ประวัติศาสตร์กุมารทอง
พลิกตำนานกุมารทอง วิญญาณเด็กนำโชค
ไสยศาสตร์ มนต์ดำ เวทมนตร์ ของขลัง และศาสตร์เร้นลับต่างๆ นั้นอยู่คู่คนไทยมาแต่สมัยโบราณกาล โดยเฉพาะเรื่องราวของขลังพิเศษ อย่างตุ๊กตาสีทองตัวจิ๋วที่เรียกกันว่า "กุมารทอง" เป็นที่เชื่อกันว่าในรูปปั้นตุ๊กตาตัวจิ๋วนี้มี “วิญญาณเด็ก”สิงสถิตอยู่
ตามตำนานเล่าว่า “กุมารทอง” เกิดจากการนำเด็กที่ตายในท้องพร้อมกันกับแม่ไปประกอบพิธีกรรม ก่อนจะนำมาเก็บรักษาไว้ในสถานที่อันควรและบูชาด้วยการให้อาหารกินทุกวันเช่นเดียวกับคนปกติ กุมารทองจัดอยู่ในหมวด “เครื่องรางวิเศษ” สันนิษฐานว่า ได้รับความนิยมมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยมีที่มาจากวรรณคดีเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ที่ได้กล่าวถึง การกำเนิดกุมารทองไว้ตอนหนึ่งว่า กุมารทองเป็นบุตรของขุนแผนกับนางบัวคลี่ เมื่อขุนแผนจับได้ว่า นางบัวคลี่ซึ่งกำลังท้องแก่ใกล้คลอดในขณะนั้นคิดวางยาพิษเพื่อฆ่าตน ขุนแผนจึงลงมือฆ่านางบัวคลี่เสียก่อน แล้วผ่าท้องเพื่อเอาบุตรชายที่อยู่ในครรภ์ออกมาประกอบพิธีกรรม ด้วยการย่างศพเด็กแล้วปิดด้วยทองคำเปลว จากนั้น จึงบริกรรมคาถาจนกลายเป็น “ผีกุมารทองคะนองฤทธิ์” ซึ่งจัดว่า มีความสำคัญต่อขุนแผนมาก เพราะแม้จะเป็นผี แต่ก็ถือเป็นบุตรคนหนึ่งของขุนแผนนั่นเอง
จากการศึกษาข้อมูลพบว่า กุมารทองนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
1. กุมารทองเพชรปราบ (หรือเพชรภูติงาน) มีฤทธิ์ด้านทำลายล้างศัตรู ว่ากันว่า มีไว้เพื่อใช้สังหารหรือทำร้ายศัตรูคู่แค้นโดยเฉพาะ สามารถแยกย่อยออกได้อีกเป็น 4 ชนิด ชื่อว่าเพชรมั่น, เพชรดับ, เพชรคง และเพชรสูญ
2. กุมารทองโชคลาภเมตตามหานิยม กุมารทองประเภทนี้ไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ ส่วนใหญ่ผู้บูชาจะตั้งชื่อให้เอง โดยเลือกตั้งชื่อที่เป็นมงคลหรือเรียกทรัพย์ เช่น น้องสมบัติ น้องร่ำรวย ฯลฯ จัดเป็นกุมารทองพิมพ์นิยม ที่ได้รับความนิยมมากกว่ากุมารทองประเภทแรก
ในสมัยก่อนกรรมวิธีในการสร้างกุมารทองมีอยู่ด้วยกันหลักๆ 3 วิธี ได้แก่
1. กุมารทองที่สร้างด้วยการนำดินจาก 7 ป่าช้า มาผสมกับผงพรายกุมาร (ผงที่ได้จากการนำกระดูกเด็กมาป่นละเอียด ผสมกับผงอิทธิเจและปถมัง) เชื่อกันว่า กุมารทองประเภทนี้จะเฮี้ยนและมีอิทธฤทธิ์ที่สุด
2. กุมารทองที่สร้างจากเนื้อดิน เนื้อไม้ แล้วเชิญเทพลงมาจุติ
3. กุมารทองที่สร้างด้วยไม้ตายพราย (ไม้เทพสถิตชนิดพิเศษ ที่เชื่อกันว่า มีเวทมนตร์และความขลังอยู่ในตัว)
อย่างไรก็ดี ด้วยรูปแบบวิถีชีวิต ยุคสมัย ตลอดจนสภาพสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป กรรมวิธีในการสร้างกุมารทองก็มีพัฒนาการตามไปไม่หยุดนิ่ง จากในอดีตที่เคยต้องใช้เฉพาะศพเด็กที่ตายทองกลม (ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายและศีลธรรม) ปัจจุบันได้ดัดแปลงวิธีการสร้างโดยใช้ดินจากเจ็ดป่าช้า ไม้รักซ้อน ไม้มะยม ไปจนถึงโลหะ ฯลฯ มาสร้างเป็นรูปกุมารน้อยแทน จากนั้น จึงปลุกเสกตั้งจิตอธิฐาน ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการ 32 ทำให้เกิดเป็นวิญญาณเด็กสิงสถิตอยู่ภายในหุ่นตุ๊กตา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการ “แตกไลน์ขยายรูปแบบ” จนเกิดเป็น “กุมารทองฉบับพกพา” ที่มีลักษณะคล้ายกันกับพวงกุญแจเล็กๆ หรือพระเครื่องห้อยคอ ทั้งนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่นั่นเอง
