ทำไมคนรากหญ้า เข้าใจ ระบอบประชาธิไตยมากกว่าคนเรียนสูง?

ทำไมคนรากหญ้า ถึงเข้าใจระบอบประชาธิปไตยมากกว่าคนชั้นกลาง หรือชนชั้นนำในประเทศ และรวมไปถึงเหล่าบรรดาข้าราชการในระบบทั้งหลายด้วย

หลายคนอาจจะเข้าใจไปว่าพวกคนรากหญ้า คนจนๆ มันจะไปรู้อะไรเกี่ยวกับประชาธิปไตยมากกว่าคนในเมือง หรือคนมีการศึกษาสูงๆ เพราะเคยมีเหล่าดารา และนักวิชาการว่าใว้

คนรากหญ้าคนจนๆ ก็คือฐานเสียงส่วนใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง นั่นก็เป็นเพราะเสียงโหวดของเขา ในการใช้สิทธิ์แต่ละครั้งมันได้แสดงพลังออกมาอย่างชัดเจน

ยกตัวอย่างผมเอง เป็นคนชั้นกลางค่อนมาล่างๆ อันนี้นิยามตัวเองนะครับ เป็นคนในเมือง เมื่อไหร่จะเลือกตั้งเขาจะสัญญาอะไรไว้ตอนหาเสียงเราก็ไม่ค่อยจะสนใจมากเท่าไหร่ ด้วยความเป็นอยู่ที่สุขสบายอยู่แล้วในเมือง การต้องดิ้นรนเพื่อชีวิตก็น้อยกว่าเขา มีเพียงจะสรรหาแต่ความเป็นอยู่ที่สงบ เพื่อให้เราทำงานหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ตามปกติเท่านั้น เมื่อครบเทอมที่ต้องเลือกตั้งใหม่ เราก็ไม่เห็นมีอะไรปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ อยากได้แค่ คนที่ซื่อสัตย์ สุจริต และมีคำฝั่งหัวแค่ว่ารักเจ้า โดยไม่คิดถามอะไรต่อ

แต่กับคนรากหญ้าคนชนบทกลุ่มนี้ เมื่อมีพรรคการเมืองเข้ามาหาเสียงว่าจะทำโน่นทำนี่ให้ในชุมชนเขา อาทิเช่นสร้างถนนทำสะพาน นำไฟฟ้า ประปา มีทั้งการให้บริการรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค 1 ตำบล 1 นโยบายเรียนฟรีจนจบมหาวิทยาลัย หรือทุนเรียนต่อเมืองนอก หลายคนเรียกและรู้จักทุนนี้ในชื่อของ "ทุนหวย"

ขยายความทุนหวยสักนิดนะครับ น้องๆ ยุกนี้คงไม่รู้จักกันแล้ว เป็นโครงการที่สร้างโอกาสให้กับเด็กไทยที่เรียนเก่งจากทุกอำเภอทั่วประเทศไทยจะได้เดินทางไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยรัฐบาลออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ทุกบาททุกสตางค์
ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กเรียนดีแต่มีฐานะยากจน และเป็นการลงทุนสร้างอนาคตประเทศผ่านเยาวชนเหล่านี้ เป็นการยื่นโอกาสให้กับเด็กยากจนที่ด้อยโอกาสในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้เท่าเทียมกับเด็กที่มีฐานะดี

ระบบสาธารณสุขสาธารณูปโภค ถนนหนทางเขาจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทันทีทันใด และเมื่อเขาจำได้ว่าใครเคยสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เขา ที่เขาเคยได้รับ เขาก็คิดได้ว่าเสียงที่เขามีมันช่างทรงพลังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเขา กับคนในครอบครัวเขาได้ จะเห็นได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นผลประโยชน์ของคนจนๆ คนรากหญ้าทั้งนั้น ที่ได้มาจากรัฐบาลที่ทำเพื่อพวกเขา นี้เรียกอย่างง่ายๆ รวมๆ ว่ารัฐสวัสดิการ

