ประสบการณ์จิตเหนือโลกของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
ประสบการณ์จิตเหนือโลกของหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
/////
นายเยื้อน หฤทัยถาวร เกิดวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2495 ที่บ้านระไซร์ ตำบลนาดี จังหวัดสุรินทร์ บิดาของเขาชื่อ นายมอญ หฤทัยถาวร มารดาของเขาชื่อ นางหิต หฤทัยถาวร เขามีพี่น้องทั้งหมด 9 คน โดยเขาเป็นลูกชายคนโต
นายเยื้อนเป็นคนมีการศึกษาน้อย เขาเรียนจบแค่ชั้นประถมสี่เท่านั้น
ในปี พ.ศ. 2515 ตอนที่นายเยื้อนอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ชายหนุ่มตัดสินใจบวชตามประเพณี แล้วจะสึกออกมาครองเรือน
หนุ่มเยื้อนได้มาบวชที่วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ของหลวงปู่ดูลย์ อติโล (พ.ศ. 2430-2526) ตอนนี้หนุ่มเยื้อมมาบวช หลวงปู่ดูลย์ท่านมีอายุ 85 ปีแล้ว
เมื่อบวชแล้ว วันแรกหลวงปู่ดูลย์ให้พระเยื้อนไปนั่งภาวนากับหมู่เพื่อน โดยให้กำหนดลมหายใจเข้า-พุท ... ลมหายใจออก-โธ
พระเยื้อนหายใจเข้าจนถึงลิ้นปี่ บริกรรมพุท แล้วหายใจออกบริกรรมโธ ทำเช่นนี้อยู่ประมาณสิบนาที ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาเองแบบคนรู้ธรรมน้อยว่า ... ถ้ามัวแต่ตามลมหายใจเข้าและออกอยู่อย่างนี้ จิตมันจะสงบได้อย่างไร?
พระหนุ่มจึงคิดขึ้นมาเองว่าเขาจะลองเปลี่ยนใหม่เป็น ... เมื่อกำหนดลมหายใจเข้าแล้ว เวลาลมหายใจออกเขาจะไม่ตามลมออกไป แต่จะกลับกำหนดเข้าไปข้างในแทน
แม้พระเยื้อนจะไม่เคยอ่านตำราธรรมะเล่มใดมาก่อน แต่เขาก็ยังรู้ขึ้นมาได้เองว่าการบริกรรมพุท-โธตามลมหายใจนี้ มันเป็น 'ตัวรู้' อยู่ในตัวเอง คือ รู้ลมกับรู้พุท-โธ
โดยที่ 'รู้ลม' ยังอยู่ข้างนอก แต่ 'รู้พุท-โธ' มันอยู่ข้างใจอย่างจับความรู้สึกได้ชัดเจน
พอรู้ได้เช่นนี้ พระหนุ่มจึงสูดลมหายใจเข้า-พุธ ตามรู้สึกเข้าไปในกาย ตอนนี้พระหนุ่มมิได้ตามลมแล้ว
แต่หลับตาหันไปตามความรู้สึกรู้พุท ลงเข้าไปข้างในแทน
พอตามรู้โธ ก็ยังลงเข้าไปข้างในอีก ตามรู้พุทโธ พุทโธ พุทโธ เช่นนี้ลงเข้าไปข้างในอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนี้ความรู้สึกที่เคยจับอยู่ที่ฐานจิตตรงลิ้นปี่ มันเลื่อนลงไปเองมาอยู่ที่ข้างในท้องบริเวณสะดือแทนอย่างเป็นไปเอง
ตอนนี้ความรู้สึกของพระเยื้อนไม่ได้อยู่ที่ข้างนอกกายอีกแล้ว แต่จับอยู่ที่ข้างในพร้อมกับการรู้พุท-โธอย่างต่อเนื่องและอย่างแผ่วยาวแทน
ความรู้สึกในตอนนี้ของพระหนุ่มเหมือนกับไม่มีกาย คล้ายมันทะลุก้นลงไป ความรู้สึกขณะนั้นมันเบาเวิ้งมากเหมือนอากาศ แต่เขายังไม่ทิ้งตัวพุท-โธ จนตัวพุทโธมันดับของมันเอง
ตอนนั้นพระเยื้อนเข้าใจเองว่าเขาตายไปแล้ว โดยตายไปประมาณสัก 5 นาที จากนั้นเขาจึงรู้สึกตัวอีกครั้งเหมือนกับเพิ่งเกิดใหม่
ใช่ ! จิตเดิมของเขาดับไปแล้ว และมีจิตใหม่ขึ้นมาแทนที่
