ผลวิจัย ไฟเซอร์เข็ม 3 สร้างภูมิต้าน สายพันธ์ เดลต้า+เบต้า ได้5-11 เท่า
เข็ม 3 เด็ด! ไฟเซอร์ยืนยัน เข็ม 3 สร้างภูมิคุ้มกันต้านสายพันธุ์เดลต้า และเบต้า 5-11 เท่า
บริษัท ไฟเซอร์ อินคอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคระบาดโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ ร่วมกับบริษัท ไบออนเทคจากเยอรมนี เปิดเผยว่า ในเดือนกรกฎาคมนี้ ไฟเซอร์-ไบออนเทค ได้เปิดเผยข้อมูลที่มีความคืบหน้าทุกครั้งเกี่ยวกับการทดลองวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 3 ที่มีรหัสพันธุกรรม BNT162b2 ในการทดลองระยะที่ 1 2 และ 3
ในเบื้องต้นเกี่ยวกับข้อมูลด้านความปลอดภัย และความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันจากการศึกษา แสดงให้เห็นว่า การฉีดเข็มบูสเตอร์ หรือเข็มที่ 3 ของไฟเซอร์ อย่างน้อย 6 เดือนให้หลังจากฉีดไฟเซอร์เข็มที่ 2 พบว่ามีความสามารถในการทนทานอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงขึ้นกับสายพันธุ์เบต้า(แอฟริกาใต้) หรือ B.1.351 ซึ่งเพิ่มภูมิคุ้มกันตั้งแต่ 5-10 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 โดส
นอกจากนี้ ข้อมูลใหม่ที่ถูกเปิดเผยแสดงให้เห็นว่า เข็มที่ 3 ของไฟเซอร์กระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงขึ้นกับสายพันธุ์เดลต้า(อินเดีย) หรือ B.1.617.2 ซึ่งเพิ่มภูมิคุ้มกันมากกว่า 5 เท่าในกลุ่มคนวัยหนุ่มสาว และเพิ่มภูมิคุ้มกันมากกว่า 11 เท่าในกลุ่มคนสูงอายุ เมื่อเปรียบเทียบกับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 โดส
บริษัทไฟเซอร์ และบริษัทไบออนเทค คาดว่าจะเปิดเผยข้อมูลที่มีรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับงานวิเคราะห์ และเอกสารทุกอย่างจะถูกนำไปแบ่งปันกับหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (EMA) และหน่วยงานกำกับด้านสาธารณสุขอื่นๆ ในไม่กี่สัปดาห์หน้าที่กำลังจะมาถึงนี้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมหารืออย่างต่อเนื่องกับองค์กรดังกล่าว
ไฟเซอร์เปิดเผยเกี่ยวกับผลประกอบการ พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา สามารถขายวัคซีนไฟเซอร์เป็นมูลค่า 7,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 257,400 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมในไตรมาสที่ 2 แตะ 18,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 626,340 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 18,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 618,420 ล้านบาท
ส่งผลให้ไฟเซอร์ อินคอร์ปอเรชั่น ต้องปรับเป้ายอดขายวัคซีนไฟเซอร์ในปี 2564 จากเดิมที่ 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 858,000 ล้านบาท ขึ้นมาเป็น 33,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.11 ล้านล้านบาท
อ้างอิงจาก: BTimes