7 วิธีอย่าหวั่นไหว เสียเงินให้คำว่า SALE !!
หนึ่งปัญหาหลักของสาวๆ ที่มีผลให้ต้องใช้เงินเกินตัว พ่ายแพ้ทุกทีเมื่อเจอกับคำว่า SALE คำนี้
สำหรับคอช้อปปิ้งแล้ว การที่ได้ซื้อของที่ลดราคาอยู่เป็นพิเศษ จะทำให้เรารู้สึกว่าได้ใช้เงินอย่างคุ้มค่ามากเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็แค่หลงไปกับโปรโมชั่น หรือว่ากับดักทางการตลาดเท่านั้น เป็นการใช้งานที่สิ้นเปลือง และไม่ส่งผลดีต่อการเงินของคุณเลย เมื่อเสพติดสินค้าลดราคาเอามากๆ แล้ว ก็จะทำให้กลายเป็นโรค shopaholic เข้าได้เหมือนกัน ทางที่ดีควรแก้นิสัยนี้กันแต่เนิ่นๆ เลยดีกว่าค่ะ
7. ลบแอพช้อปปิ้งทิ้งไปเสียก่อน
แอพพิเคชั่นสำหรับช้อปปิ้ง ก็เหมือนกับร้านขายของที่เปิดอยู่ 24 ชั่วโมง และเราก็พร้อมที่จะเข้าไปเสียตังค์ได้ 24 ชั่วโมงเช่นเดียวกัน เผลอๆ ทีไรก็ชอบที่จะเข้าไปดูสินค้าที่ตัวเองสนใจ หรือว่าพวกโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งมันมีความเสี่ยง ที่จะทำให้เงินในกระเป๋าของเราหลุดลอยไปได้ง่ายๆ นั่นเอง ดังนั้นแล้วหากรู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถยับยั้งชั่งใจในการที่จะเข้าไปดูสินค้าต่างๆ เหล่านี้ได้ก็ให้ลบแอพพวกนี้ทิ้งไปได้เลย เพื่อตัดปัญหาที่จะอดใจเอาไว้ไม่อยู่ค่ะ
ทั้งนี้ก็รวมไปถึงร้านขายของต่างๆ ใน instagram หรือว่า facebook ก็ด้วยเช่นเดียวกันนะคะ เพราะว่าถ้าเราเห็นฟีดร้านเหล่านี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็คงยากที่จะอดใจไม่เข้าไปดูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ดังนั้นแล้วควรเพลาๆ การติดตามข่าวสารเหล่านี้ไปชั่วคราว ระหว่างที่คุณต้องการควบคุมการใช้เงินนะคะ อยากได้ต้องการใช้จริงๆ ค่อยไปเปิดหาเอาดีกว่าค่ะ
6. กำหนดการใช้บัตรเครดิต
บัตรเครดิตมีไว้เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่ายทำธุรกรรมทางการเงิน แต่ข้อเสียของมันก็คือทำให้ใช้จ่ายได้ง่ายดายจนเกินไป เนื่องจากแอพส่วนใหญ่เราก็มักจะผูกเข้ากับบัตรเครดิต เพื่อในการใช้จ่าย ในเมื่อเกิดการที่เสียเงินได้ง่าย เราก็ควรทำตัวให้ยุ่งยากขึ้น ด้วยการยกเลิกที่จะผูกบัตรเครดิตพวกนี้ไว้กับแอพต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยที่อาจจะถูกข้อมูลเอาได้ด้วย และควรที่จะกำหนดเงินการใช้บัตรเครดิตในแต่ละเดือนให้ดี เพราะหลายๆ สินค้าที่ซื้อไปทั้งหมด เมื่อเรารูดรวมๆ กันไปทบในแต่ละเดือนแล้ว อาจจะมีมูลค่าสูงเอามากๆ เลย ดังนั้นแล้วเน้นการใช้บัตรเครดิตเท่าที่จำเป็นดีกว่า นอกนั้นใช้เป็นเงินสดเราจะรู้ถึงคุณค่าของการใช้เงิน และควบคุมการจ่ายเงินได้มากกว่าตอนที่เราไม่เห็นเงินยามที่จ่ายสินค้านะคะ
