ความหรูหรา ไทยกินขาด! เปิด 7 ความแตกต่างระหว่าง ไทย vs เวียดนาม ในมุมมองของชาวต่างชาติ
สวัสดีค่ะ ทุกวันนี้ ประเทศไทย และ เวียดนาม คือ 2 จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมักจะเลือกมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนั้น มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สภาพอากาศ อาหารการกิน รวมถึงผู้คนที่คล้ายๆ กัน และค่าใช้จ่ายสำหรับการท่องเที่ยวใน 2 ประเทศนี้ก็ไม่สูงมากนัก แน่นอนว่าทั้งประเทศไทยเองและก็ประเทศเวียดนาม ต่างก็มีจุดดี จุดด้วย ที่แตกต่างกันออกไป แล้วในมุมมองของชาวต่างชาติที่เคยมาเที่ยวทั้ง 2 ประเทศนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็มีชาวต่างชาติคนหนึ่งได้ไปเขียนเอาไว้ในบล็อกส่วนตัวของเขาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง ไทย Vs เวียดนาม เอาไวด้วย ส่วนเขาจะเขียนความคิดเห็นเอาไว้อย่างไรบ้างนั้น ไปรับชมรับฟังกันได้เลยค่ะ
ประเทศเวียดนามและไทยอยู่ใกล้กันมาก พวกเขาพูดภาษาต่างกัน กินอาหารก็ต่างกัน และก็ยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกด้วย หากว่าคุณกำลังพิจารณาที่จะไปพักผ่อนสักที่ใดที่หนึ่งในระหว่าง 2 ประเทศนี้ สิ่งสำคัญก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางคือ คุณจะต้องเข้าใจถึงความแตกต่าง และความคล้ายคลึงกันของทั้ง 2 ประเทศนี้เสียก่อน และต่อไปนี้ก็คือ ความแตกต่าง 7 อย่างระหว่าง "ไทย กับ เวียดนาม" ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
ข้อแรก อาหาร อาหารของทั้งสองประเทศนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็น่าจะมาจากการที่ผู้คนได้อพยพไปตั้งรกรากหรือไปทำมาค้าขายอยู่ตามมุมต่างๆ ทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตามอาหารของพวกเขาก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีสไตล์ และรสชาติ ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ในประเทศไทยการรับประทานอาหารจะอยู่ในรูปแบบและสไตล์ครอบครัวอย่างแท้จริง คุณจะได้กินและพูดคุยกันจนอาหารหมด และคุณก็อิ่ม ซึ่งมันเป็นกิจกรรมทางสังคมที่ยอดเยี่ยมมาก ประเทศไทยอาหารอร่อย และโดยทั่วไปแล้วจะมีราคาที่ถูกด้วย นอกจากนี้กรุงเทพฯ ก็ยังมีสตรีทฟู้ดที่จัดว่าเป็นหนึ่งในที่ที่ดีที่สุดของโลกอยู่ด้วย ซึ่งคุณและเพื่อนๆ ของคุณสามารถลองอาหารที่หลากหลายได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งรวมถึงกลางคืนด้วย การรับประทานอาหารที่แผงขายอาหารเป็นประสบการณ์ที่ดี แต่ในตอนแรกก็อาจจะดูน่าตื่นเต้นอยู่บ้าง ตัดฉากมาที่ร้านอาหารของเวียดนามมันแตกต่างกันเล็กน้อย นักกินจะได้เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกในแบบ DIY มากขึ้น ที่นั่นมักจะแบ่งอาหารมาเป็นส่วนๆ ก๋วยเตี๋ยวจานนี้ ข้าวผัดจานนั้น ผักสดเล็กน้อย และถ้วยซอสต่างหาก ซึ่งมันจะกลายเป็นความรับผิดชอบของคุณเองในทันที ที่จะต้องประกอบอาหารกินเองตามรสนิยมของตัวคุณเอง ที่เวียดนามจะเน้นที่ตัวบุคคลมากกว่า ทั้งในแง่ของส่วนผสมและผู้กิน อย่าลังเลที่จะทดลองจนกว่าคุณจะได้สูตรที่ถูกต้อง นี่อาจเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้กินมังสวิรัติหรือกินเจ และก็ยังดีมากสำหรับผู้ที่ไม่กินเผ็ดอีกด้วย เนื่องจากอาหารไทยนั้นสามารถเผาปากของคุณให้ลุกเป็นไฟได้เลย
