"แคน" เครื่องดนตรีประเภทเป่าที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก
แคน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของโลก สันนิษฐานว่ามีอายุไม่ต่ำกว่า 3,000 ปี ดังปรากฏหลักฐานจากการขุดค้นซากแคนในชั้นหินอายุกว่า 2,000 ปีในมณฑลยูนนานของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและการขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองดองซองริมแม่น้ำซองมา ในจังหวัดถั่นหัวประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้ค้นพบขวานสำริดจำหลักเป็นรูปคนเป่าแคนน้ำเต้าอายุประมาณ 3,000 ปี ชาวลุ่มแม่น้ำโขงรู้จักเล่นดนตรีประเภทแคนมานานแล้ว โดยนำไปใช้ประกอบการละเล่น การแสดงหมอลำ งานประเพณี พิธีกรรม ขบวนแห่ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันก็ยังนิยมเล่นอยู่ทั่วไป และได้มีการพัฒนารูปแบบของแคนให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันมีแคนหลายชนิด เช่น แคนหก แคนเจ็ด แคนแปด แคนเก้าและแคนสิบ แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือแคนแปด ใครเป็นผู้คิดประดิษฐ์เครื่องดนตรีที่เรียกว่า "แคน" เป็น คนแรก และทำไมจึงเรียกว่า "แคน" นั้น ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอนยืนยันได้ แต่ก็มีประวัติตำนานที่เล่า เป็นนิยายปรัมปราสืบต่อกันมา ดังต่อไปนี้
#หญิงหม้ายผู้คิดประดิษฐ์แคน กาลครั้งหนึ่ง มีพรานคนหนึ่งเที่ยวล่าเนื้อในป่า เขาได้ยินเสียงนกกรวิก(นกการเวก) ร้องไพรเราะจับใจมากเมื่อเขากลับมาถึง หมู่บ้านนายพรานได้เล่าเรื่องที่ตนเองได้ยินเสียงนกที่ร้องมีเสียง อันไพรเราะให้ชาวบ้านฟัง หนึ่งในนั้นมีหญิงหม้ายคนหนึ่ง ได้ฟังเรื่องที่นายพรานเล่าให้ฟัง จึงใคร่อยากจะฟังเสียงนกกรวิกมาก จึงได้ขอติดตามนายพรานไปในป่าเพื่อจะฟังเสียงนก และแล้วหญิงหม้ายก็ได้ฟังเสียงนกนั้น ตามที่เธอปราถนา ทำให้เธอติดอกติดใจในความไพรเราะของเสียงนกยิ่งนัก เมื่อครั้นกลับมาถึงบ้านเธอก็ยังรำพึงอยู่ในใจและอยาก ฟังเสียงนกนั้นอีกได้ และหลังจากนั้นเธอก็คิดว่าทำอย่างไรถึงจะได้ยินเสียง นกกรวิกทุกวันเธอจึงตัดสินใจทดลองประดิษฐ์ เครื่องบังเกิดเสียงดังเสียงนกกรวิกให้จงจากนั้นเธอพยายามประดิษบ์เครื่องดนตรีทั้ง เครื่อง ดีด เครื่องสี เครื่อง ตีหลาย ๆ อย่าง ก็ไม่มีเครื่องดนตรีชนิดใดเหมือนเสียงนกนั้น ในที่สุดเธอจึงได้ค้นพบ เครื่องที่มีเสียงคล้ายเสียงนกกรวิกมากนั้นคือเธอได้ไปตัด ไม้ไผ่น้อยเอามาดัด แปลงเป็นเครื่องเป่า ที่เมื่อเป่าออกมา จะมีเสียงคล้ายเสียงนก จากนั้นเธอจึงได้นำเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปถวาย และได้เป่าถวายแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ฟัง จึงติดอกติดใจ หญิงหม้ายจึงทรงถามว่า เครื่องดนตรีชนิดนี้จะเรียกชื่อว่าอย่างไรพระเจ้าข้า พระเจ้าปเสนทิโกศล จึงตรัสว่า “เจ้าจงเรียกเครื่องดนตรีนี้ว่า แคน ตามคำพูดของเราตอนท้ายนี้ต่อไปภายหน้าเถิด” จึงเป็นที่มาของคำว่าแคนนั้นเอง
แคนเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าที่ชาวพื้นเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ภาคอีสาน) ของประเทศไทยที่มีการสืบทอดวัฒนธรรมมาอย่างช้านานมีภาษาอาหารและวัฒธรรม ที่มีเอกลักษณ์ที่รู้จักกันอย่าง แพร่หลายไปทั่วโลกมีหลักฐานยืนยันว่าในสมัยก่อนเมื่อหลายพันปีมาแล้วแคนเป็นที่นิยมแพร่หลายในเอเชียเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ตะวันออกกลางและ อินโดนีเซียเป็นต้น เชื่อว่าแคนน่าจะมีแหล่งกำเนิดมาจากที่เดียวกันเพราะดูจากการเรียกชื่อ เช่น พวกแม้ว เรียกว่า ได้ง หรือ เด้งจีนเรียกว่าซะอัง เกาหลีเรียกว่า แซง และ ญี่ปุ่นเรียกว่าโช โดยทำมาจากไม้ไผ่ที่เรียกว่าไม้เฮี้ย หรือ ไม้กู่แคน และตัดเอาลิ้นที่ทำด้วยทองเหลือง (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลิ้นทอง) หรือทองแดงผสมเงิน (เรียกกันทั่วไปว่าลิ้นเงิน) มาสอดใส่ลงในช่องของกู่แคน แล้วนำกู่แคนเหล่านี้ไปสอดใส่ลงในกรอบของเต้าแคนซึ่ง ทำมาจากไม้ประดู่หรือไม้นำ เกลี้ยง(ไม้รัก) แล้วใช้ขี้สูด(ขี้แมงน้อย หรือ ขี้ผึ้งดำ หรือ ชันโรง) เป็นชั้นสำหรับผนึก ให้กู่แคนติดแน่นกับเต้าแคน และยังช่วยบังคับให้ลมเป่าไม่รั่วไหลไปที่อื่น นอกจากวิ่งผ่านรูลิ้นเพื่อทำให้ลิ้นแคนสั่น สะเทือนและ เกิดเสียงแต่เสียงที่เกิดนี้เราไม่สามารถรับฟังได้จนกว่าผู้เป่าจะเอานิ้วไปกดรูนับ เพื่อให้กระแสคลื่นที่สั่นสะเทือนขยายกำลังภายในกู่แคนอีกทีหนึ่ง เราจึงจะได้ยินเสียงแคน หากต้องการเสียงของกู่ใดหรือลุกใด ก็ต้องเป่าลมพร้อม กับใช้นิ้วกดรูนับ ของลูกนั้น ๆ หากเป่าเฉย ๆ โดยไม่กดรูนับเสียง เสียงที่เกิดขึ้นจะเป็นเสียงที่เบาจนเราไม่ได้ยิน
#ประเภทของแคน แคนมีหลายประเภทตามจำนวนลูกแคน คือ 1.แคนหก มีลูกแคน 6 คู่ (12 ลูก) เป็นแคนขนาดเล็กที่สุด สำหรับเด็กหรือผู้เริ่มฝึกหัดใช้เป่าเพลงง่าย ๆ เพราะเสียงไม่ครบ บางทีก็จะทำเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว 2.แคนเจ็ด มีลูกแคน 7 คู่ (14 ลูก) เป็นแคนขนาดกลาง มีเสียงครบ 7 เสียง ตามระบบสากล และมีระดับเสียงสูง ต่ำ ทั้ง 7 เสียง หรือที่เรียกว่า คู่แปด คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที (คู่แปด คือทุกเสียงเช่นเสียงโด ก็จะมีทั้งเสียงโดสูง และโดต่ำ ทุกเสียงมีคู่เสียงทั้งหมด) แคน 7 ไม่มีเสียงเสพที่เป็นเสียง ซอลสูง ด้านแพซ้าย และไม่มีเสียงเสพที่เป็นเสียง ลาสูง ทางด้านแพขวา 3.แคนแปด ใหญ่กว่าแคนเจ็ด มีลูกแคน 8 คู่ (16 ลูก) คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด เพิ่มคู่เสียงระดับสูงขึ้นไปให้เป็นเสียงประสานในการเล่นเพลงพื้นเมือง ได้แก่ เสียง ซอลสูง ด้านแพซ้าย และเสียงเสพที่เป็นเสียง ลาสูง ทางด้านแพขวา 4.แคนเก้า มีลูกแคน 9 คู่ (18 ลูก) ใหญ่ที่สุด มีเสียงต่ำที่สุด เวลาเป่าต้องใช้ลมมาก มีจำนวนคู่เสียงครบเช่นเดียวกับแคนแปด แต่ที่เพิ่มขึ้นมาอีกก็คือเพิ่มเสียงเสพประสานด้านแพซ้ายที่เป็นเสียงซอลสูงอีกหนึ่งเสียง และเพิ่มเสียงเสพประสานที่แพขวาซึ่งเป็นเสียงลาสูงอีกหนึ่งเสียง สรุปแล้วจึงมีลูกแคนทั้งหมด 9 คู่ และที่สำคัญคือเป็นแคนเสียงต่ำที่ใช้เป่าให้เป็นเสียงเบสในการเป่าแบบแคนวง แต่ในปัจจุบันวงดนตรีพื้นเมืองนิยมใช้พิณเบสหรือเบสของดนตรีสากล แคน 9 จึงไม่เป็นนิยมอีก จึงทำให้เยาวชนรุ่นหลังไม่มีโอกาสได้เห็นได้ยินการบรรเลงของแคน 9 อีกเลย 5.แคนสิบ เป็นแคนที่ปรับปรุงมาจากแคนแปด โดยผู้ประดิษฐ์และออกแบบ ชื่อ สำเร็จ คำโมง แต่ในระยะหลังไม่เป็นที่นิยมมากนักจึงไม่มีผู้สืบทอดผลงานนี้ไว้ แคนนอกจากบรรเลงเป็นวงแล้ว ก็ยังใช้บรรเลงประกอบการลำ (การขับร้อง) หรือใช้บรรเลงร่วมกับพิณ โปงลาง ฯลฯ แคนถือเป็นเครื่องดนตรีร่วมระหว่างไทยกับลาว แต่ในปัจจุบันยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน "เสียงแคนของลาว" เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้