เปิดเส้นทางลดโลกร้อน แนวความคิด ป่าชุมชนกับคาร์บอนเครดิต คืออะไร เรามาทำความรู้จักกัน
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าอุณหภูมิโลกกำลังสูงขึ้น เป็นเหตุผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเกิดฝนฟ้าพายุที่ตกจนมากเกินไป น้ำท่วม ดินถล่ม หรือ แม้กระทั้งฝนที่ไม่ตกเลยในบางพื้นที่จนเกิดภัยแห้งแร้ง และตามมาด้วยไฟป่า ที่เผาไหม้ทำลายพื้นที่หลายๆ ข่าวที่เราเห็นทั่วโลก ปัญหาที่กล่าวมาเกิดขึ้นทั่วโลกหลายประเทศ หลาย ทวีบ รวมถึงประเทศไทยที่กำลังเผชิญภัยธรรมชาติทั้ง แห้งแร้งก็มี พายุฝนฟ้าคะนอง น้ำป่า น้ำล้นเขื่อนที่มากเกิดพอดี ส่วนมากผลกระทบจะตกไปทางด้านภาคการเกษตรจนเกิดวิกฤตเป็นวงกว้างเกือบทั่วประเทศ
มีการรายงานว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสทางด้าน (IPCC) ระบุว่าโลกเหลือเวลาอีกเพียง 10 ปีเท่านั้นที่จะควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกินไปกว่านี้ ในภาพใหญ่ของไทยจะมีส่วนแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไรได้บ้าง หลายคนพุ่งประเด็นไปที่ป่าไม้ เพราะถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการป้องกันและแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นหลัก แต่ดูเหมือนการทำลายป่าจะรุดหน้าเร็วกว่าอุณหภูมิที่กำลังสูงขึ้น จากข้อมูลกรมป่าไม้ ระบุว่า ปี 2504 พื้นที่ป่าของไทยมีอยู่ 171.02 ล้านไร่ หรือ 53.33 % ของพื้นที่ทั้งหมด แต่ปี 2557 นั้นเหลือเพียง 102.28 ล้านไร่ หรือ 31.62 % เท่านั้น เมื่อทรัพยากรมีจำกัด คำถามแสนคลาสสิกคือ “คนกับป่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร” เพราะข้อเท็จจริงหนึ่งที่ทราบกันดีคือมีการตั้งรกรากถิ่นฐานและใช้ประโยชน์จากป่าโดยชุมชนท้องถิ่นมายาวนาน แต่ในช่วงเวลาอันสั้นที่ผ่านมา อย่างน้อยก็หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 มีการประกาศใช้นโยบาย กฎหมาย และการบริหารจัดการทัพยากรที่ดิน– ป่าไม้หลายฉบับ ย่อมส่งผลกระทบต่อสิทธิและประโยชน์ของชุมชนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาให้คนอยู่กับป่าได้อย่างสมบรูณ์และถูกต้อง แล้วใช้ป่าให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด ดังนั้นจึงต้องมีข้อกฏหมายบังคับออกมาใช้บ้างเพื่อควบคุมการทำร้ายทำลายธรรมชาติ สำหรับคนที่รุกล่ำพื้นที่ป่ามากเกินไป บางครั้งก็นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่าง “คนกับป่า” จึงทำให้เกิดแนวคิดเรื่อง “ป่าชุมชน” ขึ้น
สำหรับ “ป่าชุมชน” คืออะไร?
