มิติลับ สัมผัสสยอง ตอน หลอนวันมาเช้า
ว่ากันว่าสิ่งที่มองไม่เห็นตัวตนมันมักน่ากลัวอยู่เสมอ ..ซึ่งประโยคนี้ผมก็เชื่อเช่นกันว่าสิ่งที่เรามองไม่เห็นมันน่ากลัวจริง และมันก็น่ากลัวตรงที่เขาจะมาให้เราเห็นตอนไหน ยังไง และมาในรูปไหนกัน ดังเช่นเรื่องราวที่ผมพบเจอ..ในช่วงที่ผมไปทำงานเช้าๆ
ต้องบอกก่อนว่า...บริษัทที่ผมทำงาน เวลาการทำงานก็เหมือนกับบริษัททั่วๆไปนั้นก็คือ 08:00-17:00น. แต่ถ้าวันไหนที่มีงานเร่งด่วนก็จะอยู่ดึกๆกัน และถ้าวันไหนที่งานเร่งด่วนแบบด่วนมากๆก็ต้องไปเช้าๆอีกเช่นกัน
แต่ที่ผ่านมาก็แทบจะไม่มีงานเร่งด่วนเลย หรือถ้ามีด่วนๆหน่อยผมกับพี่ๆก็อยู่ทำกันในช่วงเย็น จนกระทั่งมาถึงช่วงสัปดาห์นี้ ผมมีงานเร่งด่วนที่ต้องเข้าเช้า ซึ่งการที่ผมต้องเข้าเช้าก็มีพี่ที่ทำงานรับทราบกัน แต่ผมก็แอบไม่เข้าใจว่าทำไม? พวกพี่ๆเขาถึงไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยผมเหมือนช่วงเย็นๆเลย
แต่อีกเหตุผลหนึ่งผมก็เข้าใจแหล่ะว่า …เขาไม่อยากตื่นเช้ากัน มันจึงทำให้มีแค่ผมที่เข้ามาทำงานตั้งแต่ตีห้า
ซึ่งเวลาตีห้าของแผนกผมมันก็ยังแอบมืดอยู่ ขนาดหกโมงเช้าก็ยังมืดหน่อย จะสว่างจริงๆก็ประมาณหกโมงครึ่ง
โดยวันแรกของการทำงานเช้าของผม ผมก็เดินผ่านความมืดจากประตูใหญ่เข้ามายังแผนกผมประมาณ 100 เมตรก่อนที่ผมจะเปิดไฟแผนกให้สว่างไปถึงข้างนอก ซึ่งการมาทำงานเช้าๆวันแรกของผมก็ผ่านไปแบบปกติ…แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ หลังจากแปดโมงของวันนั้นพี่ๆเขาก็ถามผมแบบแปลกๆว่า
“ มาเช้าๆอะ เจออะไรไหม?”
คำถามนี้ก็เล่นเอาผมยิ้มแบบสงสัยพร้อมส่ายหัวเบาๆให้กับพวกเขาแล้วผมก็ถามต่อไปเช่นกันว่า
“ มันต้องเจออะไรหรอพี่”
แล้วพวกเขาก็หัวเราะกันพร้อมพูดไปทำนองว่าแซวเล่นๆ
และตั้งแต่วันนั้นมา ผมก็มาทำงานเช้าๆทุกวันจนกระทั่งถึงวันสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันที่ผมวางแผนไว้แล้วว่า การเข้าเช้าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแน่นอน
ซึ่งในขณะที่ผมคิดและเดินเข้ามาในแผนกท่ามกลางความมืดเล็กน้อยนั้น..อยู่ดีๆประตูของแผนกที่ผมจะเข้าไปก็มีลักษณะเหมือนถูกเปิดออกไปเมื่อกี้ราวกับว่ามีคนมาเปิดต้อนรับยังไงยังงั้น
ตอนนั้นผมยืนนิ่งแล้วขยี้ตาเบาๆ พร้อมกับคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเองมั้ง
ผมคิดพร้อมเดินไปเปิดไฟให้สว่าง แล้วแอบบ่นพี่ๆว่า ทำไมไม่รู้จักปิดประตูกัน ผมบ่นไปพร้อมนั่งทำงานทันที
และในขณะที่นั่งทำงานเรื่อยๆอยู่ดีๆผมก็เห็นแม่บ้านเดินถูพื้นอยู่ข้างนอก
ในขณะที่เขาถูพื้นอยู่นั้นผมก็มองไปที่เขาที่ก้มหน้าถูพื้นไปเรื่อยๆแบบสงสัยว่า พี่เขาเป็นใคร แม่บ้านใหม่หรอ? ไม่เคยเห็นหน้าเลย
แต่ด้วยความที่ตอนนั้นมันยังเช้าอยู่สมองผมเลยยังเบลอๆอยู่หน่อยๆ จึงไม่ได้คิดอะไรไปไกล จนกระทั่งนั่งมาได้สักพักเลยคิดได้ว่า ทำไมแม่บ้านมาเช้าจัง แล้วทำไมวันก่อนๆไม่เห็นมีแม่บ้านมาเช้าแบบนี้