ตัวจิตใหม่นี้ของเขา มันไม่ต้องกำหนดลม และไม่ต้องบริกรรมพุท-โธๆ อีกแล้ว คือมันไม่ต้องนึกแล้ว
จิตใหม่มันนึกกำหนดรู้พุทโธของมันเอง ต่อเนื่องเป็นวินาทีตลอดโดยมีฐานจิตอยู่ตรงกลางช่องท้องบริเวณสะดือ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม พระเยื้อนจึงออกจากกรรมฐานในท่านั่ง เปลี่ยนมายืนและเดินจงกรมแทน แต่แปลกเหลือเกินที่ 'ตัวรู้' ของจิตใหม่นี้ มันยังคงอยู่ตลอด คือพุทโธอยู่ทุกวินาทีไม่ได้หายไป แม้จะเปลี่ยนอิริยาบถไปทำกิจกรรมอะไรก็ตาม
คืนนั้นทั้งคืน พระเยื้อนไม่ได้กลับไม่ได้นอนเลย ราวกับว่าตัวเขาถูกบังคับจากตัวรู้ของจิตใหม่ข้างในให้ต้องตามรู้พุทโธ พุทโธไปตลอดทั้งคืน
แม้เขาจะล้มตัวลงนอน แต่ก็นอนไม่หลับ เพราะตัวรู้ข้างในมันตื่นรู้อยู่ตลอด จิตใหม่มันบริกรรมพุทโธ พุทโธของมันเอง ... จนทุกส่วนในองคาพยพของตัวตนเขามันกลายเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นเขาก็เผลอหลับไปแบบหลับลึกอยู่พักใหญ่ ครั้นพอลืมตาตื่น ตัวรู้ข้างในตัวเขาก็บริกรรมพุทโธ พุทโธต่อเองอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่ดูลย์ใช้ให้เณรมาตามตัวพระเยื้อนไปพบท่านโดยด่วน พอเจอหน้ากันหลวงปู่ดูลย์ก็ถามพระเยื้อนทันทีว่า
"เมื่อวานภาวนาเป็นยังไงบ้าง?"
"หลวงปู่ช่วยดูให้ผมทีเถิดครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ... ดูสิครับ เจ้าตัวรู้นี้ข้างในตัวผมมันยังอยู่ตลอดเลยตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ขอความเมตตาจากหลวงปู่ช่วยเอามันออกไปจากตัวผมด้วยเถิดครับ"
หลวงปู่ดูลย์นั่งหลับตากำหนดไปราวสิบนาที จากนั้นหลวงปู่ก็ลืมตาพูดโพล่งออกมาว่า
"เฮ้ย นี่เจ้าตกในกระแสธรรมแล้วนี่หว่า"
"กระแสธรรมคืออะไรผมไม่ทราบหรอกครับ หลวงปู่ ผมแค่อยากทราบว่าทำยังไงถึงจะเอาเจ้าตัวรู้นี้ออกไปจากตัวผมได้ครับ"
"เอาออกไปไม่ได้ดอก เพราะจิตของเจ้าเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง"
เช้าวันนั้นหลวงปู่ดูลย์ให้พระหนุ่มฉันข้าวกับท่านสองต่อสอง จากนั้นหลวงปู่ดูลย์สั่งพระเยื้อนว่า
"คืนนี้คุณไม่ต้องไปนั่งสมาธิรวมหมู่กับพระรูปอื่นแล้วนะ แต่คุณต้องไปนั่งกรรมฐานตามลำพังคนเดียว เพราะคนที่สอนคุณเมื่อวานจิตยังไม่ถึงของคุณ"
"ผมยังอยากเอามันออกนะหลวงปู่ เพราะมันทำให้ผมคิดอย่างอื่นเรื่องอื่นไม่ได้เลย จิตรู้ข้างในมันจะเอาแต่พุทโธ พุทโธ อย่างเดียวเท่านั้น"
สรุปว่าในระหว่างเจ็ดวันนั้นพระเยื้อนอยู่กับ 'ตัวรู้' ข้างในตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยนั่งกรรมฐานกับเดินจงกรมสลับไปมาเท่านั้น อันเป็นสภาวะของผู้รู้ ผู้ตื่นจริงๆ
ในระหว่างเจ็ดวันนี้ พระเยื้อนมีประสบการณ์ทางวิญญาณที่อัศจรรย์ที่สุดในชีวิต กล่าวคือ เขาแลเห็นกายเนื้อของตัวเองและผู้คนละลายกลายเป็นดิน กลายเป็นของเหลว
พระเยื้อนประจักษ์กับตาเปล่าของตัวเองจริงๆว่า มันไม่มีตัวตน !