เสียงของคนรากหญ้าที่มีมากกว่า 90% เพราะฉะนั้นเมื่อคนรากหญ้ามีความสำคัญ เพราะเป็นตัวเปลี่ยนผลการเลือกตั้ง ในลักษณะนี้ จึงทำให้คนรากหญ้า เป็นที่สนใจของฝ่าย ที่มีอำนาจทางการเมือง

ทำให้พรรคการเมืองในเวลาต่อมา หลังจากยุก คุณทักษิณ เวลามาหาเสียง ก็ต้องแข่งกันขายฝัน ออกนโยบายสวัสดิการเพื่อแข่งขัน จะได้หรือไม่ได้ ก็เป็นอีกเรื่องนึง ไม่ว่านโยบายประกันรายได้ หรือจำนำข้าว คนที่ได้ประโยชน์ ก็คือคนรากหญ้า

ลองนึกถึงนักวิชาการท่านหนึ่งที่พูดถึงม็อบชาวบ้าน คนรากหญ้า คนต่างจังหวัด เป็นคนโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเป็นคนไม่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นสิทธิในการเลือกตั้งจึงต้องแตกต่างกันไปด้วย เปรียบเทียบ 3 แสนเสียงในกรุงเทพฯมีค่ามากกว่า 15 ล้านเสียงในต่างจังหวัดนี่เป็นการสะท้อนถึงความไม่เข้าใจของนักวิชาการที่ไม่เข้าใจชาวบ้าน

มองคนต่ำต้อยด้อยค่าอย่างเหยียดหยาม จึงก่อให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า คนทุกคนย่อมมีความไม่เท่าเทียมกันมาตั้งแต่กำเนิด  การศึกษาและสถานะทางสังคมย่อมบ่งบอกถึงระดับชนชั้นวรรณะ รวมถึงกำหนดบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบอีกด้วย

คนที่อยู่บนยอดของพีระมิด อยุ่บนหอคอยงาช้าง ไม่พยายามทำความเข้าใจ คนที่อยู่ที่ฐานพีระมิด  ย่อมมีผลประโยชน์และความต้องการชุดนโยบายที่ต่างกัน จนยากที่จะประสาน เลือกพรรคการเมืองต่างกัน มีผู้นำในอุดมคติคนละแบบ กระทั่งมีความใฝ่ฝันถึง ‘การเมืองที่ดี’ คนละชุด

ในปัจจุบันนี้ ผมคิดว่าคุณทักษิณประสบความสำเร็จประการหนึ่ง คือ สามารถจะเข้าถึงใจคนรากหญ้าได้ดีกว่ารัฐบาลชุดอื่นๆ แล้วสามารถเข้าถึงคนรากหญ้าได้ดีกว่านักวิชาการ

อย่างที่บอกไป รัฐสวัสดิการมุ่งเน้นผลประโยชน์ของคนรากหญ้า คนจนจนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ในส่วนของคนชั้นบน หรือคนชั้นกลางไม่ได้เห็นไม่ค่อยจะได้ใช้ผลประโยชน์ในส่วนนี้ หลายๆคนก็ไม่ค่อยพอใจที่เห็นคนชั้นล่างยกตนขึ้นมาเสมอตนในช่วงนี้ได้  การเข้ามาของรัฐบาลคุณทักษิณ ได้มีการปรับเปลี่ยนความได้เปรียบของคนชั้นกลางให้ลดลงไป เหตุการณ์นั้นมันทำให้คนชั้นกลางรู้สึกว่ากำลังสูญเสียความได้เปรียบ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่องว่างทางรายได้มันแคบลง

