สมเด็จ ๖ แผ่นดิน..มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
สมเด็จ ๖ แผ่นดิน
มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
พระนางเจ้าสว่างวัฒนา หรือพระนามเต็มว่า “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” พระองค์ประสูติในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ และสวรรคตในรัชสมัยรัชกาลที่ ๙ รวมพระชนมายุยาวนานมากถึง ๖ แผ่นดิน พระอัครมเหสีที่ตลอดพระชนม์ชีพ ๖ แผ่นดิน ของพระองค์ทรงมีแต่ความทุกข์โศกที่เกิดจากการสูญเสีย “ทรงเคยสูงสุดกว่าผู้ใด แต่ก็ทรงทุกข์กว่าผู้ใดเช่นกัน”
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จพระราชสมภพแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
• เป็นพระราชปนัดดา (เหลน) ในรัชกาลที่ ๑
• เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ในรัชกาลที่ ๒
• เป็นพระพระภาติยะ (หลาน) ในรัชกาลที่ ๓
• เป็นพระเจ้าลูกเธอ (ลูก) ในรัชกาลที่ ๔
• เป็นพระบรมราชเทวี (ภรรยา) ในรัชกาลที่ ๕
• เป็นพระมาตุจฉา (ป้า) ในรัชกาลที่ ๖ และ ๗
• เป็นพระอัยยิกา (ย่า) ในรัชกาลที่ ๘ และ ๙
• เป็นพระปัยยิกา (ทวด) ในรัชกาลปัจจุบัน
มเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสิ้น ๑๐ พระองค์ แบ่งเป็นพระราชโอรส ๔ พระองค์ เป็นพระราชธิดา ๔ พระองค์ และทรงตกอีก ๒ พระองค์
แม้สมเด็จพระพันวัสสาฯ จะทรงพระอิสริยยศสูงส่ง แต่ก็ทรงประสบกับความทุกข์ด้วยพระราชโอรสธิดาสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ได้แก่
• สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์ พระราชโอรสพระองค์ที่ ๒ สิ้นพระชนม์ ขณะมีพระชันษาเพียง ๒๑ วัน
• สมเด็จฯ เจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา พระราชธิดาพระองค์ที่ ๓ สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง ๔ เดือน
• สมเด็จฯ เจ้าฟ้าหญิง (ยังไม่มีพระนาม) สิ้นพระชนม์หลังประสูติได้เพียง ๓ วัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสูญเสียเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรสพระองค์แรก ซึ่งขณะนั้นดำรงพระยศเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร” (ผู้ที่จะสืบราชสมบัติต่อจากพระมหากษัตริย์ไทย) เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันด้วยโรคไข้รากสาดน้อย ขณะมีพระชนมายุ ๑๕ พรรษา จากเหตุการณ์นี้เล่ากันว่าสมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงล้มทั้งยืนในทันที พระองค์ทรงพระกันแสงอย่างรุนแรง ไม่ทรงฟังคำปลอบประโลมใด ๆ ทรงเสียพระทัยมากถึงขนาดนำฉากไปกั้นเป็นที่ประทับ เพื่อบรรทมเฝ้าพระบรมศพในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไม่เสวยพระกระยาหาร จนทรงพระประชวรในที่สุด และการสวรรคตของทูลกระหม่อมใหญ่ในครั้งนี้ก็ส่งผลให้สายการขึ้นครองราชสมบัติเปลี่ยนสายไปสู่พระราชโอรสในสมเด็จพระพันปีหลวง
เวลาผ่านไป พระสุขภาพเริ่มดีขึ้น ก็ต้องพบกับเหตุการณ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้าหญิงศิราภรณ์โสภณ พระราชธิดาพระองค์ที่ ๖ ก็สิ้นพระชนม์ขณะมีพระชันษาเพียง ๑๐ ปี พระพันวัสสาฯ ทรงเสียพระทัยถึงกับประชวรอีกครั้ง ทางแพทย์ต้องกราบบังคมทูลขอให้เสด็จไปประทับรักษาพระองค์ที่ชายทะเล แต่ยังไม่ทันได้เสด็จไป สมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย พระราชโอรสพระองค์ ๔ ก็สิ้นพระชนม์ตามไปอีก ขณะมีพระชันษาเพียง ๑๗ ปี
ซึ่งการสูญเสียพระราชโอรสและพระราชธิดาอย่างต่อเนื่องทำให้พระองค์ทรงพระประชวรถึงกับทรงพระดำเนินไม่ได้ จนไม่อาจเสด็จฯ ไปในพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จฯ เจ้าฟ้าศิราภรณโสภณ พิมลรัตนวดี และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าสมมติวงศวโรทัย ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นพระราชพิธีเดียวกันได้
ความสูญเสียในชีวิตของพระองค์ท่านเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสด็จสวรรคต สมเด็จพระพันวัสสาทรงพระประชวรสลบไปทันที เล่ากันมาว่าทรงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปว่า “...ขอให้ลืม ลืมให้หมด อย่าให้มีความจำอะไรเลย...”
ภายหลังสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช (สมเด็จพระบรมชนกนาถในรัชกาลที่ ๘ และ ๙) ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการแพทย์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยพร้อมสมเด็จพระราชชนนี (สมเด็จย่า) และพระธิดาพระโอรสทั้ง ๓ คือ พระพี่นางฯ รัชกาลที่ ๘ และรัชกาลที่ ๙
แต่ความสุขในวังสระปทุมได้หมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ทรงประชวรและเสด็จสวรรคตในทันที เล่ากันว่าขณะนั้น พระพันวัสสาทรงคุกพระชงฆ์ (แข้ง) ลง แล้วยื่นพระหัตถ์ไปทรงปิดพระเนตร สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช แล้วซบพระพักตร์ลง
ความทุกข์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ พระราชธิดาพระองค์ที่ ๕ เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของสมเด็จพระพันวัสสาฯ ที่ยังทรงพระชนม์ขณะนั้น ซึ่งพระองค์มีพระโรคประจำพระองค์คือพระวักกะพิการเรื้อรัง (ไตพิการเรื้อรัง) เคยเสด็จไปทรงรับการผ่าตัดที่ต่างประเทศถึง ๒ ครั้ง และมีพระดำริจะเสด็จไปสิ้นพระชนม์ที่ต่างประเทศเสีย เพื่อไม่ให้พระชนนีต้องวิตกกังวล แต่พระองค์ได้เสด็จกลับประเทศไทย เพราะทรงทราบข่าวการประชวรของพระชนนี และพระอาการของพระองค์กลับกำเริบขึ้น จนสิ้นพระชนม์ในวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ ที่วังคันธวาส นับเป็นพระราชธิดาองค์สุดท้ายของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีที่สิ้นพระชนม์
ในการนี้สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จไปงานพระราชทานเพลิงพระศพด้วยพระองค์เอง ซึ่งก่อนหน้านี้สมเด็จพระพันวัสสาฯ ไม่เคยเสด็จไปงานพระราชทานเพลิงพระศพพระราชโอรสธิดาพระองค์ใด เนื่องจากคติโบราณที่ห้ามบิดามารดาเผาศพบุตร มิฉะนั้นต้องเผาอีก แต่ครั้งนี้เป็นพระราชธิดาองค์ท้ายสุด พระองค์จึงได้เสด็จมา และมีพระดำรัสที่มีนัยความชอกช้ำพระทัย และประชดประชันในพระชะตาชีวิตว่า “...อ๋อ ไปส่งให้หมด พอกันที ไม่เคยไปเลยจนคนเดียว คนนี้ต้องไป หมดกันที...”
จากเหตุการณ์ในวันนั้น ความทุกข์โศกแสนสาหัสที่เกิดขึ้นน่าจะจบลง เพราะพระพันวัสสาทรงปีติปลาบปลื้มกับพระนัดดาทั้งสาม คือ พระพี่นางฯ รัชกาลที่ ๘ รัชกาลที่ ๙ พระสุขภาพที่ทรุดโทรมก่อนหน้านี้ค่อยดีขึ้น ด้วยพระราชหฤทัยที่ชื่นบาน แต่แล้ว......
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ และในวันเวลาที่มีพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ลงพระโกศ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระราชปรารภว่า
“......วันนี้เป็นอะไร ฟ้าเศร้าจริง นกสักตัว กาสักตัวก็ไม่มาร้อง เศร้าเหลือเกิน นี่ทำไมมันเงียบเชียบไปหมดอย่างนี้ล่ะ...”
ขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๘๔ พรรษา ประทับอยู่ ณ วังสระปทุม พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ทรงลงความเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้ทรงรับรู้การเสด็จสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ด้วยเกรงว่าพระพลานามัยจะทรงทรุดโทรมอันเนื่องมาแต่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นทรงเป็นพระราชนัดดาที่ทรงรักใคร่ภาคภูมิพระทัยและยังทรงเป็นความหวังท้ายสุดในพระชนมชีพ
จึงไม่มีผู้ใดกล้ากราบบังคมทูล จนกระทั่งวาระสุดท้ายของพระองค์ท่าน ทรงรำลึกเสมอว่า “ทรงมีหลานชาย ๒ คน”
วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๙๘ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคต ณ วังสระปทุม ด้วยอาการพระทัยวาย รวมพระชนมายุ ๙๓ พรรษา ๓ เดือน ๗ วัน จากรัชกาลที่ ๔ ถึง รัชกาลที่ ๙ รวม ๖ แผ่นดิน ทรงผ่านทั้งความสุข ความทุกข์โศกใหญ่หลวง จนได้รับการเล่าขานว่า “เป็นมเหสีที่เศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย”
อ้างอิงจาก: https://www.facebook.com/boraannaanma/photos/a.1721168658137287/2748158848771591/