ไม่ว่าเขามองอะไร มันก็ละลายเกลี้ยงไปหมด
ตอนนั้นพระเยื้อนยังไม่รู้หนังสือด้วยซ้ำว่า สิ่งที่ตัวเขาเห็นนั่นมันคือ ไตรลักษณ์
คืนนั้นเป็นคืนวันที่สอง พระเยื้อนแลเห็นร่างละลาย แล้วร่างรวมตัวขึ้นมาใหม่ แล้วเห็นร่างละลายอีก แล้วร่างรวมตัวขึ้นมาอีก เขาเห็นสลับไปมาอยู่อย่างนั้น จนจิตของพระเยื้อนละเอียดยิ่งขึ้นถึงขนาดเห็นวิญญานใส
พระเยื้อนนั่งกรรมฐานทั้งคืนโดยไม่รู้สึกถึงเวทนาอีกต่อไป เขานั่งพิจารณาจิตเห็นจิตอยู่อย่างนั้น
จิตผู้รู้ในตัวพระเยื้อนเป็นคนสอนเขาเองในจิตว่าอันไหนต้องทำลาย คือวิญญาณใสที่สุดที่พระเยื้อนแลเห็นในจิตก็ต้องทำลาย
ตัวรู้ข้างในบอกกับพระเยื้อนแบบนั้น
วิธีการทำลายวิญญาณใสที่สุดที่ตัวรู้บอกคือ
"ใช้ใสทำลายใส"
พลันที่พระเยื้อนทำลายวิญญาณใสจนแตกละเอียดได้ จิตของเขาได้หลุดออกมาทันที และจิตยิ้มเอง แถมจิตยังยิ้มตลอดด้วย
พระเยื้อนถึงกับเปล่งอุทานในใจออกมาว่า
"ทำไมธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนมันจึงจริงทุกเรื่องแบบนี้หรอ"
จิตยิ้มแย้มของพระเยื้อนในตอนนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า
เขารู้สึกอยากกราบแทบเท้าของพระพุทธเจ้าอย่างที่สุด อยากกราบแล้วกราบอีก
เช้าวันที่สาม หลวงปู่ดูลย์ใช้เณรให้มาตามพระเยื้อนไปพบท่านอีก
"เมื่อคืนภาวนาเป็นยังไงบ้าง"
"มันหมดคำพูดแล้วครับ หลวงปู่ โลกทั้งโลกมันไม่มีคำพูดในจิตผมเลยครับ มันเหนือโลกไปแล้วครับ หลวงปู่ ช่วยดูให้ผมหน่อยครับ"
ครวนี้หลวงปู่ดูลย์นั่งหลับตาพิจารณานานกว่าครั้งที่แล้วคือราวสิบห้านาที พอลืมตาหลวงปู่ดูลย์พูดออกมาทันทีว่า
"เฮ้ย นี่จิตของคุณถึงจิตโลกุตตระแล้วนะ"
"จิตโลกุตตระคืออะไรครับ หลวงปู่"
"คือ จิตเหนือโลก"
"จริงด้วยครับ มันเหนือโลกจริงๆ และมันยังยิ้มอยู่เลยครับ"
"จิตพระอรหันต์ก็ยิ้มแบบนี้แหละ จิตที่เหนือโลกมันยิ้มแบบนี้แหละ
มันพ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง"
"ผมจะไปพ้นอะไรครับ หลวงปู่ ผมเพิ่งอายุยี่สิบแถมบวชมาแค่สามวันเอง กิเลสก็ยังไม่ได้ตัดอะไรเลย"
"เอาอย่างนี้ดีกว่าออกพรรษานี้เมื่อไหร่ ผมจะส่งคุณไปอยู่กับหลวงตามหาบัวเพื่อเรียนวัตรปฏิบัติของหลวงปู่มั่นกับท่านที่วัดป่าบ้านตาดต่อนะ"
หลังจากบวชครบเจ็ดวัด พ่อแม่ก็มาหาเขาที่วัดเพื่อขอให้สึก แต่ตอนนี้เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถสึกได้แล้ว
.......