5. เช็คราคาจากหลายๆ ที่
ถ้ามีของใหม่ที่ตั้งใจเอาไว้ว่าอยากจะซื้อ อยากให้ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ไม่รีบร้อนที่จะรูดซื้อเลยทันที ยั้งสติให้อยู่และลองเช็คราคาดูจากหลายๆ ที่ หรือหลายๆ ร้าน ทำการเปรียบเทียบราคาที่ลด และราคาที่บวกค่าส่งแล้วให้ดีซะก่อน เพราะบางร้านไม่มีค่าส่งอาจจะทำให้ถูกกว่า ร้านที่ลดราคาเยอะแต่มีค่าส่งที่แพงมากด้วยซ้ำ อันนี้อยากให้ตั้งใจดูให้ดีเลยจริงๆนะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะมาเจ็บใจเอาทีหลังได้เมื่อต้องซื้อในราคาที่แพงกว่า และยังเป็นการช่วยประวิงเวลาที่จะต้องเสียตังค์ไปได้อีกด้วย ดีไม่ดีการที่เรามัวแต่ลังเลอยากจะได้ราคาดีที่สุด อาจจะทำให้ไม่ได้ซื้อไปเลยก็ได้นะ ยับยั้งกิเลสจนทำให้ไม่ต้องเสียตังค์ด้วยยังไงล่ะ
4. คิดว่ารอโปรโมชั่นไปก่อน
ให้เราคิดว่า ถ้าเป็นพวกสินค้าฟุ่มเฟือย ให้รอจังหวะดีๆ มีโปรโมชั่นแล้วค่อยซื้อก็ได้ไม่ต้องรีบร้อน การที่ซื้อพวกนี้ของในราคาปกตินั้น จะทำให้คุณรู้สึกว่าขาดทุนมากกว่า ก็จะช่วยชะลอการใช้จ่ายไปได้ส่วนนึง ซึ่งดีไม่ดีแล้ว บางทีพอถึงช่วงโปรโมชั่นจริงๆ คุณอาจจะรู้สึกเบื่อๆ เปลี่ยนใจไม่อยากได้ของชิ้นนั้นไปแล้วก็ได้ ก็จะช่วยให้ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ดีทีเดียวค่ะ
3. ไม่ข้องแวะกับป้าย Sale
ป้ายเซลล์นี้มีแรงดึงดูดด้วยสีแดงที่เต็มไปด้วยพลังทางจิตวิทยา ไม่ว่าของที่เขาเซลล์อยู่นั้น จะเป็นสินค้าที่เรามีความจำเป็นต้องใช้หรือไม่ เพียงแค่เห็นราคาที่ถูกกว่าราคาปกติมากๆ แล้ว ก็จะทำให้เรารู้สึกสนใจและความอยากได้ขึ้นมาเอง ด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่าคุ้มค่าที่จะซื้อ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่จะต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็น ก็อย่าไปข้องแวะสถานที่ หรือร้านที่มีป้ายเหล่านี้จะดีกว่ากันมากเลยค่ะ โดยเฉพาะกับสาวๆ ที่จิตใจอ่อนไหวด้วยแล้วควรหลีกเลี่ยงอย่างแรงเลยจริงๆ ค่ะ
2. ควรมั่นใจก่อนซื้อว่าจำเป็นไหม
