม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตึกหลังนี้ยายใช้วิธีเช่าซื้อ โดยจ่ายค่าเช่าซื้อเป็นงวด ๆ ครั้งละห้าปี และนี่ก็ครบกำหนดพอดี แม้ว่าเจ้าของจะอนุโลมให้งานศพของยายผ่านพ้นไปก่อน แต่หากไม่สามารถหาเงินก้อนสุดท้ายมาให้เขาได้ แม่กับขิมก็จะต้องย้ายออกจากที่นั่น ตามเงื่อนไขของสัญญาที่ทำกันไว้ เงินก้อนนั้นมีมูลค่าสูงถึงห้าแสนบาท แม่ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง ได้แต่บอกให้ขิมเตรียมเก็บของ เพื่อจะย้ายออกตามเงื่อนไข
เย็นวันนั้นเองหลังจากขิมกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน ขิมมองเห็นยายกวักมือเรียกขิมให้เดินเข้าไปหา ด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไรขิมเดินไปหายายตามปกติเหมือนเคย ยายพาขิมไปยัง "กำปั่น" ที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมทำจากไม้มีลวดลายแกะสลักอยู่บนตัวหีบ และมีกระจกสีประดับอยู่บริเวณด้านบนของหีบนั้น กำปั่นนั้นมีขนาดเท่า ๆ กับลังที่ใช้ใส่เบียร์ที่วางแอบอยู่ข้างซอกตู้มีของวางซ้อนกันด้านบนหลายอย่าง จนไม่มีใครสังเกตว่ามันวางอยู่ตรงนั้น ยายหยิบลูกกุญแจจากกระเป๋าเล็ก ๆ ที่วางอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นยื่นให้ขิม พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ขิมรื้อกล่องเปล่า ๆ ที่วางอยู่ด้านบนออก ก่อนจะพยายามลากกำปั่นนั้นออกมากลางห้องเพื่อความสะดวก เมื่อทำไม่ไหวจึงส่งเสียงเรียกแม่ให้เข้ามาช่วย
แม่มีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นกำปั่น และลูกกุญแจในมือของขิม ก่อนที่จะถามอะไรแม่ลากเอากำปั่นนั้นออกมากลางห้องนั่งลงตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ เอาลูกกุญแจจากขิมสอดเข้าไปยังรูกุญแจที่คล้องอยู่นั้น เมื่อเปิดฝาแม่ก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
"ไชโย…เรารอดแล้วขิม เรารอดแล้ว" แม่พูดละล่ำละลักก่อนจะดึงตัวขิมเข้าไปกอด แล้วหันไปหยิบของในกำปั่นนั้นออกมา ทองแท่งสุกปลั่งหลายแท่งกับเงินสดที่อยู่ในนั้น คงมีมากเกินพอที่จะใช้จ่ายค่างวดตึกครั้งสุดท้ายนี้ แม่หันมามองขิมด้วยความแปลกใจ เพราะขิมมัวแต่มองคุณยายที่กำลังยิ้มดีใจ ก่อนจะโบกมือลา แล้วพูดกับขิมเบา ๆ ว่า
"เป็นเด็กดีนะลูก บอกแม่ด้วยว่าขอบใจมากที่ดูแลยายเป็นอย่างดี ยายไปละนะ" ยายยิ้มให้ขิมอย่างอ่อนโยนก่อนที่ร่างนั้นจะค่อย ๆ จางหายไป
"ค่ะ คุณยาย" ขิมรับคำ แม่เบิกตาโพลงมองขิมแล้วพูดขึ้น
"คุณ….คุณ…ยาย เหรอขิม"
"ค่ะแม่ คุณยาย"
"ขิมเห็นคุณยายเหรอลูก"
"ใช่ค่ะแม่ คุณยายกวักมือเรียกขิมเข้ามาดูข้างตู้นี้ แล้วเอากุญแจให้ขิม แต่ตอนนี้คุณยายไปแล้ว ก่อนไปคุณยายฝากบอกแม่ด้วยนะคะว่าขอบใจที่ดูแลคุณยายมาเป็นอย่างดี" แม่มีสีหน้าแปลก ๆ และพาขิมไปทำบุญในวันรุ่งขึ้นพร้อมกับรดน้ำมนต์ แต่ขิมก็ยังเห็นวิญญาณต่าง ๆ เรื่อยมาจนชาชิน บางวิญญาณก็มาในรูปร่างแบบตอนยังเป็นมนุษย์ แต่โดยมากมักจะมาในแบบสภาพที่ดูไม่ค่อยได้แบบคุณฟ้า เพื่อให้ขิมได้ช่วยเหลือเป็นตัวกลางในการสื่อสารบอกกล่าวเรื่องราวที่ค้างคาใจให้สำเร็จลุล่วงจนหมดห่วง
การเห็นผีและวิญญาณนั้น คือการมีบุญ หรือ กรรม ใครกันจะบอกได้ แต่สำหรับขิมแล้วเธอคิดว่ามันน่าจะคือกรรม หรือไม่ก็คำสาปมากกว่า ไม่รู้นะว่ามีกี่คนที่เห็นผีได้แบบขิม เพราะขิมไม่เคยบอกใคร เธอไม่อยากเป็นตัวประหลาดในสายตาใคร มีเพียงแม่เท่านั้นที่รู้ว่าเธอมีความสามารถเช่นนี้ เธอจำยอมรับมันไว้ และพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตามที เพราะนี่คงจะเป็น "ชะตากรรมของขิม"