"10 มัมมี่ที่ทิ้งปริศนาให้นักโบราณคดีตอนที่ 2" ต่ออีก5อันดับที่เหลือเลย
คราวนี้เรามาต่อ ตอนที่ 2 อีก 5 อันดับที่เหลือกันเลย
อันดับที่ 5 มัมมี่ที่ถูกโปะด้วยโคลน Mud covered mummy
จริงๆๆ แล้วฟังดูก็ไม่น่าจะแปลกเท่าไร แต่ ศาสตร์ด้านการทำมัมมี่ ตั้งแต่ที่มีการค้นพบมัมมี่ มักจะใช้ผ้าปาปิรุสพันแบบหนาๆ สีขาวตามภาพที่เราเคยเห็นบ่อยๆ แล้วชุบน้ำยา แล้วทาด้วย เรซิน หรือยางสน เพื่อให้มัมมี่ มีสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ได้ค้นพบมัมมี่ ตนนี้ โดยถูกโคลนนำมาแปะ ทับเป็นชั้นๆ สันนิษฐานว่า การใช้เรซินคือสำหรับคนชั้นสูงหรือคนรวย แต่การใช้โคลนนี่ ไม่แน่ใจว่าเป็้นชนชั้นล่าง หรือคนจนรึเปล่า โดยพิสูจน์แล้วเป็น มัมมี่ หญิง อายุประมาณ 20 ต้นๆ ถูกโคลนแปะคลุมไว้แล้วค่อยนำใส่ โลงสีทองแบบอียิปต์ทั่วๆไป
ซึ่งก็ต้องศึกษาต่อไปว่า ทำไม และอย่างไรต้อง คลุมด้วย โคลนด้วย แปลกจริงๆ
อันดับที่ 4 มัมมี่เด็ก (เด็กดื้อ ไม่เกี่ยวนะ)
ในความเชื่อของชาวอียิปต์ ที่เชื่อเรื่องโลกหลังความตาย แต่กระนั้น แล้ว ถ้า เด็ก ในยุคนั้นเกิดเสียชีวิตก่อนวัยอันควรละ เออ เนอะ แล้ว คนในสมัยจะคิดทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ค่อยมีการค้นพบมัมมี่เด็ก หรือแม้แต่มัมมี่ทารก จึงพบเห็นได้น้อยๆๆๆๆๆมากๆๆ ที่สำคัญแปลว่าคนในยุคนนั้นจะต้องยอมรับว่า เด็กเหล่านี้ต้องไปโลกแห่งความตาย จึงต้องทำเป็นมัมมี่ให้ จากการค้นพบ จึงพิสูจน์ได้ว่า มัมมี่เด็ก เหล่านี้คือ กษัตริย์หรือราชินี บุคคลชั้นสูงที่ได้รับการสถาปนาแล้ว แต่ดันมาตายไปก่อน จึงต้องเป็นมัมมี่ไว้
นอกจากนี้ในปี 2021 ล่าสุดนี้เลย นักโบราณคดีประกาศ การค้นพบมัมมี่ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ปัญหาคือ คนสมัยก่อนรู้หรือไม่รู้ว่า ว่าเธอตั้งครรภ์แต่การรู้ว่า เธอตั้งครรภ์ มาจากการตรวจซีทีสแกนด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยในยุคปัจจุบันนะถึงรู้ว่า มีทารกอีกคนในตัวมัมมี่ และโดยวิธีการของมัมมี่ จะต้องเอาเด็กออกก่อน ซึ่งความเชื่อก็คล้ายกับสังคมไทยเนอะ ที่ตายท้องกลม ประมาณนี้ แต่หากว่า คนสมัยโบราณรู้ว่า เธอตั้งครรภ์ คำถามคือทำไม ไม่เอาเด็กออกก่อน แต่เอาทั้งแม่และลูก จับทำมัมมี่ไปๆพร้อมๆกันเลย นั่นคือสิ่งที่นักโบราณคดีสงสัย
อันดับที่ 3 มัมมี่ที่มีรอยสัก (เอ่อ เปรี้ยวเว้ยเฮ้ย)