ในตอนนั้นผมคิดพร้อมลุกเดินออกไปข้างนอกเพื่อจะไปทักทายเขา แต่พอเดินออกเขาก็ไม่อยู่ล่ะ ผมจึงเดินกลับเข้ามาในห้องแบบงงๆ
และในความงงก็ยังพบว่า…ที่พื้นมันมีน้ำจากที่ไหนไหลมาเปียกไปหมดไม่รู้
ผมก้มมองแล้วเกาหัวพร้อมบ่นเบาๆว่า
“ เช็ดยังไงให้น้ำมันเลอะขนาดนี้”
ผมบ่นพร้อมจะเดินไปหยิบไม้ถูพื้นในแผนกถู แต่พอก้าวขาเข้าห้องได้ ผมก็ร้อง เฮ้ยย แบบตกใจเพราะอยู่ดีๆไฟในห้องก็ดับๆติด และมากกว่านั้นคือพี่แม่บ้านคนนั้นก็มายืนถูๆอยู่ที่แผนกผมละ
ในตอนนั้นผมงงมากว่า
“ เขาเข้ามาในห้องตอนไหนกัน ”
และที่สำคัญเข้ายืนกวาดๆถูๆอยู่อีกฝั่งที่เป็นโต๊ะของพี่ๆแผนกผม ซึ่งการที่เขาจะเข้ามาได้ ผมก็ต้องมองเห็นสิ
ตอนนั้นผมยังคงตกใจอยู่ เลยเอ่ยถามเขาไปแบบเสียงสั่นๆว่า
“เอ่อ พี่คับ ข้างนอกมันมีน้ำเลอะที่พื้นอะคับ รบกวนพี่ไปถูให้ที”
ซึ่งพอผมพูดจบเขาก็พูดเบาๆแต่ก็พอจับใจความได้ว่า
“ ก็กำลังถูให้อยู่นี่ไง”
เขาพูดพร้อมก้มหน้าชี้ไปข้างนอก และตัวผมเองก็หันไปมองตามที่เขาชี้ ซึ่งพอหันมาปุ้บผมก็สตั้นหนักมาก เมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือยังกะฝาแฝดของเขาที่ยืนถูพื้นอยู่ข้างนอก
ณ จุดนั้นผมยืนช็อคอยู่ท่ามกลางไฟที่ดับๆติดๆในห้องทำงาน ก่อนที่ผมจะตัดสินใจหันควับกลับมามองอีกคนในห้องที่ผมอยู่
แต่พอหันควับกลับมาก็ไม่เจอเขาอยู่ตรงจุดเดิม และที่พีคกว่านั้นคือเขาไปนั่งห้อยข้างอยู่บนโต๊ะของอีกมุมหนึ่งพร้อมแกว่งขาไปมาอย่างเป็นจังหว่ะ
ตอนนั้นผมช็อคมาก จำได้ว่าร้อง “ อร๊าค” ไปประโยคหนึ่งแล้วจำไรไม่ได้เลย
และหลังจากนั้นผมมารู้สึกตัวอีกทีตอนประมาณแปดโมงหน่อยๆ โดยมีพี่ๆนั่งล้อมรอบผมอยู่
พอผมลืมตาเจอพี่ๆผมก็รีบลุกนั่งแล้วหันซ้ายขวาทันที จนมีพี่คนหนึ่งพูดขึ้นว่า
“ มึงเจอแม่บ้านหรอ?”
ซึ่งพอพี่เขาถามจบผมก็เงียบแล้วพยักหน้าพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้าด้วยอาการกลัว
จนพี่เขาพูดขึ้นมาอีกว่า
“กูนึกว่ามึงจะเป็นคนแรกที่ไม่เจอพี่แขสะอีก”
แล้วพี่คนนั้นก็เล่าให้ผมฟังหมดเลยว่า…พี่แขเขาเป็นแม่บ้านเก่า เขาเป็นคนขยันและรักในงานแม่บ้านมาก แต่เมื่อหลายปีแล้วเขาไปทำความสะอาดบ่อน้ำพุที่หน้าแผนกเรา แต่ด้วยความที่อากาศร้อนมั้งเลยทำให้เขาเป็นลมแล้วจมน้ำตายคาบ่อน้ำพุไป แต่เหมือนวิญญาณเขาจะไม่ไปไหน เพราะมักจะมีคนที่ขยันๆทำงานดึก หรือเช้า เจอเขาอยู่ประจำ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เจอก็คือคนที่ชอบมาทำงานคนเดียว โดยทุกคนก็จะคิดว่า เขาคงอยากมาอยู่เป็นเพื่อนนั่นเอง และเหตุผลที่ไม่มีใครเล่าเรื่องนี้ให้ผมหรือเด็กใหม่ๆฟังก็เพราะคิดว่า น่าจะมีสักคนแหล่ะที่ไม่เจอแบบนั้นแล้ว
พอผมได้ฟังพี่เขาเล่าผมก็นิ่งแล้วมองไปรอบๆ และอธิษฐานในใจว่า
“ ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนผมหรอก เดี๋ยวผมทำบุญไปให้”
ซึ่งตั้งแต่วันนั้นมา…เหตุการณ์นั้นก็ทำให้ผมไม่กล้ามาเช้าอีกเลย ถ้าหากวันไหนมีงานด่วนก็จะอาศัยช่วงเที่ยงๆทำเอา เลือกเหนื่อยดีกว่าเสี่ยงชอคตายดีกว่า ว่าไหมละ
สามารถรับชมเพิ่มเติมได้ที่ aplay.tv https://bit.ly/2WiYZXM