ตำนาน สาครบุรี คลองมหาชัย โควิดรอบใหม่ คนไทย-คนพม่า
ทองบอส : ตำนาน I สาครบุรี คลองมหาชัย โควิดรอบใหม่ คนไทย-คนพม่า
เมืองสาครบุรี หรือ ในตอนหลังได้พระราชทานนามใหม่จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า สมุทรสาครนั้น เดิมทีเป็นพื้นที่ทะเลตามข้อมูลที่ระบุว่า พื้นที่บริเวณชายหาดเดิมอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศในแถบจังหวัด ลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ จากข้อมูลการศึกษาของนักวิชาการด้านธรณีวิทยาทำให้เราทราบว่า พื้นที่จังหวัดสมุทรสาครพึ่งกลายเป็นแผ่นดินในช่วง ๑๐,๐๐๐ ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
ในอดีตสมุทรสาครเป็นเมืองสำคัญด้วยอยู่ติดกับทางเข้าออกทางทะเล ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำท่าจีนไหลลงอ่าวไทย ทำให้เป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลและจัดเป็นเมืองท่าซึ่งมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าตลอดจนมีชาวจีนซึ่งเดินทางมาทางทะเลตั้งถิ่นฐานรกรากอยู่เป็นชุมชนขนาดใหญ่จนผู้คนเรียก “บ้านท่าจีน” ซึ่งปรากฏหลักฐานในแผ่นดินของอยุธยาในรัชสมัยของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ซึ่งได้ยกฐานะบ้านท่าจีน ขึ้นเป็นเมืองสาครบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่ใช้ป้องกันข้อศึกที่จะมาโจมตีทางทะเลซึ่งต้องเดินทางเข้ามาทางปากแม่น้ำท่าจีน
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานนามเมืองให้ใหม่เป็น เมืองสมุทรสาคร คือ เป็นเมืองแห่งทะเลและแม่น้ำ และเป็นเมืองที่มีความสำคัญเนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีแนวคิดในการปฏิรูปการปกครองคือ มีการจัดระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาค โดยแบ่งพื้นที่การปกครองในหัวเมืองต่างๆเป็น มณฑลเทศาภิบาล และได้มีพระบรมราชโองการให้ยกฐานะ ตำบลท่าฉลอม เป็น สุขาภิบาลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทยและในปี พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้ทางราชการ เปลี่ยนคำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" ทั่วทุกแห่ง เมืองสมุทรสาครจึงได้เปลี่ยนเป็น "จังหวัดสมุทรสาคร" มาจนทุกวันนี้
เมืองสาครบุรีหรือสมุทรสาคร ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อหรือตำนานที่สำคัญคือ เรื่อง พันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่ง ของสมเด็จพระศรีสรรเพชญที่ ๘ หรือสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือแห่งกรุศรีอยุธยา ซึ่งในตำนานได้ กล่าวว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือทรงมีพระประสงค์จะเสด็จ ทรงเบ็ดหรือตกปลาที่ปากน้ำสาคร จึงโดยเสด็จทางเรือ ทรงเรือพระที่นั่งเอกไชย เลาะเลี้ยวไปตามคลอง จนถึงตำบลโคกขาม กระแสน้ำไหลเชี่ยวทำให้โขนเรือหรือหัวเรือพระที่นั่งชนกับต้นไม้ทำให้หักลงน้ำ ซึ่งในบางตำราได้บอกว่าพันท้ายนรสิงห์ได้ล่วงรู้ว่าจะมีคนคิดจะจะลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเสือ ในระหว่างเส้นทางเสด็จพันท้ายนรสิงห์จึงบังคับเรือให้ชนต้นไม้เพื่อเป็นการหยุดขบวนเสด็จดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเนื้อเรื่องก็จบที่ สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือทรงดำริที่จะพระราชทานอภัยโทษ แต่นายพันท้ายนรสิงห์ยืนยันหนักแน่นที่จะคงไว้ซึ่ง กฎหมายจึงถูกประหารโดยการถูกตัดหัว ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือทรงยกย่อง พันท้ายนรสิงห์ว่าเป็นผู้ที่มีใจสัตย์ซื่อรักษากฎหมายและพระบรมเดชานุภาพยิ่งชีพ จึงทรงดำริให้ตั้งศาลบูชา ซึ่งเป็นสถานที่เก็บศรีษะของท่านพันท้ายฯและตั้งโขนเรือพระที่นั่งเอกชัยไว้ ณ ที่นั่น