ข้อที่ 2 สถานที่ท่องเที่ยว เวียดนามและไทยมีภูมิประเทศที่คล้ายคลึงกัน ทั้งสองประเทศตั้งอยู่ระหว่างภูเขาทางตอนเหนือและชายหาดทางตอนใต้ และต้องถือว่ามันน่าจะเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับคุณที่จะได้เห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายจากการเดินทางเพียงครั้งเดียว ทางตอนใต้คุณจะได้พบกับโขดหินที่งดงามราวกับภาพวาด หาดทรายสีขาวและน้ำทะเลสีฟ้าใสราวกับคริสตัล ชายหาดของประเทศไทยมีชื่อเสียงมาก ในขณะที่เวียดนามก็มีผืนน้ำที่ยอดเยี่ยมด้วยเหมือนกัน ประเทศไทยได้รักษามรดกทางวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของพวกเขาเอาไว้ในรูปแบบของวัดทางพุทธศาสนาที่ได้รับการบำรุงรักษาเอาไว้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ประวัติศาสตร์ของเวียดนามนั้นซับซ้อนมากกว่า ตลอดหลายปีของการล่าอาณานิคม สงคราม และการล้างบาปทางวัฒนธรรม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามหลายแห่งถูกทำลายลงไป สิ่งที่เวียดนามทำได้ดีมากคือพยายามรักษาบาดแผลในอดีตที่ผ่านมา อุโมงค์กู๋จี และพิพิธภัณฑ์ทางสงครามจะทำให้คุณมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับอคติของสงครามเวียดนาม
ข้อที่ 3 การขนส่ง เมื่อพูดถึงเรื่องการขนส่งของประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก กรุงเทพฯ กว้างใหญ่และคับคั่ง การเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ลำบากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณติดอยู่กับแท็กซี่ที่ไร้ยางอาย หรือคนขับรถตุ๊กๆ ที่จะเรียกเก็บเงินค่าโดยสารจากคุณล่วงหน้าเสมอ อย่างไรก็ตาม กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ ซึ่งหมายความว่า คุณจะสามารถเดินทางไปถึงส่วนอื่นๆ ของประเทศได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หรือคุณอาจจะเช่ารถหรือจักรยานแล้วออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆ ด้วยตัวเองก็ได้ แต่ประเทศไทยมีทัวร์อยู่มากมายในทุกจุดหมายปลายทางที่คุณเลือกไป และเมื่อคุณตัดสินใจได้แล้วว่าจะไปที่ไหน การเดินทางด้วยเครื่องบิน รถประจำทาง หรือรถยนต์ก็เป็นเรื่องที่ง่ายมากๆ ส่วนเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนามคือ ฮานอย ในใจกลางเมืองนั้นการจราจรติดขัดมาก แต่คุณก็สามารถที่จะเลือกใช้การเดินแทนได้ แท็กซี่ของที่นั่นมักจะวิ่งโดยใช้มิเตอร์อย่างเป็นธรรม การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ห่างไกลออกไปอาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อยสำหรับคุณ บ่อยครั้งที่คุณต้องพึ่งการขับรถของตัวเองไปตามถนนหนทางที่ยังไม่ดีสักเท่าไหร่นัก หากคุณกำลังมองหาความสะดวกสบายและความหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยว ประเทศไทยกินขาดในเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณไม่รู้จักคำว่าพ่ายแพ้ เวียดนามอาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับคุณ
ข้อที่ 4 ประชากร เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก คุณจะพบกับผู้คนจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากกว่า 50 กลุ่ม รวมถึงชาวจีน กัมพูชา ลาว และ ไทย ในขณะที่ประเทศไทยมีอัตลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองประเทศมีร่วมกันคือ นิสัยที่สุภาพ อ่อนโยน และความเต็มใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนของทั้งสองประเทศนี้คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และพวกเขาก็ต้องการสร้างชื่อเสียงที่มั่นคงในเรื่องของการบริการลูกค้าเหมือนๆ กัน แม้ว่าคนไทยจะมีประสบการณ์ในเรื่องของการต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่าก็ตาม