ว่ากันว่า วิญญาณกุมารทองจะสามารถปรากฏกายให้ผู้ที่สร้างกุมารทองเห็นได้ และจะปฏิบัติตามคำสั่งของคนสร้างได้ทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ช่วยเหลือเรื่องค้าขาย ช่วยเฝ้าบ้านเฝ้านา ช่วยติดตามหนี้สิน หรือแม้กระทั่งช่วยหาที่จอดรถ (!) จากอดีตจนปัจจุบัน ศรัทธาและความนิยม (อย่างล้นหลาม) ในตัวกุมารทองนี้ดูเหมือนจะไม่เคยจะเลือนหายไปจากสังคมไทย แถมในช่วงหลังความนิยมยังได้ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จากกลุ่มเกจิอาจารย์ นักเลงพระ คนเล่นของ ข้ามไปสู่กลุ่มนักธุรกิจ พ่อค้าแม่ขาย พนักงานขายของหน้าร้าน พนักงานขายของทางโทรศัพท์ (Tele-sale) ไปจนถึงกลุ่มดารานักร้องในวงการบันเทิง
"ที่บ้านเลี้ยงกุมารทองมานานกว่า 10 ปีแล้ว แม่เล่าให้ฟังว่า คนรู้จักพาไปทำที่อนุสาวรีย์ฯ ตั้งชื่อเรียกกันว่า 'น้องกุมาร' ที่เลี้ยงก็เพราะที่บ้านค้าขาย เลยคิดว่าน้องกุมารจะช่วยให้ค้าขายคล่อง วันไหนอยากรีบปิดร้าน เราก็จะขอให้น้องกุมารช่วยขายให้หมดไวๆ ซึ่งก็ได้อย่างนั้นจริงๆ ไม่เคยผิดหวัง ตั้งแต่เลี้ยงน้องกุมารมา ที่บ้านเรามีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น ในฐานะที่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เมื่อหาอะไรมาพิสูจน์อ้างอิงไม่ได้ เลยคิดว่าถ้าเชื่อไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร" - นักวิทยาศาสตร์การประมงและอาจารย์มหาวิทยาลัย
"เพิ่งเลี้ยงกุมารทองมาได้อาทิตย์กว่าๆ ค่ะ ตั้งชื่อให้ว่า 'น้องร่ำรวย' ได้น้องเขามาจากพระอาจารย์ที่วัดตอนไปทำบุญ พระท่านบอกว่าให้น้องมาอยู่เป็นเพื่อนเพื่อเป็นสิริมงคล เป็นขวัญกำลังใจในการทำงาน ปัจจุบัน เพื่อนหลายคนที่ทำงานในแวดวงเดียวกันเขาก็เลี้ยง ทุกคนบอกว่าเลี้ยงแล้วดี ชีวิตการงานดีขึ้น อยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนตัวแล้วคิดว่า เป็นเรื่องของศรัทธาและความเชื่อ อย่างที่พระท่านว่าหากมีศรัทธาแล้ว สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ มันก็เกิดขึ้นได้" - ดารานักแสดงชื่อดัง
นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ จะภะกะสิ จิเจรุนิ
นะออแอ โมออแอ พุทออแอ ธาออแอ ยะออแอ
มะอะอุ พุทธะสังมิ อิติกุมาโร ประสิทธิเม
เสียงสวด “บูชากุมารทอง” กำลังดังแว่วขึ้นทุกมุมเมือง ในวันที่ผู้คนกำลังสับสนและขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต มนุษย์เมืองทุกวันนี้ มุ่งแสวงหากันแต่เรื่องของวัตถุ ด้วยคิดว่าวัตถุต่างๆ เหล่านั้นคือ สิ่งที่จะให้ความมั่นคงและ "เติมเต็ม" อะไรบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิตได้ แม้ว่าเรื่อง “ความขลัง” ของกุมารทองในการเรียกทรัพย์ศฤงคารนี้ จะยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดที่เราทุกคนน่าจะพิสูจน์ได้ด้วยตนเองก็คือ "จิตใจที่เข้มแข็ง" และ “ความมุ่งมั่น” ที่อยู่ภายในตัวเรา เพราะไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับอุปสรรค ขวากหนาม หรือปัญหาใดๆ ที่อยู่ที่เบื้องหน้า เชื่อเถอะว่า “พลังใจ” ของเรานี่แหละ คือของที่ขลังที่สุด