แม้แต่ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่ควรจะเข้าใจประชาชนเพราะอยู่ใกล้ชิดประชาชน แต่คนกลุ่มนี้แหละ ตัวเป็นคนตัวตั้งตัวตีในการต่อต้านรัฐบาลประชาธิปไตยเพราะว่าสวัสดิการที่เขาได้รับก็คือรัฐสวัสดิการเต็มรูปแบบอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล เงินบําเหน็จบำนาญในยามเกษียณจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่คนอย่างพวกเขาจะเข้าใจคนจน คนรากหญ้าพี่ต้องหาเช้ากินค่ำวันต่อวัน คุณจะเห็นได้ว่าในช่วงวิกฤตโควิด 19 ในครั้งนี้พวกคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็คือพวกข้าราชการเพราะพวกเขานอกจากจะไม่ต้องไปทำงาน หรือการทำงาน work from home ได้แล้ว พวกเขายังไม่ต้องเสียผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับรายได้เลยไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนก็ยังได้รับเต็มๆ ยังได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนยศตำแหน่งตามวาระปี

ต่างจากพวกพ่อค้าแม่ขาย ร้านค้า ธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงคนชั้นกลางหรือแม้แต่ดารานักร้อง ในช่วงนี้ทุกคนต่างหารายได้จากการล็อกดาวไม่ได้ทำงานทำการ ในตอนนี้เราจะเห็นได้ว่ามันมีผลกระทบทุกหย่อมหญ้า

พวกสลิ่มหลายคนเกิดอาการฉุกคิด  ตื่นรู้ และตาสว่างกลับใจมาก็เยอะ ที่ตื่นรู้ในครั้งนี้เพราะว่าตนเองได้รับผลกระทบ เราจะเห็นได้ว่าการชุมนุมเกิดขึ้นทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะในเมืองหลวง เราจะเห็นได้ว่าการออกมา Call Out ในช่วงนี้จะเริ่มดังมาจากเสียงของดารารวมถึงผู้มีอันจะกินด้านบนแล้ว

ในครั้งนี้ปีนี้ทำให้คนชนชั้นกลางระดับล่าง รวมถึงคนรากหญ้า คนชนบท ให้ความสำคัญกับเสียงของตัวเอง มากกว่าที่เราคิด ยิ่งความเหลื่อมล้ำ มากขึ้นเท่าไหร่ ความฝันก็แยกเป็น 2 ขั้วการเมือง กลายเป็นเรื่องของมิตรและศัตรู ยิ่งการมาของ สว 250 คน ที่มาจากเสียง เพียงเสียงเดียว จากการแต่งตั้งของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา พล.อ.ประยุทธ จึงสามารถคอนโทรเสียงได้ทั้งหมด เพราะ แต่งตั้งขึ้นมาเอง ให้มาสนับสนุนตัวเอง เปรียบดังการผลัดกันเกาหลัง

พวกผู้มีอำนาจ เท่าที่ผมเห็นในตอนนี้ใช่ว่าจะสนใจความเป็นอยู่ แม้ความตาย ของพี่น้องประชาชนสักเท่าไรที่เรามองเห็น เพราะอย่างช่วงโควิดนี้ก็สุดจะชัดเจน ถ้าเขาเห็นหัวเรา เขาคงไม่สั่งให้มีการนำเข้าวัคซีนที่ชักช้าขนาดนี้ และที่สำคัญคงไม่ยึดติดอยู่เพียง 2ยี่ห้อ แล้วปล่อยให้ ประชาชนตายเป็นใบไม้ร่วง ไม่ปล่อยให้หมอ พยาบาลด่านหน้า ต้องเผชิญอันตรายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

วัคซีนที่ดี ไม่ใช่ วัคซีนที่เร็ว วัคซีนที่ดี ก็คือวันซีนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีผลเสียกับร่างกายน้อยที่สุด และเท่าที่เห็นก็ไม่ใช่วัคซีนที่นำมาใช้ส่วนใหญ่ในประเทศไทย