ข้อที่ 5 ค่าเงิน สกุลเงินท้องถิ่นของไทยคือเงินบาท โดยปัจจุบัน 1 ดอลลาร์สหรัฐตกเป็นเงินไทยประมาณ 33 บาท ซึ่งถือว่ามีราคาที่ไม่แพงมากนักสำหรับนักท่องเที่ยวไล่ตั้งแต่แบ็คแพ็คราคาประหยัดไปจนถึงนักท่องเที่ยวสุดหรู อาหารหลายคอร์สพร้อมกับเครื่องดื่มมักจะมีราคาที่ต่ำกว่า 15 ดอลล่าร์สหรัฐต่อหนึ่งคน งบประมาณรายวันอาจมีตั้งแต่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อวันสำหรับการเข้าพักที่หรูหราสวยงาม ไปจนถึงประมาณ 30 ดอลลาร์ต่อวันรวมกับที่พักที่ดีแล้ว สำหรับสายประหยัดบางคนอาจจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ที่เวียดนามนั้นถูกกว่าที่ไทยอีก ปัจจุบัน 1 ดอลลาร์สหรัฐตกเป็นเงินดองเวียดนามประมาณ 22,000 ดอง แน่นอนว่าที่นั่นคุณจะกลายเป็นเศรษฐีที่อยู่เหนือรายได้ของคุณได้อย่างสบายๆ ค่าอาหารในร้านอาหารที่ดีที่สุดมักจะมีราคาไม่เกิน 20 ดอลลาร์ต่อคน และก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชามก็มีราคาประมาณ 2 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งสำหรับจุดนี้แล้ว ประเทศไทย กับ เวียดนาม ถือว่าเสมอๆ กัน
ข้อที่ 6 ทิวทัศน์ ทั้งสองประเทศมีทัศนียภาพโดยรวมที่น่าตื่นตาตื่นใจ และก็ยังมีชายหาดที่สวยงามอีกด้วย ประเทศไทยขึ้นชื่อในเรื่องของอุทยานธรรมชาติและท้องทะเลที่สวยงาม สถานที่เหล่านี้จะมอบความสวยงามให้คุณในแบบที่คุณจะไม่สามารถสัมผัสได้จากที่อื่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือว่าเป็นสิ่งสำคัญหลักๆ ของที่นี่ ในขณะที่เวียดนามเองก็มีลักษณะที่เหมือนกันกับไทยอยู่หลายประการ ทั้ง ป่าทึบ ภูเขา และชายหาด แต่ที่นั่นคุณจะพบผู้คนได้น้อยลง คุณจะสามารถถ่ายภาพสวยๆ โดยที่ไม่มีนักท่องเที่ยวมารบกวนได้อย่างสบายๆ และในหลายๆ กรณี คุณก็จะรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง แน่นอนสิ่งนี้ก็ต้องมาพร้อมกับข้อเสียด้วย การที่มีนักท่องเที่ยวน้อย ก็อาจจะทำให้คุณได้รับบริการที่มีมาตรฐานต่ำลงตามไปด้วย หากคุณเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจังทุกอย่างต้องมีแบบแผนเป๊ะๆ การขาดโครงสร้างพื้นฐานบางอย่างอาจจะทำให้คุณต้องหงุดหงิดสักเล็กน้อย
และข้อสุดท้าย ข้อที่ 7 ภาษา เห็นได้ชัดว่าคนเวียดนามและคนไทยพูดภาษาที่ต่างกัน ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติแล้ว โทนเสียงเหล่านี้มันดูจะเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขา แต่การเรียนรู้ประโยคง่ายๆ สัก 2-3 ประโยค มันจะสามารถช่วยให้คุณเอาตัวรอดได้ใน 2 ประเทศนี้ โดยทั่วไปแล้วผู้คนในเมืองต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ และฮานอย จะมีความสามารถทางภาษาอังกฤษค่อนข้างสูง ที่กรุงเทพฯ ผู้คนคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วทุกมุมโลกมากกว่า นั่นหมายความว่าภาษาอังกฤษคือภาษาพูดที่ใช้กันแพร่หลายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของที่นั่น ส่วนในฮานอยความสามารถทางภาษาอังกฤษก็มีอยู่มาก ภาษาอังกฤษเริ่มสอนตั้งแต่ในโรงเรียนระดับประถม ดังนั้นคนเวียดนามที่อายุน้อยจะมีความสามารถทางภาษาที่ดีกว่า คนรุ่นเก่าโดยเฉพาะในทางภาคใต้ของประเทศจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีเนื่องจากยังคงหลงเหลืออิทธิพลของอเมริกันอยู่พอสมควร
ที่มา: https://bit.ly/3DhKqHp