วันหนึ่ง หลวงปู่ดูลย์สอนพระเยื้อนเรื่อง "จิตวิญญาณ จักรวาล นิพพาน" ว่า จิตวิญญาณ เกิดจากรูปนามของจักรวาล
นิพพานเป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี 'รูป' กับ 'นาม' สองอย่างเท่านั้น
นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชาเกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป
รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่าง คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุสสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ให้คงทนเป็นปัจจุบันเช่นนั้นได้
จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก 'รูปนาม' ของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง
จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป
นี้เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม
เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว
'จิตเห็นจิต' อย่างแจ่มแจ้ง จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมุติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูดและพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น
เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิมเข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่านิพพาน ...."
พระเยื้อนสารภาพกับหลวงปู่ดูลย์ตามตรงว่าคล้ายเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ คล้ายรู้เรื่องแต่ไม่รู้เรื่อง
หลวงปู่ดูลย์ถอนหายใจเบาๆ ท่านหลับตาอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยลืมตา แล้วเริ่มสอนพระเยื้อนใหม่ว่า
"จิตนี้สร้างภพ !
จิตของคนเราจะสร้างภพขึ้นตลอดเวลาเป็น 'โลกของความคิด'
ซึ่งมีระดับภพต่างๆกันตามคุณภาพสูงต่ำของความคิดบวกหรือลบที่เราสร้างมันขึ้นมาแล้วไปติดอยู่กับความคิดบวกหรือลบนั้น
การมีสติคอย 'รู้ทัน' ความคิดของตัวเอง และคอย 'รู้สึกตัว' ในการเคลื่อนไหวกายของตัวเองโดยคอย 'ตามรู้' ไปเรื่อยๆจึงเป็นหนทางในการหลุดออกจากภพที่มีประสิทธิภาพที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุดที่สามารถทำได้ทุกเมื่อในชีวิตประจำวันของคนเรา
โลกของความรู้ตัวจึงสำคัญมาก และสำคัญยิ่งกว่าโลกของความคิดเสียอีก ถ้าหากต้องการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
จิตหนึ่งที่เป็นพุทธะนั้น เราจะไม่มีวันเข้าถึงได้เลยถ้ายังอยู่ในโลกของความคิด
แต่เราจะเข้าถึงได้ฉับพลันทันที เมื่อเรา 'รู้ตัว' หรืออยู่ในโลกของความรู้ตัว
คิดก็รู้ มีจิตรู้อยู่ว่าคิด
ทำก็รู้ มีจิตรู้อยู่ว่าทำ
เป็นก็รู้ มีจิตรู้อยู่ว่าเป็น
อยู่ก็รู้ มีจิตรู้อยู่ว่าอยู่
ขยับก็รู้ มีจิตรู้อยู่ว่าขยับ
จะเห็นได้ว่าวิถีจิตของอภิธรรมนั้นมิเคยห่างจากชีวิตแห่งความรู้ตัวของคนเราเลย ..."
"อ้อ ถ้าพูดแบบนี้ ผมพอเข้าใจได้เกินครึ่งครับ หลวงปู่"
หลวงปู่ดูลย์มองพระหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่เมตตาอย่างไร้ประมาณ
"เสียดายที่ตัวฉันชรามากแล้ว ไม่อาจอบรมเรื่องการอยู่กับสมมติให้แก่พระใหม่อย่างเธอที่ยังหนุ่มแน่นแท้ๆแต่ได้จิตโลกุตตระแล้วได้
... เธอจงไปอยู่กับหลวงตามหาบัวเถิดนะ"
"ครับ หลวงปู่ กราบครับ"
(ยังมีต่อ)
*****
หมายเหตุ : มีบุรุษคนหนึ่งชื่อ 'อาซัน' ได้อินบ็อกซ์มาขอความเมตตาจากผมให้มอบปัญญาแก่เขาเพิ่มเติม
ผมจึงเขียนข้อเขียนชุดนี้ออกมาเพื่อมอบปัญญาให้แก่อาซัน และผู้แสวงหาท่านอื่นๆ
ด้วยความปรารถนาดี
สุวินัย ภรณวลัย