ซึ่งในปัจจุบันยังเป็นข้อถกเถียงว่าอยู่ ณสถานที่ใด ระหว่าง ศาลพันท้ายนรสิงห์ แห่งแรกตั้งอยู่บริเวณปากคลองโคกขาม จังหวัดสมุทรสาคร และ บริเวณ อุทยานประวัติศาสตร์ ศาลพันท้ายนรสิงห์ ตั้งอยู่ที่บ้านพันท้ายนรสิงห์ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งได้มีการพบท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ยาวราว 80 เซนติเมตร ที่เชื่อว่าเป็นโขนเรือเอกไชยเนื่องจากมีร่องรอยความเสียหาย และเมื่อได้ผ่านการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า ตรงกับสมัยที่พันท้ายนรสิงห์ถูกประหารชีวิต
สำหรับคลองดังกล่าวสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือได้ทรงให้พระยาราชสงคราม คุมไพร่พลจำนวน ๓,๐๐๐ คน ทำการขุดคลองลัดคลองโคกขามที่คดเคี้ยว ไปออกที่บริเวณแม่น้ำท่าจีน โดยทำการสำเร็จเสร็จสิ้นในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ และได้รับพระราชทานนามคลองนี้ว่า"คลองสนามไชย" ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น คลองมหาชัยและเป็นที่มาของเมืองมหาชัยในปัจจุบัน
ตำบลมหาชัยเป็น ส่วนหนึ่งของพื้นที่ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เดิมเป็นชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานบริเวณปากคลองสนามไชย หรือตอนหลัง กลายเป็นคลองมหาชัย และด้วยชัยภูมิที่ตั้งใกล้แม่น้ำและทะเลซึ่งสัญจรเข้าออกทางปากอ่าว จึงทำให้อาชีพของคนในท้องถิ่นคือประมง มหาชัยกลายเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนอาหารทะเลที่มูลค่าสูงเป็นระดับต้นๆของประเทศและเป็นศูนย์รวมของธุรกิจแปรรูปอาหารทะเลขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
มหาชัยหรือพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครจึงเป็นพื้นที่ที่เป็นจุดหมายของ นักแสวงโชคจากต่างชาติที่เข้ามาใช้แรงงานแลกเงินโดยจังหวัดสมุทรสาครมีแรงงานต่างชาติสูงเป็นอันดับ ๒ ของประเทศ โดยจากข้อมูลของ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน ณ เดือน พฤศจิกายน ๒๕๖๓ แรงงานที่ลงทะเบียนไว้ คือ ๒๓๙,๗๕๒ คน ยังไม่รวมแรงงานที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายอีกเป็นจำนวนมาก
ซึ่งแรงงานที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายนี้ทำให้เกิดปัญหาต่างๆที่ยากต่อการควบคุมอาธิ เช่น ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม และที่เป็นประเด็นในปัจจุบันคือ โรคติดต่อ โควิด ๒๐๑๙ ซึ่งมีที่ต้นตอมาจากแรงงานต่างประเทศที่ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฏหมาย ผ่านช่องทางธรรมชาติตามรอยต่อพรมแดน ดำเนินการโดยขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ ซึ่งภาครัฐกำลังดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นในการปราบปราม
โควิด ระลอก ๒ ที่กำลังระบาดในปัจจุบันส่วนใหญ่มักตรวจพบจากแรงงานต่างชาติและแพร่ขยายไปยังคนไทยที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันโดยใกล้ชิดมีการติดต่อแพร่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราทั้งหลายไม่ว่าเชื้อชาติใดควรจะร่วมมือกันต่อสู้ฝันฝ่า อนุเคราะห์ เกื้อกูล กันในยามยากลำบากและต่อสู้กับโรคมรณะโควิด ๒๐๑๙ เพราะเมื่อการต่อสู้สิ้นสุดและเรามีชัยชนะเหนือการระบาดของโควิด และเราจะได้มิตรประเทศที่เป็นยิ่งกว่ามหามิตรไปตลอดกาล
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด สมุทรสาคร , สำนักงานบริหารแรงงานต่างด่าว กระทรวงแรงงาน
อ้างอิงจาก: https://youtu.be/pdPG5EXRVM4