ป่าชุมชน หรือ Community Forest หมายถึง การกำหนดกลไกที่สำคัญที่เป็นช่องทางให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ จัดการ ฟื้นฟูให้ป่ามีความสมบูรณ์เพิ่มขึ้น และมีการใช้ทรัพยากรและผลผลิตจากป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อความมั่นคงแห่งชีวิตของคนในชุมชน ภายใต้ข้อเท็จจริงว่าชีวิตของชุมชนนั้นขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของป่า ไม่ว่าจะในเรื่องแหล่งน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ ชุมชนจะรักษาป่า ก็ต่อเมื่อพวกเขาเห็นความสำคัญของป่าที่มีต่อชีวิตของพวกเขา และได้ร่วมกันเป็นเจ้าของป่าในชุมชนของตนเอง
แนวคิดเรื่อง ป่าชุมชน นั้นเกิดขึ้นมากว่า 30 ปีแล้ว โดยเป็นทางเลือกในการจัดการทรัพยากรนิเวศป่าไม้โดยมีชุมชนเป็นฐาน แต่การออกกฎหมายจากภาครัฐมารับรองเรื่อง ป่าชุมชน นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยแนวคิดการออกกฎหมายเกี่ยวกับป่าชุมชน นั้นมีมายาวนานตั้งแต่ช่วงปี 2531 ผ่านการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไปหลายสมัย
อย่างไรก็ตามการออกกฎหมายเรื่องป่าชุมชนก็ใช้เวลายาวนานถึง 28 ปี ในการดำเนินการ กว่าจะออกเป็น พ.ร.บ.ป่าชุมชนปี 2562 ได้ โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีโอกาสเข้ารับหน้าที่สานต่องานเรื่องป่าชุมชนจากได้เร่งรัดให้มีการออกกฎหมาย อนุบัญญัติ จำนวน 32 ฉบับ ปัจจุบันบังคับใช้แล้ว 4 ฉบับ เพื่อส่งเสริมนโยบายป่าชุมชน รวมทั้งสนับสนุนให้ชุมชนเกิดความตื่นรู้ในความสำคัญของป่าไม้ ความสัมพันธ์ที่มีค่าระหว่างชุมชนกับป่าในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจถึงความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้ที่มีต่อชีวิตและชุมชนของพวกเขา
นับตั้งแต่ปี 2543 กรมป่าไม้มีการอนุมัติโครงการป่าชุมชนไปแล้วจำนวน 15,337 แห่ง ในพื้นที่ 17,442 หมู่บ้าน จำนวนพื้นที่มากกว่า 7,634,261 ไร่ และมีป่าชุมชนที่ผ่านการอนุมัติตาม พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ. 2562 แล้วทั้งหมด 11,327 แห่ง ในพื้นที่ 13,028 หมู่บ้าน จำนวนพื้นที่กว่า 6,295,054 ไร่
นอกจาก “ป่า” จะมีความสำคัญต่อระบบนิเวศและความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ยังมีความสำคัญในภาพรวมของการแก้ไขปัญหาสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change) จากความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากกับ “คาร์บอนเครดิต” (Carbon credit) หรือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้จากการดำเนินโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด ที่เรียกว่า CMD (Clean Development Mechanism)
“คาร์บอนเครดิต” (Carbon credit) คือ สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการที่บุคคลหรือองค์กรได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้ สามารถวัดปริมาณและสามารถนำไปซื้อขายในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ สำหรับประเทศไทยมีการจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Public Organization :TGO) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์หลักในการวิเคราะห์ กลั่นกรองและทำความเห็นเกี่ยวกับการให้คำรับรองโครงการที่ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด รวมทั้งติดตามประเมินผลโครงการที่ได้รับคำรับรอง ส่งเสริมการพัฒนาโครงการและการตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต
โดยการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้นั้นถือว่ามีความสำคัญกับกระบวนการเพิ่มปริมาณคาร์บอนเครดิตโดยตรง ตามโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือ T-VER โดย TGO จะเป็นผู้ให้การขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER และรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิต ซึ่งสามารถใช้ซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศพัฒนาแล้วที่มีพันธกรณีต้องลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้พิธีสารเกียวโตกับประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาที่ดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้กลไก CDM และในอนาคตปริมาณคาร์บอนเครดิตจะเป็นสิ่งที่สำคัญในการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากโลกจำเป็นต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อลดวิกฤตอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันมีความสำคัญต่ออนาคตของโลกและมวลมนุษย์
ความสำคัญและความรับผิดชอบเหล่านี้ ถือว่าพวกเราทุกคน มีหน้าที่ที่จะต้องดูแล อนุรักษ์ ส่งต่อพื้นที่ป่าอันอุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ รวมไปถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับลูกหลานต่อไป
(ขอบคุณที่มา https://www.topvarawut.com/)
(ขอบคุณที่มา https://bit.ly/3tfh2gJ)