[รีวิวหนังใหม่] ELVIS หนังจบอารมณ์ไม่จบ อีก1หนังดีที่สุดของครึ่งปีแรก ปี2022
ใครชอบฟังมากกว่า ดูรีวิวจัดเต็มที่นี่
Elvis (A)
.
"คุณกับผมก็เหมือนกัน
เราต่างเป็นเด็กอ้างว้าง ที่ไขว่คว้าหาความเป็นนิรันดร์"
.
.
ในรอบครึ่งปีแรกของปี2022 นี่น่าจะเป็นหนังลำดับต้นๆ
ที่เรารู้สึกประทับใจ และรู้สึกว่าโคตรคุ้มค่าในทุกนาที
ที่ได้ดูหนังบนจอใหญ่ในโรงภาพยนตร์
.
Elvis คือภาพยนตร์ชีวประวัติ King of Rock N Roll
ที่ได้ผู้กำกับระดับเฟี๊ยซในตำนานอย่าง บาซ เลอมานน์
มาคุมบังเหียน ซึ่งเราไม่ได้เห็นงานของผกก.คนนี้มาหลายปีมาก และทุกๆครั้งที่มา แกจะทำให้ผู้ชมต้องตื่นตะลึงกับงานโปรดักชั่นอลังการงานสร้างแบบจัดเต็มทุกกระเบียดนิ้วได้เสมอ
.
เรื่องนี้ก็เช่นกัน แค่20นาทีแรกของเรื่อง ก็เตรียมให้Aรอไว้แล้ว หนังเปิดเรื่องได้โคตรบ้า โคตรอลัง โคตรของความอเนจี้จัดๆ และไม่นึกว่าหนังจะดีดอเนจี้แบบนี้ตลอดเรื่อง เรียกได้ว่าเป๊ะทุกช๊อต สนุกทุกเฟรม ทั้งงานคอมโพส หรือการTransitionเปลี่ยนฉาก รวมไปถึงวิชวลทางภาพ พี่แกเอาทุกเม็ด งานตัดต่อนี่ตัดซอยกันยับ เรียกได้ว่ามีซีนMontageตัดสลับที่โคตรบ้าพลังอยู่ในหนังหลายช่วงมาก ซึ่งเป็นลายเซนต์นึงของคุณบาซอยู่แล้ว เราเลยแบบโคตรใจฟู รู้สึกคิดถึงในโมเม้นเดือดๆแบบนี้จากฝีมือแกมากๆ
.
ตลอดเรื่องไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลย
หนังมอบประสบการณ์ให้เราเหมือนได้
จมไปอยู่ในชีวิตเอลวิส และอยู่ในคอนเสิร์ตจริงๆ
และที่น่าชื่นชมมากๆคือ นอกจากอเนจี้หนังแล้ว
อเนจี้นักแสดงนำอย่าง ออสติน บัตเลอร์ ซึ่งเป็นนักแสดงหน้าใหม่ และทอม แฮงค์ ก็ฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
.
เอาจริงนี่แทบจะเป็นหนังเพลงอยู่แล้ว เพราะเพลงมาทั้งเรื่อง
แต่เวลาดนตรีหรือเพลง Can't help falling in love ขึ้นมา
จะรู้สึกจี๊ดใจมากๆ และยิ่งในช่วงท้ายที่หนังได้ให้พื้นที่กับเพลง Unchained Melody คือเพราะจับใจมาก และจากที่ดูชีวิตเอลวิสมาทั้งเรื่อง ซีนนี้คือเสียน้ำตาอ่ะบอกเลย
.
เป็นชีวิตที่น่าสงสารมากๆ เป็นชายผู้ยิ่งใหญ่
เป็นดาวค้างฟ้าที่โคตรอ้างว้าง แถมรุมล้อมไปด้วย
ผู้คนที่มักมากในผลประโยชน์จากความสามารถของเขา
.
แต่หนังก็แสบที่เล่าเรื่องผ่านผู้พัน ทอม พาร์คเกอร์
ผู้จัดการส่วนตัวที่ลิ้นทองยิ่งกว่าอะไรดี
ซึ่งทอม แฮงค์สวมบทบาทนี้ไว้ได้เฉิดฉายไม่แพ้พระเอกเลย
หนังได้เล่าเรื่องLove Hate Relationship ที่ต้องดีลระหว่างศิลปินกับผู้จัดการส่วนตัวได้อย่างน่าสนใจ รวมถึงการเชื่อมไปสู่พาร์ทของครอบครัว ก็ทำให้เราได้เข้าใจที่มาที่ไปของตำนานศิลปินคนนี้มากขึ้น
.
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยหนังต้องการเล่าเรื่องไทม์ไลน์ชีวิตภาพรวมตั้งแต่เด็กยันเสียชีวิต ดังนั้นจุดด้อยของหนังจึงเป็นในเรื่องของstoryกับตัวละครรายล้อม ที่เรารู้สึกว่าบางคนก็โผล่มา บางคนก็หายไป บางคนอยู่ตั้งหลายฉาก เราแทบไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ เหมือนหนังมันพาคนดูไปข้างหน้าไวมากจนไม่ได้ลงดีเทลในตัวละครเท่าไหร่นัก ทำให้จะมีเพียงเอลวิสกับผู้พันที่จะเป็นตัวเด่นชูโรง ในขณะที่คนอื่นๆ บทบาทจะไม่ได้จำขนาดนั้น หากเทียบกับหนังแนวเดียวกันอย่าง Bohemian Rhapsody, Rocketman สองเรื่องนั้นในแง่ความสัมพันธ์ตัวละครรายล้อมชีวิตตัวเอก เรารู้สึกจับต้องและอินได้มากกว่า
.
กระนั้นข้อดีของเรื่องนี้ก็สามารถทำให้เรารู้สึกประทับใจหนังเรื่องนี้ได้จนยกให้เป็นหนังแห่งปีอีกเรื่อง เพราะคงไม่ง่ายที่จะเล่าเรื่องราวทั้งชีวิตของเอลวิสหดมาเหลือเป็นหนังสองชั่วโมงครึ่งได้อย่างโคตรน่าสนใจและโคตรสนุกทุกฉาก อลังการจัดเต็มแบบนี้ และยังขนลุกตื่นตะลึงในซีนต่างๆที่ปรากฏขึ้นมาจนร้องหลายครั้งว่า เหยดเขร้!!
.
ดูจบแล้วยังคงกินใจ อยากมีส่วนร่วมในการปรบมือให้ทีมงานนักแสดงเหมือนตอนที่นำไปฉายเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์
.
.
ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ บางทีก็กลัวการที่จะถูกลืม
บางทีสิ่งที่ทำร้ายเรามากที่สุด
ก็คงเป็นการที่เราพยายามแทบตาย
เพื่อให้คนมากมายได้จดจำเรานั่นแหละ
.
ชีวิตที่เรียบง่าย อาจไม่มีความหมายกับเราแล้ว
เมื่อเราเลือกจะทิ้งมันไว้ข้างหลัง
เพราะความทะเยอทะยานที่นำพาเราไปถึงจุดสูงสุด
มันพาเราโบยบินไปไกลจนไม่อาจย้อนกลับไปที่จุดตั้งต้นได้อีกต่อไปแล้ว
.
.
.
ดูเรื่องนี้จบคิดว่าจะฟังเพลงElvisในความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมแน่นอน แต่หนังยังคงทรงพลังกึกก้องในใจหลังเราเดินจากโรงออกมา
รีวิวแบบแนวตั้ง