คนธรรมดากับผู้แสวงหาความสำเร็จ
คนธรรมดากับผู้แสวงหาความสำเร็จ
เป็นเรื่องที่รู้จักกันดีว่า
คนธรรมดานั้นมักจะพอใจกลับ
สิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ แต่สำหรับ
ผู้แสวงหาความสำเร็จนั้น มัก
จะทุ่มเทเวลาในการทำสิ่งใด
สิ่งหนึ่ง ที่ตัวเองต้องการให้
สำเร็จและมีความสุขมากขึ้น
อีกอย่างหนึ่งผู้แสวงหา
ความสำเร็จงั้นพระจะมุ่งเน้นในสิ่งที่มีคุณภาพไม่ใช่ปริมาณเหมือนคนธรรมดา
ผู้ที่แสวงหาความสำเร็จจะแสวงหาคุณค่าที่แท้จริงในขณะที่คนธรรมดาจะเป็นที่นาเพียงคำว่า ราคาเท่าไหร่ ปริมาณเท่าเดิมหรือไม่ นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างบุคคลธรรมดากับผู้แสวงหาความสำเร็จ แล้วคุณรักเป็นคนประเภทไหน คนธรรมดาหรือผู้แสวงหาความสำเร็จ
อยากมั่งคั่งร่ำรวย
มีคำถามพื้นฐาน 2 ข้อที่ต้องตอบไม่ถูก
1.คุณสามารถจะเพิ่มพูนรายได้หรือรายรับของคุณได้อย่างไรบ้าง
2.คุณสามารถลดค่าใช้จ่ายหรือตัดรายจ่ายของคุณทิ้งไปได้อย่างไรบ้าง
การตัดสินใจด้านการเงินในแง่ของธุรกิจหรือส่วนบุคคลล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการตอบคำถาม 2 ข้อนี้ทั้งนั้น
เมื่อต้องพยายามทำให้รายจ่ายสอดคล้องกับรายได้ผู้บริหารหลายคนอาจใช้วิธีการตัดค่าใช้จ่ายหรือทำให้ใครจ่ายสอดคล้องกับรายได้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหมือนกันหมดคือในไม่ช้าจุดใหญ่ของการสนทนามักจะย้อนกลับมายังรายจ่ายที่ไม่สำคัญเช่นค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์สำนักงานต่างๆความจริงแล้วการพยายามที่จะตัดรายจ่ายยังมีวิธีที่ดีกว่านั้นเช่นการยกเลิกผลิตภัณฑ์ที่ขายออกไปทำการเลือกแผนกการใช้คอมพิวเตอร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดหรือการเลือกผู้จัดจำหน่ายรายใหม่
เมื่อคิดใหญ่ต้องหลีกเลี่ยงการโต้เถียง
คนส่วนใหญ่ถ้าไม่เถียงกันในเรื่องที่มีความเห็นไม่ลงรอยกันแล้วก็อาจจะเถียงกันเรื่องอื่นอีกมากมายทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กและสุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นผู้ชนะหรือการโต้เถียงกับคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าในอนาคตเพื่อเปรียบเทียบความสามารถระหว่างผลิตภัณฑ์ของคุณกับคู่แข่งจะทำให้แผล
ต่อไปนี้คือข้อควรจะยิ่งการโต้เถียงดำเนินไปยาวนานและลึกลงมากขึ้นเท่าไหร่ผู้โต้เถียงแต่ละฝ่ายก็ยิ่งจะถูกชักจูงโดยเหตุผลของตนว่าตนเป็นฝ่ายถูกมากเท่านั้นศิลปะของการโต้เถียงทำให้แต่ละฝ่ายเข้าสู่ภาวะของการตั้งรับและป้องกันมุมมองของทางความคิดของตน เขาก็จะยิ่งขุดค้นหา พยานหลักฐาน ขึ้นมาให้มากที่สุดเพื่อจะพิสูจน์ว่าเหตุใดเขาจึงเป็นฝ่ายถูก