ใครเคยไปดูหนังกลางแปลงมั่ง
หนังกลางแปลงยุค90
หนังกลางแปลงงานวัดในหมู่บ้าน สมันก่อนเวลามีงานลอยกระทง หรือ งานบวช งานศพ เจ้าภาพที่มีเงินก็จะมีการจ้างหนังกลางแปลงหรือไม่ก็ลิเก
สมัยนั้นก็จะไม่ค่อยมีรถจักรยานยนต์มากมายเท่าทุกวันนี้ ส่วนมากที่ดังๆหน่อยก็จักรยาน BMX ไว้ปั่นไปเลี้ยงควายเลี้ยงวัวตามทุ่งนา
เวลามีหนังกางแปลงต่างหมู่บ้านก็จะรวมตัวกันประมาณ10 กว่าคนถือเสื่อไปไว้นั่งดูหนัง ที่ชวนไปหลายคนเพราะว่าเวลาเดินไปต่างหมู่บ้านก็จะผ่านพวกดงป่าหรือว่าป่าช้า อะไรประมาณเนี้ย สมัยก่อนถ้าเดินคนเดียวกลัวอย่่างเดียว ผี !!
เข้าเเรื่องเลยดีกว่า ตอนวัยเด็กถ้ามีหนังกลางแปลงตามหมู่บ้านใหนแล้วหล่ะก็ ต้องไปทุกงาน แม้แต่หนังกางแปลงล้อมผ้าเก็บตังก็ชวนกันไป
แล้วก็มีวันที่วิ่งผมตั้งก็มาเยือน
เส้นผมตั้งโด่จริงๆไม่ได้โม้ คืนวันเพ๊ญ เดือนหงายสว่างจนมองเห็นคนเกือบจะชัดเจนในยามค่ำคืน หลังจากพวกเราได้ดูหนังกางแปลงที่วัดซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน เส้นทางห่างจากหมู่บ้านพวกเราประมาณ 1กิโลเมตร ในงานก็จะมีซุ้มขายของมากมาย ทั้งชิงช้าสวรรค์ ปาลูกโป่ง สาวตกตึก เอ้ยตกน้ำ และของชอบเวลานั่งดูหนังนี่ต้องมีส้มตำเผ็ดๆ กับ กากหมู น้ำลายไหลกันเลยทีเดียว
หลังจากเที่ยวกันก็ได้เวลากลับบ้าน ตอนไปดูหนังด้วยกันประมาณสิบคน กลับมาพร้อมกัน6 คน อีกสี่คนขอดูถึงเช้า ขณะที่พวกเราได้พากันเดินกลับบ้าน เด็กอย่างพวกเรา ก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆ หยอกล้อกันตามประสาเด็กๆทั้งเรื่องผี เรื่องของเล่น เรื่องหนังที่ดูกันมา
พอเดินมาถึงครึ่งทาง เพื่อนคนนึงเกิดปวดถ่ายขึ้นมากะทันหัน ก่อนหน้านั้นที่พากันอัดส้มตำมาหลายครก
เฮ้ย!! เพื่อน ชื่อปึ๊ด คนหนึ่งตะโกนบอก ไอ้ตองกะไอ้เล และพวกมึงพวกขี้ป่าววะ ไปเป็นเพื่อนกุหน่อย
ไอ้เลตอบ เออกูก็ปวดหมือนกัน
ไอ่ตองถามเอ็ยตรงนี้ใช่ที่เขาเผาศพไปเมื่อ 2เดือนก่อนป่าววะ
ผมเลยตอบไป เออ ใช่แล้ว พากมึงไม่กลัวเลยนิ
ไอ่เล ตอบ กลัวไรวะมากันหลายคน ถ้ามีไรมึงวิ่งให้ทันกู ก็ พอ 555 มันหัวเราะชอบใจ
สุดท้ายต้องลงข้างทางไปนั่งถ่ายเป็นเพื่อนมันทั้ง 4 คน