อันนี้บางคนอาจจะบอกว่าไม่แปลกเท่าไร แต่นักวิทยาศาสตร์เข้าใจว่าการสักตามตามเป็นวัฒนธรรมของตะวันตกในยุค ศตรวรรษที่ 19 นี่เอง หากว่าจะมีรอยสัก มีได้ แล้ว ทำไม มัมมี่ก่อนหน้านั้น ไม่พบรอยสักละ แล้ว สักทำไม สักเพื่ออะไร แล้วทำไมก่อนหน้านั้นไม่เห็นรอยสัก สักรอย เรื่องราวนี้เกิดขึ้นจากการค้นพบ มัมมี่ ผู้หญิง 7 คน ที่สถานโบราณคดี ชื่อ Deir El Medina ที่อียิปต์นะ ซึ่งรอยสักไม่ใช่สักน้อยๆนะ มีเยอะเลย ที่สำคัญมีเรื่องราวด้วย ซึ่งแต่ละรูปและรอย ชัดมากๆๆๆๆๆ รู้ว่านี่คือ รูปสัตว์อะไร
สันนิษฐาน ตามเดิมว่า คนเรานี้น่าจะทำงานด้านศิลปะ ดังนั้น คาดว่าจึงเป็นการแสดงออกทางศิลปะอย่างหนึ่งแต่ก็เลือกที่จะแสดงออกบนร่างกายของตนเอง มัมมี่บางตนมีรอยสักถึง 30 รอย ในขณะที่การค้นพบมัมมี่ทั่วไป คือจะไม่มีเลยและแปลกมากๆ ซึ่งความโชคดีคือ คนเหล่านี้ถูกทำเป็นมัมมี่ จันสตาฟร่างกาย ทำให้เรารู้ถึง วิถึชีวิตและค่านิยมของคนที่มีอายุมากกว่า สามพันปีว่าเป็นอย่างไร
อันดับที่ 2 มัมมี่ชินโชโร่ chinchorro mummy
มัมมี่ อันนี้จัดว่าสุดเลย แต่เป็นมัมมี่ที่ถูกค้นพบในเปรู นะไม่ใช่ของอียิปต์ ความฉงน ปริศนา คือ เป้นมัมมี่ ที่นักวิทยาศาสตร์อ้างว่า มีอายุย้อนไปมากถึง 7020 ปีทีเดียว ซึ่งถ้าเทียบวัฒนธรรมแล้ว เกิดก่อน วัฒนธรรมของอียิปต์ เป็นพันปี (อียิปต์คาดว่า เก่าแก่ สามถึง ห้าพันปี) การค้นพบครั้งนี้ ครั้งแรกในปี 1917 โดยค้นพบมัมมี่ 282 ร่าง ในทะเลทรายในเปรู นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่มัมมี่ยังคงสภาพดีมั้ง
ซึ่งการค้นพบมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก ซึ่งปกติมัมมี่ของอียิปต์เรามักจะเห็นการฝังเดี่ยว ประมาณว่า โลงใครโลงมัน จัดพิธีดีๆๆ นอนนิ่งๆ มีโลงสวยๆครอบอีกทีเนอะ แต่ที่นี่ฝังรวมเลยจ้าาาา ซึ่งทำแบบเรียบง่าย แต่แอบน่ากลัวด้วยนะ ดูเอา
ซึ่งคำว่า ชินโชโร อะไรเนี่ยเป็นชื่อที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าเป็นชื่อ ชาวเผ่าโบราณ ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น ในเวลานั้น ซึ่งมีวิธีคิดว่าต้องทำมัมมี่ก่อนชาวอียิปต์ อีกๆๆ อะไรจะประมาณนั้น น มัมมี่ตนนี้ เดี่ยวว่างๆ จะมาทำเป็นกระทู้แยกดีกว่า ถ้าอยากอ่านนะ
อันดับที่ 1 มัมมี่ฮัทเชฟสุซ
