สังคมดัดจริต..หรือเราแค่คิดไปเอง
บาป บุญ คุณ โทษ ทุกศาสนามีสอนหมด...
ศาสนาพุทธของเรา ถ้าจะเข้าถึงศาสนาต้องเข้าวัด...ฟังเทศน์ฟังธรรม....
ปัจจุบันผมได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกัน...
วัดวาเปลี่ยนไปมา..เมื่อก่อนคนเข้าทำบุญเพื่อสงบจิตสงบใจ แต่ทุกวันนี้แฝงธุรกิจไปละ ไปฟังธรรมหรือทำสังฆทาน มีละร่วมทำบุญสร้างโน้นนี้ มีซอง
หรือของรับบริจาคสร้างโน้นนี้..มีคนบอกถ้าจะบวชวัดนี้ต้องมีตังจ่ายเท่านี้เท่านั้นนะ..
ผมไม่ได้หมายรวมทุกวัดนะบางวัดเท่านั้นที่คนหลั่งใหลทำบุญจนเป็นธุรกิจภายในสงฆ์
จนเมื่อไม่นานมานี้ผมอ่านข้อความหนึ่งเขาว่า
"ยามป่วยไข้ เข้าวัดบนบาน แล้วไปรักษา รพ.
พอหาย กลับไปแก้บน หรือสร้างโบสวิหาร
แต่พอรักษาไม่หาย (ขาดเครื่องมือแพทย์) ด่าหมอพยาบาล "
การบริจาคเครื่องมือแพทย์ ที่ทันสมัย มีมาเรื่อยๆแต่คนไม่สนใจ นอกจากข่าววัดใหนดังมีของดีคนศรัทธา
แต่มาบูมให้คนตระหนักครั้งสำคัญตอนพี่ตูนวิ่ง จากใต้สุด ไปเหนือสุด
และตอนนี้ช่วงการแพร่ระบาดของโคฯจึงทำให้เรารู้ซึ้ง ถึงความสำคัญของสถานพยาบาลที่ดีทันสมัย...หมอยังรับคนไข้ แต่บางวัดงดสวดเผา
ขอหยิบยก...บทความนี้มาครับ
สร้างวัด “แค่พระพออยู่”
แล้วหันมาสร้างโรงพยาบาลไม่ดีกว่าหรือ?
#ท่านเคยคิดหรือมองมุมมุมนี้ไหมครับ
# วัดมีเงินเหลือร้อยล้านพันล้าน
แต่โรงพยาบาลมี”หนี้ร้อยล้าน”
เข้าโรงพยาบาลขอรับบริการฟรีๆดีๆ
เข้าวัด พระตีกระบาลแทบแตก บอกชอบ ต้องบริจาคเงิน”ให้เยอะๆ”
หมอรักษาจนหาย “ดีใจรอดตาย”
รีบกลับไปแก้บน สร้างวัด,สร้างวิหาร,ไหว้พระขอบคุณพระ
หมอรักษาไม่ไหว ไปไม่รอดตามวัฎสงสาร
กลับด่าหมอ ด่าพยาบาล
ไม่ไปด่าเทวดาที่บนไว้
#มาคิดใหม่ ทำใหม่
# สร้างวัด สร้างวิหารแค่พระพออยู่
แล้วมาสร้างโรงพยาบาลที่ดี
มีเครื่องมือแพทย์ทันสมัย รักษาคนป่วยให้หายไวๆ
🥰#ดีกว่าไหมครับ#🥰
ทั้งนี้เรามาสรุปปัญหาที่เกิดขึ้น ระหว่างการสร้างวัด สร้างโรงบาล
ปัญหาเรื่องที่ว่า
การทำบุญให้โรงพยาบาล กับการทำบุญให้กับวัด อะไรดีกว่ากัน ?
เรามาถึงยุคที่คนไทยไม่เข้าใจกันเสียแล้ว ว่าการทำบุญบริจาคให้กับวัด ทำเพื่อประโยชน์อะไร ?
ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะมีวัดหลายแห่งนำศรัทธามาขาย แต่ไม่ผูกโยงไว้ด้วยปัญญา
เช่น สอนกันว่าเงินซื้อนิพพานได้
หรือไม่ก็เน้นกันที่เครื่องรางของขลัง พิธีกรรม สิ่งศักสิทธิ์ มีศรัทธาเป็นเหยื่อ แต่ไม่ใช้ปัญญา
🏖🏘🗽ทำให้คนไทยเริ่มห่างวัดมากขึ้น
จนท้ายที่สุด คนไทยหลายคนอาจกลายเป็น
“คนเกลียดวัด” ไปโดยปริยาย
ผนวกกับแนวคิดแบบสุดโต่งทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่า
โรงพยาบาลเป็นสถานที่อันประเสริฐในการช่วยรักษามนุษย์ให้หายขาดจากความ “เจ็บป่วย” จึงให้คุณค่าของโรงพยาบาลดูสูงส่งมากกว่าวัด
ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันว่า
ทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวัด กับทำบุญสร้างโรงพยาบาล อะไรดีกว่ากัน ?
ง่ายนิดเดียวสำหรับคำถามนี้
เราแค่ต้องขบคิดให้แตกฉานเสียก่อนว่า โรงพยาบาลมีความสามารถอะไรที่วัดไม่สามารถกระทำได้ และ วัดมีความสามารถอะไรที่โรงพยาบาลไม่สามารถกระทำได้บ้าง ?