ของหลายๆ ชิ้น หรือว่าเสื้อผ้าหลายๆ อย่าง เราสามารถที่จะใช้ชดเชยทดแทนกันได้ อย่างเช่น เสื้อผ้าที่เป็นพวกเสื้อคลุมต่างๆ บางครั้งเราอาจจะชอบก็จริง แต่การที่จะซื้อใหม่หลายๆ สีที่เหมือนกันก็ไม่ใช่ความจำเป็นเสมอไป ลองกลับไปดัดแปลงให้เหมือนเสื้อตัวใหม่แทนน่าจะดีและประหยัดกว่าซื้อตัวใหม่ไหม รวมถึงเครื่องสำอางต่างๆ ที่สาวๆ มักจะชอบซื้อมาเก็บไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งเยอะๆ แต่ว่าตัวที่จะได้ใช้งานจริงกลับมีอยู่ไม่กี่ตัว และปล่อยให้ของเก่าๆ ที่เคยซื้อมานั้น ตั้งเอาไว้อยู่แบบนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดอายุไป ดังนั้นแล้วก่อนที่จะซื้อของใหม่ๆ นั้น ให้ลองคิดทบทวนให้ดี ว่าของเก่ายังดีอยู่ไหม ยังมีเหลือเยอะอยู่หรือเปล่า เพื่อหยุดยั้งการที่จะซื้อของใหม่ๆ แล้ว ทิ้งของเก่าๆ ไป อย่างไร้คุณค่านะคะ
1. แยกเงินเก็บไปบัญชีอื่น หรือเก็บไว้ลงทุน
ถ้าเราทำบัญชีรายรับรายจ่าย เราก็จะเห็นว่าการใช้เงินของ เราหมดไปกับของสิ้นเปลืองไปมากน้อยสักเพียงไหน เมื่อเห็นตัวเลขแล้วเราก็จะเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นได้เหมือนกัน ดังนั้นแล้วหากได้รับเงินเดือนมาก็ควรแบ่งแยกไปเก็บส่วนหนึ่งดู เพื่อที่จะมีเงินมีส่วนนั้นไว้สำหรับการช้อปปิ้งที่น้อยลงนั่นเอง
หรือหากว่าคุณไม่สามารถที่จะลดการช้อปปิ้งของตัวเองลงได้จริงๆ ก็ให้ลองเปลี่ยนเป็นนำเงินที่ตั้งใจว่าจะช้อปปิ้งนั้น ไปลงทุนหารายได้เพิ่มเติม เพื่อนำเงินในส่วนนั้นเอาไว้ช้อปปิ้งแทนการใช้เงินเดือนทั้งหมดดู เพื่อที่การช้อปปิ้งจะได้ไม่ต้องกระทบกับเงินรายรับก็เข้าท่าดีนะ อย่างเช่นหาของมาขาย เพราะตั้งใจจะเก็บเงินมาซื้อของที่อยากได้ เป็นต้น เรียกว่าถ้าใช้เงินเก่งก็ควรหาให้เก่งด้วยถึงจะโอเค
การช้อปปิ้งหรือว่าซื้อของ ทางที่ดีก็ควรที่จะอยู่ในขอบเขตที่พอดี และจำเป็นสมกับฐานะของตัวเองด้วย ความพอดีของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ลองปรับใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิต และทรัพย์สินที่มีก็จะเหมาะสมที่สุดค่ะ แต่หลักๆ ที่เหมือนกันคือ ต้องไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนชีวิตมีแต่หนี้สิน อย่าใช้เงินมากไปจนไม่เหลือเงินเก็บไว้สำรองยามจำเป็น ควรวางแผนทางการเงินเอาไว้ด้วย เพื่อที่ในยามฉุกเฉินจะได้ไม่เดือดร้อน ชีวิตถึงจะมีความสุขได้มากกว่าการยึดติดความสุขไปกับการช้อปปิ้งอย่างเดียวนะคะ
เธอเสพติดการช้อปปิ้งหรือไม่?
✪ บทความ โดย : Akine_noxx
✿ เผยแพร่ครั้งแรกในเว็บ Spice/Pepper
❀ ฝากติดตาม กดไลค์ กดแชร์ คอมเม้นท์เป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