เนื่องจากขณะนั้นเป็นเวลาตี2 กว่าๆที่พวกเรากลับมาจากดูหนัง เพื่อนอีก2 คนอยู่ต่างหมู่บ้าน ซึ่งบ้านพวกมันไกลกว่าบ้านพวกผม พวกมันก็เลยขอตัวกลับก่อน
สมัยก่อนถ้ามีใครตายเขาจะเผาศพด้วยกองฟืน สมัยนั้นจะไม่มีเมรุเผาศพเหมือนปัจจุบัน และที่ตรงที่พวกผมไปนั้งอี้กันอยุ่ เพิ่งมีการเผาศพคนแก่ไปเมื่อ 2เดือนที่แล้วนั่นเอง
หลังจากลงไปกลางทุ่ง พวกผมก็นั่งถ่ายกันตามปกติ เวลาก็ประมาณตี 2กว่าๆ แต่ขณะนั้นจันทร์ฉายที่สว่างพอมองเห็นก็เริ่มเบาแสงลง
แต่ก็พอมองเห็นว่าใครเป็นใคร บรรยากาศเริ่มเย็มลง สายลมที่เคยมีตอนกลับมาจากดูหนังก็หายไป แม้แต่เสียงจิ้งหรีดก็เงียบสงัด มีแต่เสียงพากเราที่อี้ไปคุยไป เพราะนั่งห่างกัน 2 เมตร ทำเลใครทำเลมัน 555+
อี้ไปคุยไปแต่พวกเราไม่ได้สังเกตว่า มีเสียงกระแอมไอคล้ายคนมีเสมหะในลำคอ พอพวกเราเงียบเสียงก็ไม่มีอะรไรเกิดขึ้น ซึ่งก็ไม่ได้คิดอะไร
พอทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็เริ่มมองหาเพื่อนที่อยุ่ใกล้ๆ ว่ามีคนอื่นเสร็จกันยัง แสงจันทร์สลัวๆ พอมองเห็นอยู่ร่ำไร
ในขณะที่มองหาเพื่อนเอ่ยถามทุกคนอยุ่นั้น สิ่งที่พวกเราเห็นตรงกันก็คือ มันมีอีกคนที่ไม่ใช่คน ซึ่งนั่งยองๆ ก้มหน้า นุ่งขาวห่มขาว แต่ใบหน้ามืดมิดคล้ายหลุมดำในจักรวาลที่มันไม่มีจุดสิ้นสุด มานั่งอยู่ข้างไอ้เล
ไอตองถามไอเล มึงนั่งอยู่กะใคร
ไอเลตอบ ก็ไอ่ปึ๊ดไง
ผมเลยเอ่ยไปว่าไอ่ปึ๊ดมันอยุ่กะกุนี่ ไอเลไม่ทันได้นุ่งกางเกง ก้นก็ไม่เช็ค วิ่งกระโดดข้ามรั้ว แซงหน้าพวกผมไปอีกทาง มันวิ่งลุยดงตอซังข้างเพิ่งเกี่ยว พวกผมอีกสามคนไม่รอแลัวหล่ะ วิ่งสิฮะ เสื่อที่ถือไปดูหนัง ก็ลืม รองเท้าก็ลืม ผมสามคนวิ่งไปพร้อมกันอย่างไม่คิดชีวิต ระหว่างทางมีทั้งหมา ข้างทางอีกเป็นฝูง ต่างคนต่างวิ่งวิ่งกุไม่รอมึงละ เหมือนที่ไอ่เลมันบอก วิ่งให้ทันกุละกัน
เช้ารุ่งขึ้น ไอ้เล วิ่งไปบ้านป้ามันอีกหมู่บ้านนึงไกลกว่าบ้านมันอีกครึ่งกิโล ส่วนพวกผม กลับบ้านน้ำก็ไม่ได้อาบ รออาบเช้า ผมนี่ผมตั้งโด่
เพิ่งเข้าใจ? วิ่งหน้าตั้ง มันเป็นแบบนี้นี่เอง ประเด็น คือ ผืไม่ค่อยกลัว แต่กลัววิ่งไม่ทันเพื่อน 555
มือใหม่หัดเล่าคับ