[รีวิวหนังเกาหลีขั้นเทพ] The Age of Shadows สุดยอดหนังสายลับขบวนการปลดแอกกู้ชาติล้มเผด็จการ
.
.
.
ฟังรีวิวเต็มๆได้ในคลิป
.
.
.
The Age of Shadows (A+)
.
.
What an EXCELLENT Film!!! This is what I waiting for, Action Thiller, Spy, Mission, Suspense, Political with great production, great cast, and great screenplay. It's hit on me since the first scene till the last with so excited mode in an awesome story!! So recommend!!!!
.
.
ดูจบแล้วแบบว่า
ใครก็ได้ช่วยทำหนังคณะราษฎร์แบบนี้ที คงสนุกมากๆถ้าทำได้ คือเป็นหนังสายลับปลดแอกที่โคตรเหมาะกับพี่ไทยบ้านเราตอนนี้เลย ก่อนดูคือแบบ โนไอเดีย ไม่รู้อะไรมาเลยทั้งนั้นก่อนดู ไม่รู้ด้วยว่าเป็นหนังพีเรียด (ใช่ครับ คนเกาหลีเขาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเต็มใบและได้ก่อนเราไปนานมากๆแล้ว และดูประเทศเขาตอนนี้สิ แต่ช่างเถอะ..คุยเรื่องหนังต่อ เดี๋ยวบ่นยาว)
.
นี่คือหนังของผู้กำกับคิมจีวุนที่ตรงจริตเราที่สุด
ที่อยากให้เป็นที่สุด ทุกอย่างโคตรดี ลงตัว เพอเฟค
ทั้งในแง่โปรดักชั่น บท ฉาก เสื้อผ้าหน้าผม และการแสดง
เป็นหนังที่น่าทึ่งและสนุกแบบ โคตรสนุก+ลุ้นชิบหาย
.
หนังว่าด้วยเรื่องขบวนการปลดแอกเพื่อความเป็นอิสรภาพเต็มใบของเกาหลี ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องยอมเสี่ยงคุก เสี่ยงตาราง เอาตัวเข้าแลกด้วยชีวิต ประชุมกันอย่างลับๆเพื่อก่อปฏิบัติการล้มล้างระบอบเผด็จการอำนาจนิยมจากญี่ปุ่น ที่เข้ามายึดอำนาจปกครองเกาหลีในสมัยนั้น
.
.
.
.
ตัวเอก นำแสดงโดยซองคังโฮ (พ่อบ้านคนจนในParasite) เป็นสารวัตรตำรวจหนุ่ม ที่ต้องโคจรมาเจอกับหนึ่งในแกนนำสำคัญของกลุ่มต่อต้านเผด็จการอย่าง คิมวูจิน ที่รับบทโดยกงยู (Train to Busan) แถมยังมีนักแสดงหน้าเก่าเจ้าประจำที่มารับบทนำขาประจำผกก.คนนี้อย่าง อีบยองฮอน ที่เราอาจคุ้นหน้าคุ้นตาบทแมสๆอย่าง สเนคอาย ใน จีไอโจ มารับบทเป็น ซีซาน หัวหน้ากลุ่มปลดแอก ขบวนการใต้ดินสุดลึกลับ
.
ภารกิจในเรื่องคือการที่กลุ่มปลดแอกต้องพากันไปซ่องสุมกำลังที่เซี่ยงไฮ้เพื่อระดมอาวุธระเบิดขึ้นรถไฟกลับไปยังโซล เพื่อถล่มฝ่ายเผด็จการ นายตำรวจตัวเอกถูกทางการญี่ปุ่นสั่งให้มาจัดการปฏิบัติการนี้ และด้วยความที่ครั้งหนึ่ง สารวัตรก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มปลดแอก ก่อนเข้าสวามิภักดิ์ต่อทางการตำรวจญี่ปุ่น จึงได้รับความไว้ใจให้มาดูแลปฏิบัติการที่น่าจะสาวไส้ไปถึงวงในระดับบิ๊กได้ โดยทางการส่งตำรวจสุดเหี้ยมอีกคนมาประกบสารวัตรตัวเอกในภารกิจนี้ด้วย
.
.
หนังเรื่องนี้แค่เปิดฉาก เรายังไม่ทันรู้อะไร
ก็มีการวิ่งไล่ล่ากันบนหลังคาบ้านทรงโบราณเกาหลีกันอย่างน่าตื่นเต้น คิดดูฝ่ายที่ถูกล่า วิ่งหนีเหล่าตำรวจหลายสิบนายที่วิ่งไล่จากหลังคานึง ไปอีกหลังคา คือดีไซน์ฉากแบบ เออว่ะ กูต้องดูมึงต่อเลย มึงได้รับความสนใจแล้ว ณ บัด Now พูดง่ายๆคือ "ซื้อ"
.
และตั้งแต่ต้นยันท้ายเรื่อง ไม่เจออะไรที่รู้สึกว่าน่าผิดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว ผู้กำกับคิมจีวุนยังกำกับฉากแอ๊คชั่น ฮาร์ดคอได้โคตรดี หนักแน่น ทรงพลังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือบทที่ชาญฉลาด เฉือนคม ชิงไหวชิงพริบ จนแทบแยกไม่ออกว่าใครดีใครร้าย หรือการหาตัวร้ายที่เป็นหนอนบ่อนไส้กันเอง ทำให้ทั้งเรื่อง ดูมีความระแวงเต็มไปหมด แต่ภารกิจกู้ชาติของฝั่งปลดแอก กลับต้องใช้ความเชื่อใจ ใจแลกใจ และสปิริตที่สูงส่งมาก ถึงจะสามารถทำสำเร็จได้
.
.
.
.
เราไม่บอกละกันว่ามันจะเป็นไง แต่คือรู้สึกลุ้นตลอด
มีกลิ่นทั้งความเป็นแก๊งสเตอร์แบบ เดอะ ก๊อดฟาเธอร์
มีกลิ่นสืบสวนสอบสวนเข้มๆ แบบ Memories of Murderer
มีความเป็นหนังสายลับแบบเจมส์ บอนด์
มีความดุดัน ไม่ปราณีประนอมแบบ I saw the devil
และมีฉากบู๊เดือดๆแบบ a bitter sweet life
.
นี่คือยอดหนังทริลเลอร์แห่งยุคที่เราต้องยก A+ ให้
เพราะทั้งบริบทของตัวหนัง การที่มีประเด็นบางส่วนที่มาจากทั้งเรื่องจริงผสมผสานกับนวนิยายที่มีเนื้อหาเชิงการเมืองประวัติศาสตร์ทำให้เรื่องนี้เป็นดังมาสเตอร์พีซอีกชิ้น ที่แม้ไม่ดิบห่ามขนาดงานก่อนๆของผู้กำกับ แต่จังหวะการกำกับของแกคือ เฉียบคมมากๆ ยิ่งในซีนบนรถไฟคือลุ้นแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้ คือโคตรอยากทำหนังให้ได้แบบนี้
.
.
.
.
เข้าใจแล้วว่าทำไม แม้ The Wailing หรือ The Handmaiden ที่ฉายในปีเดียวกัน (คือปีเดียวฉายหนังสามเทพ สามผู้กำกับอ่ะ) เขาถึงเลือกเรื่องนี้เป็นตัวแทนหนังเกาหลีเข้าชิงออสการ์ แม้ว่าอีกราวๆสี่ปีต่อมา Parasite ของบองจุนโฮ จะไปคว้ารางวัลนี้ได้สำเร็จ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในวงการหนังเกาหลี ยอดฝีมือของการทำหนังไม่ได้มีแต่คนเดียวจริงๆ และแต่ละเรื่องล้วนมีจุดเด่นที่ต่างกัน ไม่ซ้ำทางกัน แถมมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเองที่โคตรน่าคารวะ เมื่อดูหนังจบ
.
.
โคตรดีใจที่คืนนี้ได้ปลุกไฟในตัวว่า ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ต่อให้เขาจะกำจัดคนเห็นต่างมากเท่าไหน ก็จะยิ่งเหมือนไฟที่โหมกระพือให้คนตาสว่างกับสิ่งที่รัฐเป็นมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อความหวังถูกส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ไฟที่ลุกโชน จะไม่มีใครสามารถดับได้อีกต่อไป
.
.
.
ทิ้งท้ายไว้คลิปครบรอบ1ปีอำลาโรงหนังสกาลา ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆเมื่อวันที่5 กค. ที่ผ่านมา
ใครคิดถึงโรงหนังยุคคลาสลิค มาชมบรรยากาศวันสุดท้ายของโรงหนังในคลิปได้นะฮะ