เดี่ยวก่อน ชื่อฟังดูคุ้นๆๆนะ ฮัทเชฟสสุช เป็นฟาโรห์องค์ที่ 5 ของราชวงศ์ที่ 18 แต่ เป็นฟาโรห์หญิงนะ ที่ถูกขนานนามว่า เป็นฟาโรห์ที่มีอำนาจมากที่สุด ซึ่ง ชื่อ นาง ก็ แปลออกมาแล้วก็หมายถึง ยิ่งใหญ่ที่สุด เอาซิๆๆๆๆๆๆ ซึ่งไปอ่านดูก็ เป็นพันๆๆ แต่ว่า ที่น่าแปลกคือ หลุมศพและสุสานของพระนาง พึ่งจะถูกค้นพบไม่นานมานี่เอง ใน ศตว ที่ 20 ที่ หุบเขากษัตริย์
ความน่าสนใจหรือความแปลกคือ มีความพยายามจะลบชื่อเธอออกจากประวัติศาสตร์ ในช่วงแรกนักโบราณคดี ก็ไม่แน่ใจ เพราะการไปพบเจอมัมมี่ของเธอเป็นการเจอ นั้นพบตั้งแต่ปี 1903 เลย โดยพบ มัมมี่สองโลง ซึ่งนักวิทย์ ให้รหัสว่า KV38 และ KV60 ซึ่งตอนแรก นักวิทย์ พบชื่อว่า อีกคนเป็นคนรับใช้ เพราะมีการจารึกหน้าโลง แต่อีกคน ไม่รู้ประวัติเลย นักโบราณคดีเลยไม่ได้สนใจเท่าไร ซึ่งก็ สำรวจไปอีก โดยคิดว่า จะตรวจ ดีเอ็นเอ ยังไงดี ก็พบว่า ไปตรวจที่ฟันของมัมมี่ พบว่า คนที่เป็นคนรับใช้หรือนางพยาบาลมีดีเอ็นเอ และการระบุว่าเป็นคนนั้น แต่พอมาตรวจมัมมี่อีกตัว กลับพบว่ามีดีเอ็นเอ ไปตรงกับสายเลือดฟาโรห์ ที่เขาได้สำรวจมาก่อนแล้ว
เมื่อมาตรวจสอบประวัติก็จะพบอะไร ที่น่าสงสัยหลายๆอย่างว่า ในตอนนั้น นางแสดงตนเป็น ผช หรือ ผญ เพราะเป็นฟาโรห์ที่มีอำนาจ จนในบางจารึก ระบุว่าเป็น "ราชินีมีเครา" ถือว่าเป็นการค้นพบ ฟาโรห์ หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ที่ได้รับการยอมรับ
การลบชื่อฮัตเชปซุตไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดหรือโดยผู้สั่งก็ตาม เกือบทำให้เธอหายตัวไปจากบันทึกทางโบราณคดีและลายลักษณ์อักษรของอียิปต์ เมื่อนักอียิปต์นิยมในศตวรรษที่สิบเก้าเริ่มตีความข้อความบนกำแพงของวิหาร Deir el-Bahri
สุดท้ายก็จบเรื่องราว ตอนที่ 2 ของมัมมี่ ที่น่าฉงนสงสัยที่สุดใน ยุคนี้เลย คือ ยุค 2000-2022 เลย เรายังคงจะได้เจอคำตอบและการค้นพบใหม่ๆ อีกแน่นอน สุดท้ายนี้ถ้าเพื่อนๆ ชอบ กด ไลท์ แชร์ คอมเม้นต์ให้ด้วยนะๆ รูปล่างไม่เกี่ยวนะ แค่ภาพ ปรากรอบ
อ้างอิงจาก: แปลจาก https://www.youtube.com/watch?v=AV67bkYzDNU&t=257s
www.wikipedia.com
https://www.google.com/search?q=infact mummy&tbm=isch&ved=2ahUKEwje5ebsreT3AhUT73MBHSl7AXQQ2-cCegQIABAA&oq=infact mummy&gs_lcp=CgNpbWcQAzoECCMQJzoECAAQEzoHCCMQ6gIQJzoICAAQgAQQsQM6BQgAEIAEOgQIABBDOgcIABCxAxBDOgsIABCABBCxAxCDAToGCAAQCBAeOgYIABAKEBg6BAgAEBhQ_wxYpTZgzzhoBHAAeACAAdIBiAHMCpIBBjE0LjAuMZgBAKABAaoBC2d3cy13aXotaW1nsAEKwAEB&sclient=img&ei=y3CCYp7UEJPez7sPqfaFoAc