โรงพยาบาล อาจรักษาคนที่ป่วยไข้ทางกายได้
แต่โรงพยาบาลไม่สามารถสมานแผลทางจิตใจได้
โรงพยาบาลไม่ได้ช่วยให้มนุษย์รู้จักละความโลภ โกรธ หลง
เช่นเดียวกับที่วัดไม่สามารถรักษาโรคทางกาย
ในเชิงวิทยาศาสตร์แบบที่โรงพยาบาลสามารถทำได้ โรงพยาบาลอาจยื้อชีวิตมนุษย์ให้ยืดยาวออกไป
แต่โรงพยาบาลก็ไม่ได้บอกความจริงกับมนุษย์ว่า ร่างกายนี้เป็นของชั่วคราว
ถ้าเราไปยึดมันมาเป็นของเราอย่างถาวร เราจะเป็นทุกข์…
โรงพยาบาลไม่ได้บอกเราแบบนี้หน้าที่ของโรงพยาบาล คือ ทำยังไงให้ร่างกายนี้ยังคงทำงานต่อไปให้ได้นานและมีประสิทธิภาพที่สุด
วัด รักษา “โรค” ทางกายแบบโรงพยาบาลไม่ได้ แต่วัดช่วยเยียวยา “ความทุกข์” ในใจคนได้
ซึ่งวัด (ที่ดี) จะสอนให้คนไม่ยึดเอาอดีตที่เจ็บปวด มาเป็นธนูดอกที่สอง ซึ่งคอยทิ่มแทงเราก่อนนอนทุกคืน
วัดไม่สามารถช่วยให้เราปราศจาก “โรค” แบบโรงพยาบาลได้
แต่วัดช่วยให้เราหมด “ภัย” ด้วยการรู้จักให้ “อภัย” ได้
ซึ่งแตกต่างจากโรงพยาบาลที่ช่วยให้เราหมด “โรค” แต่อาจไม่หมด “ภัย” อีกทั้งวัดยังช่วยให้เราเบิกบานจากการมีสติ ไม่เอาเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตมาเป็นบ่วงรัดคอตน
ทีนี้ ทำบุญบริจาคกับวัด หรือ ทำบุญบริจาคกับโรงพยาบาล ควรเลือกอย่างไหน ?
ตอบ :
ควรเลือกทั้ง 2 อย่าง ถ้าเราลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็จะพบว่า สังคมเราต้องการทั้ง
โรงพยาบาล
และวัด
เราต้องการทั้งสถานที่ ๆ เยียวยาทั้ง
“ร่างกายและจิตใจ”
พุทธองค์แสดงให้เราเห็นเป็นตัวอย่างโดยการถนอมร่างกายเอาไว้เพื่อทำคุณประโยชน์แก่โลก (พุทธเจ้าจึงไม่ดื่มเหล้า เสพของเมา และละทิ้งการทรมานตน)
เราก็ควรจะเอาเยี่ยงอย่าง หากเราเจ็บป่วยก็เข้าโรงพยาบาล มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย
เราก็รักษาร่างกายไปเพื่อหวังว่า จะมีพรุ่งนี้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ต่อโลก ต่อผู้อื่น ได้ทำหน้าที่ ที่ยังค้างคาอยู่ ทั้งหน้าที่ของพ่อ แม่ สามี ภรรยา หน้าที่ของลูก และหน้าที่การงาน
โดยไม่ต้องหวังที่จะหอบสังขารหนีจากความตาย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ในส่วนของ จิตใจ ที่พึ่งพิงอาศัยอยู่ในกาย ทั้งยังมีอำนาจอยู่เหนือกายด้วย
“จิต/ใจ เป็นนาย กายเป็นบ่าว”
ถ้ามนุษย์ไม่พึงพัฒนาให้มี จิต/ใจ ที่ดีงาม ปราณีต ชีวิตก็จะมีแต่กายที่เที่ยวทำตามแต่ตัณหา
อันมีกิเลสเป็นเหยื่อล่อ โลกก็จะลุกเป็นไฟจากการเบียดเบียนกัน
โดยหวังเพียงเพื่อแสวงหาความสุขนอกกายเป็นสำคัญ ทีนี้บางคนอาจเถียงว่า
“ชีวิตฉันไม่ต้องมีวัด จิตใจฉันก็ประเสริฐอยู่แล้ว”
ก็ต้องบอกว่า ขออนุโมทนากับท่านที่เกิดพุทธิปัญญาแบบนี้ได้โดยไม่ต้องเข้าวัดหรือไม่ต้องศึกษาพระธรรม แต่อยากจะร้องขอให้ท่านมีความเมตตาต่อสัตว์โลก ที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามความทุกข์ไปสู่ทางพ้นทุกข์ได้
แต่ละคนมีสติและปัญญาไม่เท่ากัน ได้โปรดเห็นใจและช่วยเหลือสัตว์โลกที่มีปัญญาไม่เท่าพวกท่านด้วย
“ท่านอาจไม่ต้องการวัด แต่คนอื่น ๆ อาจต้องการวัด”
ท้ายที่สุดคงต้องมองดูการบริจาคด้วย ‘สติ’ และ ‘ปัญญา’
โดยคำว่า “บริจาค” มาจากคำว่า ‘ปริจจาคะ’ หมายถึงการเสียสละ
แต่ถ้าจะพูดให้แลดูไม่ถูกเอาเปรียบนัก
อาจต้องใช้คำว่า “เผื่อแผ่” และก็คงจะดีไม่น้อย
ถ้าเราจะเผื่อแผ่อะไรบางอย่างในชีวิตของเรา เพื่อต่ออายุทางกายให้กับผู้อื่น และช่วยเยียวยาความทุกข์ในใจของผู้อื่นได้ด้วย ….คุณว่าจริงไหม ?
ขอขอบคุณ คุณนาคินทร์ แซ่เฮ้ง