ที่สั่งซื้อแล้ว ซ้ำๆๆๆๆ และถึงแม้ตอนนี้จะมีหมอ พยายบาลบางส่วนก็ได้วัคซีน ไฟเซอร์ มาฉีดบ้างล่ะ แต่ก็ยังไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลที่จะเครมได้อีกอยู่ดี ถ้าหากผมเลือกจะเสียภาษีให้ใครได้เนี้ย บอกเลยตอนนี้อยากเสียภาษีให้ อเมริกา ให้ไบเด้นเสียมากกว่า เข้ามาดูแลชีวิตคนไทย ได้ดีกว่า เร็วกว่า

จากกฎหมายที่เขาออก ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายปิดปากสื่อ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามจะเอาผิดสื่อที่เสนอความจริง แม้ว่าจะเป็นความจริง หรือการตัดสัญญาณอินเน็ต แต่ก็ต้องโดนศาลสั่งเบรกไป

จากการพยายามอยากออก พรก นิรโทษกรรม ยกเว้นความผิด บุคคลได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย ยิ่งโดยเฉพาะข้อ 7

ขนาดบุคลากรด่านหน้า แพทย์หลายๆ คนโพส รวมถึง‘ภาคีพยาบาล’ ค้าน พ.ร.ก.นิรโทษกรรมวัคซีนเหมาเข่ง จี้หยุดอ้างปกป้องคนทำงาน
หยุดอ้างว่านี่คือการปกป้องคนทำงาน หยุดอ้างว่านี่คือการให้กำลังใจบุคลากรด่านหน้า เพราะบุคลากรด่านหน้า และอาสาสมัครต่างๆ ทำงานเต็มที่โดยอยู่บนมาตรฐานวิชาชีพอย่างสูงสุดเท่าที่สถานการณ์จะเอื้อให้ทำได้ หากท่านต้องการให้กำลังใจ จงรีบจัดสรรวัคซีน mRNA ให้พวกเขาทุกคน ไม่ใช่ต้องมากระเบียดกระเสียนเช่นนี้

และพวกท่านทั้งหลายจงหยุดอ้างว่าทั้งหมดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน แต่พวกท่านจงระลึกว่าเพราะการทำงานของพวกท่านนั่นเองที่นำพาประเทศและการสาธารณสุขให้ดิ่งลงเหวมาจนถึงจุดนี้ และพวกท่านนั่นแหละต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง! คือไม่ผิด จะกลัวอะไร จะออกกฎหมายมาเป็นโล่ตัวเองทำไม ถ้ามั่นใจว่าไม่ผิด

กลับมาที่ชาวรากหญ้าต่อ ทั้งนี้ เพราะเรารู้ดีว่า อำนาจครอบงำต่อที่ดินและทรัพยากร เป็นอำนาจที่อยู่ในมือศักดินาและชนชั้นนำ ทางเดียวที่จะสู้ได้ ก็คือการสลายอำนาจของศักดินาและชนชั้นนำ ทำให้ศักดินาและชนชั้นนำลงมาเสมอหน้าเท่าเทียมกับคนจน ซึ่งมีแต่ระบอบประชาธิปไตยที่มีรากฐานของสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอหน้าเท่าเทียมเท่านั้นที่จะทำได้ ดังนั้น เราจึงมีคำขวัญว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน” เปิดทางให้เขาได้เข้าถึงโอกาสและทรัพยากรมากขึ้น เขาเห็นด้วยกับนโยบายประชานิยม เพราะว่าตราบใดที่พี่น้องเขาท้องอิ่มเขาก็ยินดีที่จะเห็นโครงการประชานิยม

เขาจึงโหยหาอดีตที่เคยมีความสุขดังก่อน ที่เคยถูกแย่งชิงไป วิธีนอกระบอบประชาธิปไตย ที่เรียกทหารออกมารัฐประหารต่างหาก ที่เป็นการกระชับอำนาจของศักดินาและชนชั้นนำ ดึงอำนาจออกไปจากมือคนจน ไม่แยแสคนจนในสายตา และยิ่งทำให้คนจนสูญเสียสิทธิ เสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม