จากศรีภูมิ สู่ สุวรรณภูมิ และ แยกเป็น "เมืองชลบถ"
จากศรีภูมิ สู่ สุวรรณภูมิ และ แยกเป็น "เมืองชลบถ"
เมืองศรีภูมิ ตั้งในปี พ.ศ. 2256 ต่อมา ย้ายที่ตั้งเมืองไปยังตำบลดงเท้าสาร และเปลี่ยนนามเมืองเป็น "สุวรรณภูมิ" ในปี พ.ศ. 2315 พระรัตนวงษา (เจ้าเซียง) ครองเมืองต่อจนลุปี พ.ศ.2330 ถึงแก่พิราลัย น้องชาย เจ้าสูน ได้ครองเมืองต่อจากเชษฐา จนลุ จุลศักราช ๑๑๕๔ ปีชวดจัตวาศก (พ.ศ. 2335) ฝ่ายทางเมืองสุวรรณภูมิมีคนลอบฟันท้าวสูนผู้เป็นอุปราชเจ้าเมืองถึงแก่กรรม ท้าวเพี้ยกรมการจับตัวทิดโคตรพิจารณาได้ความเปนสัตย์ว่าเปนผู้ฟัน ทิดโคตรถูกเฆี่ยนตายอยู่กับคา
แล้วเจ้าเมืองกรมการจึงมีบอกลงมายังกรุงเทพ ฯ โปรดเกล้า ฯ ตั้งให้เจ้าอ่อนท้าว บุตรพระขัติยวงษา (เจ้าสุทนต์มณี) เจ้าเมืองร้อยเอ็ดคนเก่าซึ่งได้มาถวายตัวเป็นมหาดเล็กอยู่ในกรุงเทพ ฯ นั้นเป็นอุปราชเจ้าเมือง ครองเมืองสุวรรณภูมิ พระราชทานหมวกตุ้มปี่กระบี่บั้งทองเปนเกียรติยศ ในปีนั้นท้าวคำพาว ที่ดำรงตำแหน่งเมืองแสน (กรมการเมืองผู้ดูแลด้านทหารสูงสุดของเมือง )ไม่ถูกกับเจ้าเมือง (พระรัตนวงษาอ่อน ซึ่งเป็นทายาทของเจ้าสุทนต์มณี สายอาว์ที่มีข้อขัดแย้งคราแย่งเมือง อาว์ - หลาน) จึงชักชวนผู้คนและขอนุญาตเจ้าพระยานครราชสีมา ขออพยพมาตั้งอยู่บ้านหนองกองแก้ว เขตแดนเมืองสุวรรณภูมิ
และขอสมัครทำราชการขึ้นอยู่กับเจ้าพระยานครราชสิมา ๆ จึ่งบอกกราบบังคมทูลขอตั้งให้เมืองแสน (ท้าวคำพาว) เป็นเจ้าเมือง ขอยกบ้านหนองแก้วขึ้นเป็นเมือง จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งให้เมืองแสนเป็น ที่พระจันตประเทศ ยกบ้านหนองแก้วขึ้นเป็นเมืองชลบถ ขึ้นเมืองนครราชสีมา แบ่งเอาที่ดินเมืองสุวรรณภูมิไปตั้งแต่ตำบลบ้านกู่ทองไปจนถึงหนองกองแก้ว ( จรดภูเม็ง หนวงม่วงคุ้ม กุ่มปัก ศาลาหัก ) เป็นเขตรของเมืองชนบทแต่ครั้งนั้น เมืองชนบท อาณาเจตรเดิมนั้น ปัจจุบัน ถูกแยกออกเป็น อำเภอต่างๆในเขต 2 จังหวัด คือ ขอนแก่น 11 อำเภอ, และจังหวัดชัยภูมิ 1 อำเภอ เมืองชนบถ นับอายุ จาก ปี พ.ศ. 2335 จวบปัจจุบัน มีอายุครบ 228 ปี (พ.ศ. 2563)