2 นาที พาหมามาขี้หน้าบ้านคนอื่นยามวิกาล/// เรื่องจริงภาพจริงไม่มีตัวแสดงแทน
เป็นเรื่องราวในสังคมเมือง ที่สวนใหญ่พัฒนาเป็นหมู่บ้านจัดสรร...
ซึ่งคนที่มาอาศัยในหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งจะสามารถแบ่งระดับเกรดได้ตามราคาหมู่บ้าน เขาว่ากันอย่างนี้นะในหมู่คนมีตัง...
ในหมู่บ้านก็จะมีนิติฯ ที่จะจัดการเรื่องความเรียบร้อยในหมู่บ้าน การทำความสะอาด ตัดแต่งสวนส่วนกลาง และจัดการเคลียปัญหาให้ลูกบ้าน
เรื่องราวนี้เกิดที่ใหนอย่าใส่ใจเพราะเขาคงจัดการกันไปแล้ว
แต่ที่จะนำเสนอคือ...นิสัยคน ที่ควรจะมีมารยาทในการอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ
คุณจะเลี้ยงหมา นิติไม่ได้ห้าม เพียงแต่กรุณารักหมาเหมือนลูก ให้ขี้ในที่ส่วนที่เป็นของคุณ คือบริเวณบ้านคุณ....คุณจะเก็บขี้หรือดองไว้ก็ตามใจ แต่ถ้ากลิ่นรบกวน เพื่อนร้องเรียน นิติต้องลงสนาม
**ถ้าจำเป็นขี้ที่ส่วนกลางกรุณาเก็บด้วย
(บางหมู่บ้านนิติก็เคลียไม่ได้ เพราะลูกบ้านด่าเสียหมา แกมันลูกจ้าง..ฉันมีตังซื้อบ้าน ฉันเสียค่าส่วนกลางคือเงืนเดือนแก..บลาๆ)
แต่เรื่องจริงคือ ตรงนี้
เจ้าของบ้านเจอขี้หมาเกือบทุกวันหน้าบ้านจึงติดกล้องวงจรปิดเข้ามา ย้อนกลับไปดู
เจอลูกบ้านที่อาการหนักมากๆ
ผู้ชายแต่งตัวดี เหมือนหนุ่มทำงาน ดึกๆไม่นอน น่าจะเพิ่งเลิกงาน พาหมา มาขี้หน้าประตูรั่วเพื่อนบ้าน แบบนิสัยไม่มีบรรยาย
ขี้เสร็จไม่เก็บทำความสะอาดอุ้มหมากลับบ้าน
ไม่เกิน 2 นาที ยังทำความระยำตำบ่อนขนาดนี้ นี่แหละชีวิตจริง
ดังนั้นที่ว่าระดับราคาหมู่บ้านแบ่งเกรดคน น่าจะได้แค่เงิน แต่ระดับนิสัยแบ่งไม่ได้จริงๆ
มารยาทในสังคมคงไม่ได้เรียน เพราะโดดเรียนบ่อยมั้งครับ
ขอบคุณภาพ
เพื่อนว่าควรจัดการอย่างไร?
สำหรับผมโชคดีไม่เคยเจอเหตุการเช่นนี้ เพราะผมอยู่บ้านนอก คนอื่นบ้านห่างจากบ้านผมเกือบอย่าง 500 เมตร หมดปัญหาหมามาขี้ เพราะถ้ามา หมาที่บ้านก็เก่งในบ้านตัว ไล่หมด ...มีแต่ปัญหาวัวกินยอดยางพารา นี้บ่อย ...
ทุกที่มีคนแบบนี้หมด เห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบต่อเพื่อนบ้านใส่สิ่งที่ตนก่อความเดือดร้อน...
การมี หิริโอตัปปะ ติดตัวไว้น่าจะดีต่อตนเองและผู้อื่น
หิริโอตัปปะ นั้น เรียกรวมกันว่า ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป ถือว่าเป็นธรรมะสำคัญ ต่อการใช้ชีวิต อยู่ร่วมกันของคนในสังคมนี้มาก เพราะบุคคลที่ไม่ละอายแก่ใจต่อการกระทำผิด ไม่เกรงกลัวต่อผล ของการกระผิดแล้วนั้น บุคคลนั้น สามารถทำสิ่งเลวร้ายได้ทุกชนิด สามารถสร้างความเดือดร้อน ความเสียหายให้แก่ตนเอง และผู้คนในสังคมได้ไม่หยุดหย่อน เพราะเหตุนี้ โลกนี้ สังคมนี้ ต้องการธรรมะสองข้อนี้ปกป้องคุ้มครอง เรียกได้ว่า เป็นธรรมโลกบาล หรือ ธรรมะที่คุ้มครองโลก เลยทีเดียว
1.หิริ หรือความละอายแก่ใจในการทำบาป หากหิริเกิดขึ้น สามารถหยุดตัวเองไม่ให้ความชั่วชนะใจ เพราะมีความละอายที่จะคิด จะพูด หรือจะกระทำ ความชั่วเหล่านั้น หิริเกิดขึ้นได้จากการอบรมเลี้ยงดู ฝึกฝนตนเอง การคำนึงถึงชาติ วงศ์ตระกูล คนในสมัยโบราณอบรมเลี้ยงดูลูกหลานให้เกรงกลัวต่อบาป ด้วยการเล่าถึงนรก ยมบาล และการลงฑัณฑ์ในอเวจีขุมต่างๆ ทำให้คนเกรงกลัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย หรืองมงาย หากเรื่องเล่าเหล่านี้ สามารถคุ้มครองสังคม ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้ ผิดกับสังคมอุดมปัญญา ที่หาความละอายใจแก่บาปของคนในสังคมไม่ได้
ส่วนผู้ที่ขาดหิริ หมายถึงผู้ที่ไม่มีความละอายใจต่อบาป คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่นก็ตาม ไม่เคยคำนึงถึงความทุกข์กาย ทุกข์ใจที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น บางคนต่อหน้าผู้อื่น ไม่กล้าทำความชั่ว เพราะอายและกลัวคนจะตำหนิว่าเป็นคนชั่ว แต่พอลับหลังผู้อื่น ก็สามารถทำชั่วได้ทุกอย่าง เพราะขาดคุณธรรมประจำใจ คือขาดหิริ ไม่มีความละอายใจต่อบาป จึงมีแต่ความทุกข์กาย ทุกข์ใจตลอดเวลา
2.โอตัปปะ หรือ ความเกรงกลัวต่อบาป หากคนกลัวแต่กฎหมาย ไม่กลัวกฏแห่งกรรม สังคมนี้จะมีแต่คนหากินกับ การหาช่องโหว่ทของกฏหมาย โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เหมาะสม สังคมควรมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ คือคนในสังคมควรยกย่องผู้กระทำดี มีศีลธรรม และตำหนิผู้ประพฤติชั่ว ไม่ใช่ยกย่องผู้มีเงิน มีอำนาจ โดยไม่สนใจที่มาของเงิน และอำนาจเหล่านั้น ซึ่งหากสังคมให้ยอมรับผู้มีศีลธรรม เป็นสำคัญ สังคมนั้นก็จะสงบร่มเย็น